PANTIP.COM : A8784243 Gone with the Wind >>> หนังที่ไม่มีทางทำรายได้แซงได้ เมื่อ Adjusted แล้ว [ภาพยนตร์]

ความคิดเห็นที่ 27

อธิบายเพิ่มเฉพาะส่วนของการปรับค่าเงินโดยทั่วๆไป ส่วนของหนังรายได้หนังอะไรสารพัดที่นั่งเถียงกันไปมานี่คุยกันเองตามสบาย

อยากให้อธิบายหลักการ Adjusted คร่าวๆให้ฟังหน่อยนะครับ แล้วการ Adjusted แบบนี้ มันเป็นการ Adjusted ที่ดีพอแล้วหรือยังครับ >>> โดยภาพง่ายๆค่าของเงินในแต่ละเวลาไม่เท่ากัน คำว่าค่าไม่ได้หมายถึงตัวเงินเป็น 1 บาืท 1 ดอล 1 เยน อะไรโดยตรง แต่หมายถึงความสามารถในการซื้อสินค้าและบริการที่ตัวเงินทำได้ในช่วงเวลานั้นๆ

ยกตัวอย่างให้ฟังจากประสบการณ์ตรงว่า ตอนผมเด็กๆ ก๋วยเตี๋ยวชามละประมาณ 5 บาท ตอนนี้ ตีเสียว่าชามละ 30 ทั้งๆที่สมมติว่าปัจจัยการผลิตที่ใช้ในการผลิตก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่งก็เท่าๆเดิม ผลผลิต-คิดที่ปริมาณเลยแล้วกัน มันง่ายดี-ก็เท่าเดิม แต่จะเห็นว่าราคาของก๋วยเตี๋ยวสูงขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป สาเหตุหลักๆของกระบวนการนี้มักมาจากเงินเฟ้อ

เวลาเปรียบเทียบค่าของเงินข้ามเวลา เขาจึังมักจะปรับค่าตามสูตร เพื่อให้เปรียบเทียบค่ากันได้ ไม่งั้นถ้าไม่ปรับ-เอาตัวอย่างก๋วยเตี๋ยวข้างบนที่ผมเขียน-ถ้าไม่ปรับก็จะบอกว่า โห ก๋วยเตี๋ยวสมัยนี้แพงจริงๆ ทั้งๆที่ปริมาณก็อาจจะเท่ากับสมัยก่อนนั่นแหละ นั่นคือผลผลิต ปัจจัยการผลิตที่ใช้ ก็อาจจะเท่าเดิม แต่ราคาที่สูงขึ้นน่ะมันหลอกตา

แนวคิดเรื่องค่าหลอกตาที่คล้ายๆกันอีกอย่างคือค่าที่แท้จริง (Real) เราๆมักโดนนักการเมืองเขาหลอกบ่อยๆ สมมติอย่างเขาบอก GDP สูงขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ ดูดีนะครับ แต่นั่นคือค่าตัวเงิน ถ้าจะุดูว่าอำนาจการซื้อ คือความสามารถในการซื้อข้า่วของของประชาชนมันเพิ่มขึ้นเท่าไร ต้องดูตัวอื่นๆประกอบด้วย ซึ่งนักการเมืองเขามักไม่บอกหรอก เช่น สมมติการกระจายรายได้สมบูรณ์เลย รายได้เฉลี่ยต่อหัวเท่ากัน ทุกคนได้เงินเท่ากันหมดคือ 100 บาท มีของชิ้นเดียวขายในระบบเศรษฐกิจ ราคา 100 บาทเหมือนกัน คุณใช้เงิน 100 บาทซื้อของชิ้นนั้นได้ 1 ชิ้นตอนต้นปี สมมติต่อว่าปลายปี GDP เพิ่ม 10% ดูดีอย่างที่บอก รายได้คุณเพิ่มเป็น 110 แต่สมมติอีกเหมือนกันว่าเงินเฟ้อเป็น 12 เปอร์เซ็นต์ นั่นแปลว่าไอ้ของที่ราคา 100 บาทจะกลายเป็น 112 บาท จะเห็นได้ว่า ไอ้เงินเพิ่มขึ้นมาเป็น 110 นั่น ตอนนี้กลายเป็นซื้อของชิ้นนั้นไม่ได้แล้ว นั่นคือสิ่งที่ทางเศรษฐศาสตร์เขาเรียกกันว่าอำนาจการซื้อคุณลดลง ตัวเงินเพิ่มขึ้นจริง แต่อำนาจการซื้อลดลง

เพราะฉะนั้น ทางเศรษฐศาสตร์ หรือการเงิน เวลาพิจารณาอะไร เขาจะต้องมีการปรับค่ากันเสียก่อนเพื่อตัดตัวแปรที่มีผลต่อราคาหรือมีผลต่อตัวแปรหลักที่เราพิจารณาทิ้ง เพื่อให้เปรียบเทียบกันได้

เปรียบเทียบให้มันเข้าใกล้ตัวเรานิดจะได้มองเห็นง่าย นักมวยน่ะครับ ทำไมเขาแบ่งรุ่นตามน้ำหนักตัวล่ะ? เพราะน้ำหนักตัวมีผลต่อน้ำหนักหมัด ถ้าเอานักมวยตัวจิ๋วๆรุ่นสตอร์วเวทไปชกกับนักมวยเฮฟวี่เวท น้ำหนักหมัดไม่เท่ากัน มันก็ไม่แฟร์ เฮฟวี่เวททุบเบาๆรุ่นสตรอ์วเวทก็ลงไปกองแล้ว เขาถึงต้องเอานักมวยที่น้ำหนักเท่าๆกันชกกัน มันถึงจะยุติธรรม นั่นแหละครับ

ค่าของเงินนี่ก็เหมือนกัน ค่าของเงินเมื่อเวลาผ่านไปมันไม่เท่ากัน เหมือนนักมวยกลายเป็นคนละพิกัดน้ำหนักแล้ว เขาถึงต้องปรับ เพื่อให้มันเปรียบเทียบกันได้น่ะครับ

กับคำถามว่าการปรับค่านี้เป็นปรับที่ดีพอหรือยัง? ผมไม่ทราบสูตรและตัวแปรอย่างแน่นอนที่เขาใช้ แต่โดยหลักคิดว่าไม่ต่างกับการปรับค่าเงินทั่วไป ใช้ตัวแปร เงินเฟ้อ ดอกเบี้ย ระยะเวลา อะไรพวกนี้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น ก็ต้องขอตอบว่าก็ใช้กันมาแบบนี้มานานแล้ว และยังไม่มีใครคิดแนวคิดใหม่ๆในการปรับค่าเงิน ดึงตัวแปรโน้นนี้ตัดโน้นนี้มาใช้แล้วได้รับการยอมรับในวงกว้างเท่าที่ทำๆกันมา
แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 53 07:47:00
แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 53 07:00:18
แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 53 06:57:27
แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 53 06:55:58

จากคุณ : น้ำใส

เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 53 06:48:57