-ขอซักทู้ - //นาธาน โอมาน// ในสายตาที่เมตตาของท่านพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี
|
|
ได้อ่านบทสัมภาษณ์ของ LIPS หน้าปก "ธรรมนำทาง" The Art of Happiness
เล่มนี้ ผู้จัดทำฉีกรูปแบบการทำหนังสือแนวบันเทิงที่นิยมใช้ดารานักแสดง หรือนักร้อง นางแบบ เซเลบฯ ไฮโซฯ ไฮซ้อ มาเป็น "พระ" ที่ให้ความสุขกับการอ่านเล่มหนึ่ง โดยส่วนตัวไม่ได้ซื้อนิตยสารเล่มนี้นานมาก ที่มีก็แทบนับเล่มได้เลย
สะดุดใจกับกรณีของ "นาธาน โอมาน" ที่มีในหน้า 0087 ปักษ์หลัง ธันวาคม 2552 / LIPS ที่สัมภาษณ์ท่านพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี โดยมีอาจารย์เป็ด ช่างแต่งหน้ามือวางอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย หรือคุณอภิชาติ นรเศรษฐาภรณ์ เป็นผู้ปุจฉา
ขอคัดลอกมาให้อ่านดังนี้ ...
อภิชาติ (เป็ด) : ผมเข้าใจถูกต้องไหมว่า พระสงฆ์ถูกสอนให้พูดภาษาที่เข้าใจยาก ซึ่งคนในสมัยนี้ไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะมานั่งวิเคราะห์ จึงไม่ค่อยเข้าใจธรรมะ
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี : ต้องยอมรับว่า สมัยก่อนพระเป็นผู้ผูกขาดความรู้ นับแต่สมัยรัชกาลที่ 6 เป็นต้นมา การศึกษาถูกดึงออกจากพระสงฆ์ โดยตั้งขึ้นเป็นกระทรวงธรรมการ ซึ่งกลายเป็นกระทรวงศึกษาธิการในภายหลัง เมื่อรัฐทอดทิ้งการศึกษาของคณะสงฆ์ คนรุ่นใหม่ก็เข้าเรียนในสถาบันการศึกษา ขณะที่พระยังเรียนคัมภีร์โบราณอยู่เหมือนเดิม นั่นเป็นเหตุให้คนรุ่นใหม่รู้สึกว่า พุทธศาสนาในมือพระนั้นล้าหลังมาก จึงไม่รู้สึกว่า จะต้องพึ่งพระอีกต่อไป ถ้าเราเข้าใจสังคมอย่างนี้ เราจะไม่โทษพระอย่างเดียวว่า ทำไม ท่านจึงเทศน์ไม่รู้เรื่อง
เห็นไหมว่า ความเข้าใจจะนำมาซึ่งการแก้ปัญหาที่แท้จริง ส่วนความไม่เข้าใจนำมาซึ่งการกล่าวโทษและโพนทะนา บางครั้งถ้าเราศึกษาคนที่เราตำหนิอย่างลึกซึ้ง จะเห็นว่า แท้จริงเขาน่าสงสารมาก อย่างกรณีของนาธาน โอมาน ถ้าศึกษาที่มาที่ไปจะเห็นว่า เขาควรได้รับคำแนะนำไม่ใช่คำตำหนิ อาตมาเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนปรารถนาจะเป็นคนดี โดยพื้นฐาน แม้แต่ทรราชย์ที่โหดที่สุด บางทีเขาอาจจะเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดก็ได้
อภิชาติ (เป็ด) : อย่างนั้นก็ต้องกลับไปเริ่มต้นที่ระบบการศึกษาอีกใช่ไหมครับพระอาจารย์
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี : ไม่จำเป็นหรอกคุณโยม เพราะเรามีทั้งหนังสือ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต หนังสือพิมพ์ แล้วในกระทรวงศึกษาธิการก็มีคนที่ด้อยการศึกษาอยู่เต็มไปหมด อาตมาไปประชุมมาหลายครั้งก็สลดสังเวช มงกุฎที่ไปอยู่ในมือลิงก็กลิ้งโค่โร่อยู่เท่านั้นเอง ฉะนั้นถ้าอยากจะเปลี่ยนแปลงอะไร ต้องเริ่มต้นที่วิธีคิดของคนในประเทศก่อน แล้วเราก็ใช้สื่อที่มีเป็นตัวช่วย ถ้าสื่อไปอยู่ในมือของปัญญาชนก็จะก่อให้เกิดเนื้อหาสาระ อย่างโอปราห์ วินฟรีย์ เขาทำรายการทีวีให้คนมีชื่อเสียงอย่างแบรด พิตต์ หรือบิล คลินตัน ไปบริจาคเงินสร้างโรงเรียนในแอฟริกาใต้ตั้งร้อยกว่าแห่ง เห็นไหมว่า เราไม่จำเป็นต้องไปเริ่มที่กระทรวงศึกษาธิการเลย
อภิชาติ (เป็ด) : แต่ส่วนใหญ่รายการทีวีบ้านเราทำหน้าที่แค่ให้ความบันเทิง ดังนั้นเราก็ต้องดูอย่างมีสติใช่ไหมครับ ?
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี : อาตมาคิดว่า บางทีคนทำสื่อก็เข้าใจผิดคิดว่า เอ็นเตอร์เทนเม้นต์หมายถึงต้องไร้สาระ แต่ที่จริงแล้วเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ควรจะให้ความบันเทิงและสาระด้วย เราตีความไปเองว่า บันเทิงต้องปัญญาอ่อนแล้วก็เอาถาดตีหัวกันมานานเป็นสิบปีแล้ว อย่างนี้ก็ไม่ไหว ตลกของอาตมาไม่ได้หมายความว่าต้องทำให้โยมหัวเราะงอหาย เวลาพระเทศน์ไม่ต้องเล่นมุกก็ได้ แต่ทำให้ญาติโยมขำขันโดยใช้ปฏิภาณไหวพริบ ที่สังคมไทยกลายเป็นสังคมไร้สาระ ก็เพราะพอบอกว่าเป็นเอ็นเทอร์เทนเม้นต์เราก็ไม่ใช้สมองกันแล้ว เมื่อสื่อด้อยคุณภาพ ประชาชนก็ด้อยคุณภาพตามไปด้วย แต่ถ้าศักยภาพของประชาชนมีแค่นี้ จะหวังให้ประเทศมีการพัฒนาที่ยั่งยืนได้อย่างไร
อภิชาติ (เป็ด) : พระอาจารย์คิดว่า คนไทยเราสามารถช่วยสังคมอย่างไรได้บ้าง ?
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี : ถ้าจะช่วยสังคมต้องเริ่มจากช่วยตัวเองให้ไม่เป็นคนโง่คนหนึ่ง พระพุทธเจ้าสอนว่า ถ้าเธออยากจะช่วยเหลือคนอื่นก็ขอให้เธอรู้จักช่วยตัวเอง ถ้าเธออยากจะเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่นก็ขอให้เธอรู้จักเป็นที่พึ่งให้ตัวเอง เพราะถ้าเธอช่วยตัวเองเป็นแล้ว เธอก็จะไม่เป็นภาระให้คนอื่น การที่เราเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นคนที่มีคุณภาพก็เท่ากับลดคนด้อยคุณภาพของสังคมลงไปหนึ่งคน นั่นแหละคือการช่วยเหลือสังคมที่แท้จริง เปลี่ยนที่เราก็เท่ากับเปลี่ยนสังคม หลายคนอยากจะเปลี่ยนอะไรก็ตีโพยตีพายเอากับโครงสร้างบ้าง กฎหมายบ้าง การเมืองบ้าง ถามหน่อยว่า เสียงของคุณเคยดังไปถึงทำเนียบไหม ดังนั้น อยากเห็นอะไรดีขึ้นก็ต้องเริ่มที่ตัวเอง @
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สาธุ ....ได้พิมพ์กระทู้นี้ ถือว่า ได้ช่วยเหลือสังคมอย่างหนึ่งเหมือนกัน
^ ^
| จากคุณ |
:
ป๋อหลิน  
|
| เขียนเมื่อ |
:
30 ม.ค. 53 09:52:52
|
|
|
| 
ไม่มีอะไรจะพูด นอกจากคำว่า ขอโหวตกระทู้นี้เลยแล้วกัน
... เข้ามาดู