 |
ความคิดเห็นที่ 12 |
ในการนั่งรถ เรารับรู้ว่ารถเคลื่อนตัวโดย ตาเรามองเห็นว่าเราเคลื่อนไปในทิศทางไหน ระบบประสาทกล้ามเนื้อเรารับรู้ว่าเรานั่งยังไงเอนซ้ายขวาแบบไหน ระบบประสาทในหูบอกว่าเรานั่งในมุมใดองศาใด สุดท้าย สมองของเราจะบอกประมวลผลว่าเราไปในทิศแบบไหน ตัวอย่างกรณีที่เราจะมึนงงเมารถได้ง่ายขึ้นคือ เราเล่น ฺฺBB ลูกตาจะกรอกไปกรอกมาอย่างเร็วเพื่อจับภาพตัวอักษรในBBให้อยู่นิ่ง ทำให้เกิดอาการเวียนหัวอยากจะเป็นลมได้
- เราไม่ใช่คนขับ : การที่เราไม่ใช่คนขับทำให้เราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเราจะเคลื่อนต่อไปอย่าง ไร กล้ามเนื้อและดวงตาจึงปรับตัวไม่ทัน ... ส่วนคนขับเค้ารู้ตัวล่วงหน้าก่อนว่ารถจะวิ่งไปมาแบบไหน ดังนั้นจึงไม่งง
- คนขับขับเร่งและเบรกไม่ดี : พวกเบรกกระตุก ออกตัวแรง เล่นคลัทช์ วิ่งฉวัดเฉวียน ทำให้ดวงตาซึ่งกำลังมองไปทางด้านหน้าปรับไม่ทัน รถก็กระชากไปทางซ้าย กล้ามเนื้อและหูบอกว่าไปทางซ้ายแต่ตายังมองตรง พอส่งสัญญาณไปสมอง สมองก็แปลผลผิด เกิดอาการงง
- กระจกรถฝ้าหมอกมัว : กระจกที่มัวจะทำให้ตาของเราโฟกัสตำแหน่งการมองไม่ได้ ดังนั้นสัญญาณจากตาที่ไปสมองก็จะผิดปกติไป
- สิ่งรบกวนหรือสิ่งที่ทำให้เราอาเจียนเวียนหัวง่ายขึ้น ไม่ว่ากลิ่นในรถที่เหม็น / เสียงรบกวนของเครื่องยนต์ / อาหารที่เรากินก่อนขึ้นรถ (กินมากไปหรือกินอาหารมันๆ) / รายการวิทยุการเมืองที่ด่าเสียงสูงๆดังๆ ... ของพวกนี้ก็ทำให้เราอาเจียนเวียนหัวได้ง่ายขึ้น อ้อ อีกอย่างครับ ... บางคนอดนอนมาหลายๆวัน พอมาขึ้นรถเบาะนุ่มๆก็หลับครับ
3. เจอยานอนหลับ บางคนมีความรู้สึกว่างุนงงง่วงนอนจริงๆ และสงสัยว่าเกิดจากยานอนหลับ มาวิเคราะห์สั้นๆครับ - ยานอนหลับแบบฟุ้งกระจายหรือระเหย ... พวกนี้คนจะใช้คงต้องระวัง เพราะว่าถ้าวางไว้ในรถแล้วตัวเองย่อมโดนไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วิธีที่บอกว่าเปิดกระจก / หันแอร์ไปทางคนนั่ง / หรือว่าออกจากรถไปฉี่ ... ของพวกนี้ไม่แน่นอนและมีการพูดในเชิงวิทยาศาสตร์มานานแล้วว่าเป็นไปไม่ได้
- ยานอนหลับแบบกิน ... มีบางคนชอบพูดถึงยานอนหลับ พวกโรฮิปนอล ดอร์มิคุม ของพวกนี้ก็ไม่ได้หากันง่ายๆและต้องใช้ในรูปกิน (บางคนชอบบอกว่าแท๊กซี่ละลายยาพวกนี้ในน้ำแล้วเอาไปป้ายที่ช่องแอร์หรือพ่น ใส่ผิวหนัง ... โอ้ว ฉีกตำรายาเขวี้ยงทิ้งไปเลย) ดังนั้นถ้าคุณไม่ได้รับของมากินจากแท๊กซี่คุณก็ไม่น่าจะเจอยานอนหลับได้ครับ กรณีที่เป็นไปได้ที่คุณคือ คุณไปกินอาหารหรือน้ำแล้วไปเจอแก๊งค์ที่หย่อนยานอนหลับลงแก้วน้ำหรืออาหาร แล้วบังเอิญคุณหลุดจากพวกมันมาขึ้นแท๊กซี่พอดีครับ .... กรณีนี้เจอได้ง่ายกว่าและเป็นไปได้กว่าเป็นไหนๆครับ
ถ้าจะคิดในแง่ ทางเศรษฐศาสตร์นะครับ ถ้ามียาพวกนี้จริง ราคาต้องแพงมาก โอกาสที่ใช้แล้วผู้โดยสารมีเงินน้อยกว่าก็มีมาก (ไม่คุ้ม) , หรือจะเอาไปข่มขืนสาวๆก็ไม่คุ้ม เพราะราคายาพวกนี้แพงกว่าไปลงอ่างเป็นไหนๆ
ต่อไปจะเป็นข้อควรทำเมื่อเกิดอาการแปลกๆบนรถครับ เป็นวิธีที่ผมเห็นว่าเป็นวิทยาศาสตร์และไม่เกินเลยความจริงครับ .....
เพราะเรื่องพวกนี้ เราควรจะทำอะไรบางอย่าง แต่เราควรจะทำให้อยู่ในแนวทางที่สมเหตุสมผล ... ไม่ใช่ตื่นตระหนกจนเกินขอบเขตครับ
สิ่งที่ควรทำ "ก่อน" จะขึ้นTaxi 1. ก่อนออกจากบ้านควรบอกคนที่บ้านว่าจะเดินทางไปไหน 2. ควรรู้ว่าระหว่างทางจากบ้านไปยังที่ทำงานหรือสถานที่ที่ไปประจำมี "สถานีตำรวจ" และ "โรงพยาบาล" ไหนบ้าง 3. ควรรู้ว่าเส้นทางที่เราจะไปเรียกว่าอะไร ที่ จริงควรจะพอรู้ๆไว้บ้างนะครับ เพราะเราจะเดินทางไปไหนมาไหน คนที่บ้านย่อมเป็นห่วง ถ้าระหว่างการเดินทางเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาหรือว่ามีคนในบ้านที่ไปทำงานแล้ว หายไป อย่างน้อยเราก็จะได้รู้ว่าจะติดต่อสถานีตำรวจหรือโรงพยาบาลไหนว่ามี อุบัติเหตุกับคนชื่อนี้บ้างหรือเปล่า อีกประการนึง หากเราเกิดการสงสัยในความน่าเชื่อใจของTAXI แล้วยกโทรศัพท์มาคุย ... การที่เราบอกตำแหน่งเราได้ ย่อมฟังดูไม่เป็น "หมู" ให้เคี้ยวเล่นเหมือนคนที่บอกว่า "ไม่รู้ว่าอยู่ไหน" 4. ถ้ารู้สึกว่าแปลกๆตั้งแต่แรก อย่าเรียกแท๊กซี่ที่หน้าร้านนั้น ... เช่น สงสัยว่าโดนวางยาและกินอาหารนั้นไปแล้ว ก็ให้ไปขอความช่วยเหลือเลย ... มิฉะนั้นถ้ายังอยากขึ้นแท๊กซี่ ก็เลือกที่ที่ห่างออกไปเช่นฝั่งตรงข้าม (ข้อ 4 ในกรณีที่นอยด์มาก กลัวว่าแท๊กซี่ร่วมมือกับแก๊งค์ตกทอง)
สิ่งที่ควรทำเมื่อรู้สึกบนรถว่าแปลกๆไม่น่าไว้ใจ บางคนกลัวว่าการกระทำบางอย่างบนรถแท๊กซี่ของเรา อาจจะทำให้คนขับเค้าไม่พอใจว่าเราไปมองเค้าเป็นโจร ... แต่เท่าที่ลองสอบถามมา คนขับแท๊กซี่ส่วนใหญ่จะกลัวผู้โดยสารมากกว่า และถ้าเรามีท่าทางไม่ค่อยวางใจแท๊กซี่ แท๊กซี่บางคนอาจจะรู้สึกอุ่นใจว่าเราไม่น่าจะใช่โจร ดังนั้นบางอย่างก็ไม่ต้องอายครับ ทำได้โดยเลือกวิธีพูดวิธีทำสักนิดไม่ให้น่าเกลียด
1. โทรบอกคนที่บ้านให้ออกมารับ ก่อน โทรมองสภาพแวดล้อมหาจุดหาตำแหน่งก่อน เมื่อโทรแล้วก็บอกไปเลยว่า ตอนนี้เราอยู่ตรงไหน (ทำเป็นชำนาญในเส้นทาง...จริงๆอาจจะเพิ่งมองป้ายตะกี้เอง) บอกให้คนที่บ้านออกมารับ(หรือถ้าไม่อยู่บ้านก็เนียนๆไป แต่เปิดเสียงเบาๆหน่อยแล้วกัน) บอกอาการที่เป็น บอก สีรถ และป้ายทะเบียนไป ... บอกปลายสายไปด้วยว่าสาเหตุที่เราบอก เพื่อจะได้รู้ว่าเป็นคันนี้ จะได้รับถูกคัน (จริงๆเราบอกเพราะไม่ไว้ใจต่างหาก) ตัวอย่าง "ฮัลโหล พี่เอ ตอนนี้น้องตามาถึงแยกสะพานควายตรงหน้าโรงแรมสุดาแล้วนะ เดี๋ยวพี่เอมารับหน้าปากซอยหน่อยนะพอดีน้องตางงๆหัว ... แท๊กซี่สีเขียวเหลือง ป้ายทะเบียน AS-1234 กรุงเทพ" วันนี้ควรไปตกลงกับคนที่บ้านหรือคนใกล้ตัวครับ ... ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ให้ใส่ใจนิดนึง ถือว่ามีเรื่องผิดปกติแล้ว
2. ให้จอดรถขอลงเมื่อเห็นว่าไม่น่าไว้ใจ ไม่ว่าคุณจะง่วง งง เมารถ หรืออะไรก็ตาม และรู้สึกว่าคนขับที่นั่งใกล้ๆไม่น่าไว้ใจ ก็ให้เล็งๆจุดที่จะลงไว้ โดยอาจจะเป็นจุดที่มีคนพลุกพล่าน ใกล้โรงพยาบาล หรือว่าเห็นตำรวจกำลังโบกรถอยู่ ... เมื่อเห็นจุดที่ต้องการแล้ว ก็ให้บอกแท๊กซี่ให้จอดและอย่าลืม "จ่ายเงินค่าโดยสาร" ครับ แท๊กซี่ตามปกติเห็นคุณจะลงก่อนถึงที่หมายและมีเงินในมือ ต้องจอดอย่างแน่นอน ... ถ้าไม่จอดมักจะผิดปกติ ถึงตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมครับทำไมให้ขอลงในที่ที่มีคนพลุกพล่าน ก่อนลงอย่าลืมจดหรือจำป้ายทะเบียนรถ/สีรถไว้ด้วย
3. ถ้าอาการมันดูแปลกๆให้ขอความช่วยเหลือแล้วไปโรงพยาบาล ถ้าคุณลงมาจากรถด้วยอาการที่มึนงงมาก ง่วงจัด หรืออาการผิดปกติอย่างชัดเจน ถ้าไปต่อไหว ให้เปลี่ยนTaxiแล้วไปต่อยังโรงพยาบาลใกล้ๆ ถ้าคุณคิดว่าเดินทางต่อไม่ไหว ให้ไปหาตำรวจจราจรแถวนั้น ขอให้เขาช่วยเหลือ ... ถ้าไม่ไหวจริงๆให้หาร้านสะดวกซื้อ หรือร้านค้า บอกให้เค้าตามตำรวจหรือรถพยาบาล โดยคุณเองก็อาจจะโทรบอก191เองด้วย จริงๆ ถ้าเป็นไปได้ผมแนะนำให้หาตำรวจมากกว่า ... เพราะว่ากันตามจริงคนที่เค้าไม่รู้จักคุณ เค้าก็ไม่รู้หรอกว่าคุณเป็นแก๊งค์ต้มตุ๋นจะมาหลอกเค้าหรือเปล่า
4. ถ้าสงสัยว่าโดนวางยาไม่ว่าจากไหน ก็แจ้งความด้วย ถ้าสมมุติว่าคุณสงสัยมากๆว่าจะโดนวางยานอนหลับระหว่างไปกินอาหารนอกบ้าน เมื่อตำรวจพาไปถึงโรงพยาบาลแล้ว ก็บอกหมอว่าสงสัยอะไรยังไง เรื่อง การตรวจหาสารพวกนี้เป็นประเด็นทางกฎหมายครับ ... ปกติต้องมีตำรวจร่วมด้วย ต้องมีการแจ้งความ ถ้าคุณดุ่มๆเข้าไปแล้วบอกว่าจะขอตรวจ ต่อให้จ่ายเงินเองหมอก็มักจะไม่ตรวจให้ ...
5. โทรแจ้งตำรวจหรือรายการวิทยุ บาง คนอาจจะมองว่าเกินไปหรือตื่นตูม ... ซึ่งก็แล้วแต่เหตุการณ์ครับ แต่การแจ้งผมว่ามีประโยชน์ เพราะ ถ้าหากรถแท๊กซี่คันดังกล่าวมีการแจ้งว่าผิดปกติบ่อยครั้ง ก็จะเกิดการตรวจสอบ เผลอๆอาจจะเจอว่าแท๊กซี่คันนั้นรั่ว มีก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์รั่วก็ได้ และคุณอาจจะได้รับการสดุดีในรายการวิทยุของแท๊กซี่ว่าได้ช่วยชีวิตคนขับรถ ไว้คนนึงhaha
สรุป สิ่งที่ควรทำ - วางแผนในครอบครัวเรื่องสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ไม่ ใช่แค่เรื่องนี้ครับ ... รวมไปถึงเรื่องคนในบ้านหาย ไฟไหม้ ภัยพิบัติ รถชน รถตกน้ำ โจรขึ้นบ้าน ฯลฯ ... ของพวกนี้ควรจะทำทุกบ้านครับ ไม่เกินกว่าเหตุแต่อย่างใด อย่างน้อยตอนไปอยู่บ้านปู่ ปู่ผมก็ซ้อมแผน ... เคยใช้ครั้งนึงตอนที่ไฟไหม้ในซอยหลังบ้าน (แต่ที่ซ้อมแผ่นดินไหว หวังว่าคงไม่ได้ใช้นะ) - อย่าลืมการจดเบอร์ทะเบียนรถ และสีรถ - ทำความรู้จักเส้นทางประจำของคุณ และเส้นทางเลี่ยงอื่นๆ (เผื่อวันไหนรถติดTaxiพาไปทางอื่นแล้วบอกว่าทางลัด) - เมมเบอร์บ้านในชื่อ "บ้าน" เผื่อนอนสลบไสลไม่ได้สติสมประดี ตำรวจหรือพยาบาลจะได้โทรไปบอกที่บ้านได้ (ถ้าอยู่คนเดียว ก็เมมเบอร์ "แม่" "พ่อ")
เบอร์โทรที่ควรรู้และพกไว้ 1644 สวพ. 91 รายการวิทยุจราจร 1137 จส.100 รายการวิทยุจราจร 1669 ศูนย์สั่งการระบบรถโรงพยาบาล ... เอาไว้โทรเวลาตามรถโรงพยาบาล (ต้องบอกชื่อ ที่อยู่ สถานที่เกิดเหตุ) xxxxxxxx เบอร์โทรโรงพักในละแวกบ้าน (สถานีเดียวก็พอมั้งครับ นอกนั้นใช้191)
จากคุณ |
:
หมอแมว
|
เขียนเมื่อ |
:
11 ม.ค. 53 22:00:23
|
|
|
|
 |