 |
ข่าวไทยรัฐออนไลน์หนี้ครูน้อยลดฮวบลงเหลือ4ล้านบาทพม.รับเด็กไปเลี้ยง
|
|
"ครูน้อย" โล่งหนี้หายไปครึ่ง หลัง "พงศพัศ" สั่งตำรวจโรงพักราษฎร์บูรณะเจรจาเจ้าหนี้ทั้ง 20 ราย ลดหนี้สะบั้นหั่นแหลกจาก 8 ล้านเหลือเพียง 4 ล้านบาท เจ้าตัวยอมรับผิดใช้จ่ายเกินตัว แต่ยืนยันไม่เคยโกงตามที่ถูกกล่าวหา นักวิชาการและผู้ร่วมอุดมการณ์ร่วมหนุน เป็นคนดีแน่แต่ใช้เงินไม่เป็น แนะให้ตั้งเป็นมูลนิธิดีที่สุด เพราะระบบเป็นคณะกรรมการ เป็นการกันตัวเองจากข้อครหาด้วย ด้าน "อิสสระ สมชัย" รมว.การพัฒนาสังคมฯ แฉ ครูน้อยใช้จ่ายฟุ่มเฟือยทำให้ เป็นหนี้รุงรัง พร้อมยินดีรับทั้งเด็กกำพร้าและพิการ ยันเลี้ยงดูดีกว่าครูน้อยแน่
จากกรณีนางนวลน้อย ทิมกุล อายุ 67 ปี หรือรู้จักกันในนาม "ครูน้อย" ผู้ดำเนินการสถานรับเลี้ยงเด็กยากจนบ้านครูน้อย เข้าร้องเรียน พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ช่วย ผบ.ตร.ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า ได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากมีหนี้สินที่เกิดจากการกู้เงินนอกระบบถึง 8 ล้านบาท สาเหตุเพราะต้องนำเงินมาดูแลเด็กที่อยู่ในความดูแลถึง 72 คน โดยเริ่มกู้เงินตั้งแต่ปี 2547 หลังจากนั้น โฆษก ตร.ดำเนินการตรวจสอบเจ้าหนี้และเริ่มนัดเจรจาลดหย่อนเงินต้นและดอกเบี้ยไปบางส่วนแล้ว แต่ยังมีปัญหาเรื่องตัวเลขเงินต้นที่ครูน้อยกู้มาไม่ตรงกับตัวเลขของเจ้าหนี้บางราย จนต้องมีการตรวจสอบอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าเมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 9 ก.พ.ว่า พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พ.ต.อ.ดุสิต สมศักดิ์ ผกก.สน.ราษฎร์บูรณะ เดินทางมาพบนางนวลน้อยหรือครูน้อย ทิมกุล ที่สถานรับเลี้ยงเด็กยากจนบ้านครูน้อย เลขที่ 319 หมู่ 1 ซอยราษฎร์บูรณะ 26 แขวง และเขตราษฎร์บูรณะ กทม. เพื่อสรุปจำนวนเจ้าหนี้และหนี้สินของครูน้อย หลังสั่งการให้ตำรวจ สน. ราษฎร์บูรณะตรวจสอบ ข้อมูลที่แท้จริงจากเจ้าหนี้ทุกรายที่ครูน้อยให้ข้อมูลมา โดย พล.ต.ท.พงศพัศนำข้อมูลที่ได้รับมาเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ครูน้อยมีอยู่ ปรากฏว่าข้อมูลทั้งหมดตรงกันทั้งรายชื่อเจ้าหนี้และจำนวนเงินที่กู้ยืมมา
พล.ต.ท.พงศพัศกล่าวว่า หลังจากทราบว่าครูน้อยมีหนี้สินจำนวนมาก ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.ดุสิต ประสานข้อมูลเรื่องจำนวนเจ้าหนี้และยอดเงินที่ครูน้อยเป็นหนี้ หลังจากตรวจสอบพบว่า ครูน้อยเป็นหนี้อยู่ประมาณ 8 ล้านบาทเศษ โดยมีเจ้าหนี้ทั้งหมด 20 ราย ในวันนี้จึงเดินทางมาพบครูน้อยเพื่อสรุปยอดข้อมูลที่ทางตำรวจมีกับข้อมูลของครูน้อยว่าตรงกันหรือไม่ ปรากฏว่าจำนวนเจ้าหนี้และยอดเงินกู้ที่ตำรวจตรวจสอบมาตรงกับบัญชีของครูน้อย จากนี้เจ้าหน้าที่จะไปพูดคุยกับเจ้าหนี้ เพื่อขอลดหย่อนดอกเบี้ยหรือยอดเงินให้ลดลง โดยหลังจากพูดคุยกับเจ้าหนี้ไปบางรายแล้ว มีบางส่วนยินยอมลดยอดเงินลง จากยอดเงินที่เป็นหนี้ทั้งหมดจำนวน 8 ล้านบาท คาดว่าจะลดลงกว่าครึ่งเหลือเพียง 4 ล้านบาท และจะพยายาม พูดคุยให้ยอดหนี้เหลือน้อยที่สุด เพื่อให้ครูน้อยมีกำลังใจทำงานเพื่อสังคมต่อไป นอกจากนี้จะช่วยให้ครูน้อยจัดระบบการใช้จ่ายเงินให้ดีขึ้น
พ.ต.อ.ดุสิตเปิดเผยว่า จากการตรวจสอบพบว่ามีเจ้าหนี้ 20 ราย เป็นเงินทั้งสิ้น 8,215,000 บาท และได้พูดคุยกันแล้วทุกราย โดยเจ้าหนี้ที่ครูน้อยเป็นหนี้มากที่สุดยอดเงิน 1.7 ล้านบาท อีกรายครูน้อยเป็นหนี้อยู่ 8.3 แสนบาท แต่เจ้าหนี้รายนี้ยอมลดหนี้ให้เหลือเพียง 3 แสนบาท และไม่คิดดอกเบี้ย เท่าที่พูดคุยส่วนใหญ่เป็นการยืมเงินแบบไทยๆ ไม่มีการทำสัญญา เวลาครูน้อยไม่มีเงินซื้อข้าวก็ให้เด็กวิ่งไปยืมเงินจากเจ้าหนี้ มีบางรายเขียนในกระดาษเล็กๆ ว่ายอดเงินเป็นจำนวนเท่าไหร่ส่วนที่คาดว่าจะมีการข่มขู่จากเจ้าหนี้ จากการตรวจสอบไม่มี แต่ อย่างไรก็ตาม ตำรวจไม่ประมาทได้จัดกำลังมาเฝ้าตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว
ด้านครูน้อยเผยว่า รู้สึกเสียใจที่มีคนสงสัยว่าตนนำเงินที่ได้รับบริจาคไปซื้อรถให้ลูกหรือนำเงินไปซื้อที่ดินทั้งที่ไม่เป็นความจริง ลูก 2 คน สามีเป็นคนดูแลทุกเรื่องไม่เคยนำเงินที่ได้รับบริจาคไปใช้จ่ายกับลูก โดยลูกคนโตจบปริญญาโทแล้วกำลังจะแต่งงาน การเป็นหนี้เกิดจากตนต้องให้เงินเด็กเป็นค่าใช้จ่ายไปโรงเรียน โดยเด็กที่เรียนอยู่ชั้นอนุบาลให้ใช้วันละ 10 บาท ป.1 ถึง ป.2 วันละ 15 บาท ป.3 ถึง ป.4 วันละ 20 บาท ป.5 ถึง ป.6 วันละ 30 บาท ม.1 ถึง ม.3 วันละ 60 บาท ม.4 ถึง ม.6 วันละ 70 บาท ระดับ ปวช. วันละ 80 บาท ระดับ ปวส. 90 บาท มหาวิทยาลัย 100 ถึง 140 บาท ซึ่งตนต้องให้เงินเด็กไปโรงเรียนทุกวัน
ครูน้อยเผยต่อไปว่า รู้สึกน้อยใจที่มีคนเรียกร้องให้ตรวจสอบตน ตนไม่ใช่อาชญากรที่โกงบ้านโกงเมือง ทำไมไม่ไปตรวจสอบคนเหล่านั้น ที่บางคนเห็นว่าเด็กที่ อยู่ในความดูแลไม่เหมือนเด็กอนาถา เนื่องจากเด็กเหล่านี้ ถูกเลี้ยงดูอย่างดี ให้ที่อยู่ที่กิน ให้ใส่เสื้อผ้าดีๆ เพราะสิ่งของที่ได้รับบริจาคมา ถ้าในอนาคตมีคนมาปิดบ้านครูน้อยก็ยินดี แต่ต้องรับเด็กไปเลี้ยงดูให้ดี ถ้าให้เปลี่ยนจากบ้านครูน้อยเป็นมูลนิธิคงไม่ทำ เนื่องจากการจัดตั้งมูลนิธิต้องใช้เงินมาก ขอทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจะดีกว่า อย่างไรก็ตามยอมรับว่า ที่ผ่านมาผิดเองที่บริหารเงินไม่เป็น เพราะให้เงินเด็กไปโดยไม่ดูว่าเงินในกระเป๋ามีเท่าไหร่ ต่อจากนี้จะจัดระบบให้ดีขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำอีก
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า บรรยากาศที่สถานรับเลี้ยงเด็กยากจนบ้านครูน้อยตั้งแต่ช่วงเช้า มีผู้นำเงินและสิ่งของมาบริจาคอย่างต่อเนื่อง มีผู้โทรศัพท์ติดต่อมาบริจาค รวมทั้งพระสงฆ์จากวัดไตรรัตนาราม ย่านบางเขน นำข้าวสารและอาหารแห้งมาบริจาคด้วยตัวเอง นอกจากนี้ นายเรืองเดช ตรีสนธ์ อายุ 23 ปี พนักงานเสิร์ฟบริษัทเซ็นทรัล โกลด์ จำกัด จ.สมุทรสาคร นำเงิน มามอบให้ครูน้อย พร้อมกับเปิดเผยทั้งน้ำตาว่า ก่อนหน้านี้เคยอยู่ในอุปการะของครูน้อยมา 17 ปี ตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เมื่อรู้ข่าวว่าครูน้อยมีหนี้สินจึงรู้สึกสงสาร และ สำนึกในบุญคุณที่ครูน้อยเคยส่งเสียเลี้ยงดูอย่างดี จึงรวบรวมเงินกับเพื่อนร่วมงานมาได้จำนวนหนึ่ง และทางบริษัทที่ทำงานนำเงินมาสมทบอีกจำนวนหนึ่งมามอบให้กับครูน้อย
ส่วนนายอิสสระ สมชัย รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เผยว่า ทราบว่าครูน้อยยินดีให้ กระทรวงฯช่วยเหลือดูแลเด็กที่อยู่ในความอุปการะ ซึ่งมีทั้งเด็กพิการและเด็กกำพร้า 18 คน ตนจะส่งเจ้าหน้าที่ไปประสานงานเพื่อรับมาดูแลในสถานสงเคราะห์ ผู้หญิงให้อยู่บ้านราชวิถี ส่วนผู้ชายอยู่บ้านปากเกร็ด โดยดูแลทั้งความเป็นอยู่และการศึกษาที่ดีกว่าแน่นอน ส่วนเรื่องหนี้สินคงต้องให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า นอกเหนือจากเด็ก 18 คน มีพ่อแม่เลี้ยงดู แต่ถือเป็นประเพณีที่มากินมาขอเงินจากครูน้อย การใช้จ่ายเงินผิดวิสัยที่เลี้ยงเด็กไม่กี่คน แต่ใช้จ่ายถึง 7-8 ล้านบาท เฉลี่ย 5 หมื่นบาทต่อเดือน เท่าที่ทราบ มีการจ่ายเงินให้คนทำความสะอาด 500 บาทต่อวัน พี่เลี้ยงเด็ก 1,500 บาทต่อวัน และคนทำบัญชี 2,500 บาทต่อวัน ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก หากมีการแก้ปัญหาหนี้สินแล้วปล่อยให้ทำแบบเดิมคงจะมีปัญหาอีก
นายสมพงษ์ จิตระดับ ผอ.ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเด็กที่มีความต้องการพิเศษ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ว่า รู้จักครูน้อยมานาน การันตีว่าครูน้อยเป็นคนดีมีจิตใจอ่อนโยนชอบช่วยเหลือผู้อื่น เป็นแม่พระแม่ของเด็ก แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นอาจมาจากไม่มีการติดตามตรวจสอบตามระบบธรรมาภิบาล เงินเข้ามาก็จ่ายออกไปไม่มีการวางแผนถึงอนาคต ทำให้มีจุดรั่วไหลโดยที่ครูน้อยไม่รู้ อาจจะมีคนรอบข้างหรือเหลือบเข้ามาหากินกับความใจดีของครูน้อย เท่าที่ทราบเด็กที่อยู่ในความดูแลของครูน้อยมี 72 คน เป็นเด็กกำพร้าจริง 18 คนเท่านั้น แต่ก็เข้ามากินข้าวเข้าแถวขอเงินไปโรงเรียนทุกวัน บางรายไม่ได้ยากจนจริง การปลดหนี้เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ในระยะยาวควรจะผลักดันให้บ้านครูน้อยจัดตั้งเป็นมูลนิธิเพื่อบริหารจัดการในรูปของคณะกรรมการ จะทำให้มีความเป็นระบบมากขึ้น
ด้านนายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ หรือครูหยุย เลขาธิการมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก กล่าวว่า เชื่อว่าโดยตัวของครูน้อยไม่มีใครกังขาถึงความทุ่มเทและตั้งใจจริงในการช่วยเหลือเด็ก แต่การทำงานที่มีเรื่องเงินบริจาคจำนวนมากต้องมีระบบการบริหารจัดการ ต้องยอมรับว่า ครูน้อยไม่มีทักษะเรื่องระบบจัดการ เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ตนเคยส่งเจ้าหน้าที่ไปให้ความรู้ในเรื่องระบบบริหารการเงิน แต่ครูน้อยมองว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก อีกประเด็นคือ การดูแลเด็กจะต้องจัดลำดับความสำคัญในการช่วยเหลือ จะทำเป็นพระเวสสันดรให้เด็กแบมือขอทุกอย่างไม่ได้ อย่ามองเพียงปริมาณ แต่ให้คำนึงถึงคุณภาพที่จะช่วยเหลือ หากจัดระบบจะช่วยลดภาระได้ถึงครึ่งหนึ่ง อย่างไรก็ตามทางออกไม่ยาก 1. ให้หน่วยงานที่มีระบบบริหารจัดการที่ดีช่วยเหลือตั้งเป็นมูลนิธิ จัดทำบัญชีรายรับรายจ่าย เป็นการป้องกันตัวเองด้วย และ 2. คัดกรองเด็กที่จะช่วยเหลือตามความจำเป็น
จากคุณ |
:
I LIKE NICHKHUN
|
เขียนเมื่อ |
:
11 ก.พ. 53 19:55:34
|
|
|
|  |