กระทู้นี้แตกประเด็นมาจาก A8865980
สืบเนื่องจากได้ดูรายการเช้าวันใหม่ ช่วงตระเวนข่าวทางช่อง 3 เรื่องบ้านชาโลม จ.เชียงราย...
ขออนุญาตแตกประเด็นนะคะ...
พอดีเดี๊ยนเพิ่งโทร.ไปหาคุณลุงประเสริฐ พฤกษา ผู้ดูแลบ้านชาโลมมาค่ะ (จากการให้เบาะแสของคุณ กลัวที่หนาย ขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ ^ ^)
หลังจากได้พูดคุยกับคุณลุงแล้วก็คิดว่า ถ้าไม่ลงมือทำอะไรสักอย่างเดี๊ยนคงรู้สึกผิดไปอีกนาน
ซึ่งสิ่งที่เดี๊ยนสามารถทำได้เลย ณ ตอนนี้คือการกระจายข่าวผ่านการตั้งกระทู้ให้เพื่อนๆ ในพันทิปที่ยังศรัทธากับการทำความดี และมีความสนใจอยากช่วยเหลือน้องๆ ในบ้านชาโลมแห่งนี้ได้รับรู้กันอีกครั้งค่ะ ^ ^
คุณลุงประเสริฐ พฤกษา ชายวัย 60 ปีเล่าให้เดี๊ยนฟังผ่านโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงเนิบช้า สบายๆ แบบผู้ใหญ่ใจดีว่า...
บ้านชาโลมแห่งนี้ก่อตั้งมาได้ราว 11-12 ปีแล้ว คุณลุงมีอาชีพทำไร่ทำนากับป้าคำผงคู่ชีวิตและลูกชายอีก 2 คน จนกระทั่งราวปี 2538 ในละแวกบ้านเริ่มมีเด็กกำพร้ามากขึ้น เพราะพ่อแม่เด็กเสียชีวิตเนื่องจากโรคติดต่อซึ่งกำลังระบาดหนักในตอนนั้น
ในฐานะเพื่อนบ้าน คุณลุงก็ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเท่าที่สามารถช่วยได้ตามกำลัง แรกๆ ก็แบ่งข้าวให้กิน หลังๆ มาคุณลุงก็รับน้องๆ เข้ามาดูแลในบ้านเหมือนลูก...
คุณลุงบอกว่าน้องคนหนึ่งถูกแม่นำมาฝากลุงไว้ตั้งแต่อายุ 4 เดือน จนตอนนี้น้องอายุ 7 ขวบแล้ว แต่แม่ของน้องยังไม่เคยกลับไปเยี่ยมน้องเลยค่ะ T___T
ย้อนกลับไปเมื่อ 12 ปีก่อน ลูกชายของคุณลุงไปทำงานต่างจังหวัด และมีโอกาสไปเจอกับมิชชันนารีชาวสิงคโปร์ ซึ่งก็กำลังทำงานเกี่ยวกับการช่วยเหลือเด็กๆ อยู่เหมือนกัน มิชชันนารีท่านนั้นจึงเดินทางมาเยี่ยมบ้านคุณลุง เมื่อเห็นสภาพความเป็นอยู่จึงแนะนำให้คุณลุงสร้างบ้านขึ้นมาเพื่อให้เด็กหญิงชายได้อยู่กันเป็นสัดส่วน คุณลุงเองก็มีฝีมืองานช่างเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้างจึงปลูกบ้านขึ้นมา และตั้งชื่อว่า บ้านชาโลม
บ้านชาโลมขึ้นทะเบียนกับศูนย์สงเคราะห์ชาวเขาและกรมประชาสงเคราะห์ จ.เชียงราย (สังกัดสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) โดยดูแลกันเองในครัวเรือน และมีลูกชายและลูกสะใภ้เป็นคนช่วยทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายให้
และเพื่อให้ทุกอย่างโปร่งใสที่สุด คุณลุงจึงไม่ถือเงินเอง...
เดี๊ยนถามว่า ทำไมคุณลุงไม่จดทะเบียนเป็นมูลนิธิ คนทั่วไป หรือหน่วยงานอื่นๆ จะได้ยื่นมือมาช่วยเหลือได้อย่างเต็มที่ คุณลุงเงียบไปอึดใจนึง ก่อนจะตอบว่า...
ถ้าตั้งเป็นมูลนิธิขึ้นมา ก็ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก และต้องมีกรรมการข้างนอกเข้ามาเกี่ยวข้องหลายฝ่าย คุณลุงกลัวจะมีคนเข้ามาใช้น้องๆ เป็นเครื่องมือ เพื่อฉกฉวยผลประโยชน์ให้ตัวเอง...
ที่สำคัญคือ กลัวโลกที่แสนสงบสุข เรียบง่าย และพอเพียงของน้องๆ ถูกรบกวน...
กระนั้น คุณลุงก็ยังโดนคนตราหน้าว่ากำลังแสวงหาผลประโยชน์ผ่านน้องๆ คุณลุงบอกว่าเสียใจมาก แต่เพราะเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ จึงไม่ท้อใจในการทำความดี
แม้ใครไม่เห็น แต่คุณลุงก็รู้ดีแก่ใจ ที่สำคัญ พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็น!!!
นี่จึงเป็นเหตุผลที่คุณลุงไม่ทำการประชาสัมพันธ์บ้านชาโลมให้สังคมรับรู้ในวงกว้าง ถ้าใครอยากให้ความช่วยเหลือ ก็คงมาช่วยเอง คุณลุงว่าอย่างนั้น
ดังนั้น คุณลุงจึงเลือกที่จะปลูกฝังน้องๆ ให้รู้จักพึ่งพาตัวเอง ด้วยวิถีเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง แทนการรอรับบริจาคอย่างเดียว (ทุกวันนี้บ้านชาโลมได้รับเงินบริจาคเดือนละ 15,000 บาท ทุกเดือน)
คุณลุงมีที่นาของตัวเองอยู่ 10 ไร่ ขุดบ่อปลา 5 ไร่ อีก 5 ไร่เอาไว้ปลูกข้าวไว้กินเอง และเช่าที่นาเพิ่มสำหรับทำการเกษตรอื่นๆ
เมื่อหลายปีก่อน รายการผู้หญิงถึงผู้หญิงของช่อง 3 ไปเยี่ยมบ้าน และได้มอบเงินบริจาคให้คุณลุงก้อนหนึ่ง คุณลุงปรึกษาภรรยา ลูกชาย และลูกสะใภ้ว่าจะทำยังไงกับเงินก้อนนั้น ถ้านำไปซื้อข้าวสารอาหารแห้งหรือสิ่งของอื่นๆ ก็คงหมดในไม่ช้า จึงตัดสินใจนำเงินไปซื้อแพะเนื้อมา 4 ตัว เพื่อเลี้ยงไว้ให้น้องๆ กินในระยะยาว
ปัจจุบันบ้านชาโลมมีแพะกว่า 100 ตัว ตัวผู้นำไปขายเอาเงินมาจุนเจือในส่วนอื่นๆ ส่วนตัวเมียเก็บไว้เป็นแม่พันธุ์ต่อไป
คุณลุงปลูกฝังให้น้องๆ ช่วยเหลือตัวเองทุกอย่าง เช่น ปลูกผัก ทำนา เลี้ยงปลา เลี้ยงแพะ และงานบ้านอื่นๆ เด็กโตช่วยดูแลเด็กเล็ก เด็กเล็กก็เชื่อฟังพี่ๆ และทุกคนต่างก็ช่วยเหลือกันทำงานในบ้าน อยู่กันแบบครอบครัวเดียวกัน บ้านชาโลมจึงมีแต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้ม
ปัจจุบันคุณลุงดูแลน้องๆ ทั้งหมด 31 คน ชาย 14 คน หญิง 17 คน ซึ่งทุกคนอยู่มาตั้งแต่ต้นที่มีบ้านชาโลม พี่ใหญ่ของบ้านอายุ 16 ปี ส่วนน้องเล็กสุดท้องของบ้านอายุ 7 ขวบ (คือน้องคนที่แม่เคยนำมาฝากคุณลุงไว้เมื่ออายุได้เพียง 4 เดือนนั่นแหละค่ะ ทุกวันนี้ยังต้องนอนกอดคุณลุงคุณป้าทุกคืนอยู่เลย)
ทุกเช้าก่อนไปโรงเรียน น้องๆ จะกอดและหอมแก้มคุณลุงคุณป้าจนครบทุกคน เพราะคุณลุงคุณป้าคือหลักยึดเดียวในชีวิตที่ช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดให้น้องๆ
คุณลุงบอกว่า ชีวิตนี้ไม่หวังอะไรจากน้องๆ แค่อยากให้น้องๆ สามารถก้าวผ่านวิกฤติในชีวิตวัยเด็กไปได้อย่างราบรื่นที่สุด สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เติบโตขึ้นไปยืนอยู่ในสังคมได้อย่างภาคภูมิ เป็นคนดีของสังคม และช่วยเหลือประเทศชาติตามกำลังที่ตนเองสามารถช่วยได้ในอนาคต
คุณลุงยังบอกอีกว่า ไม่ได้คาดหวังว่าน้องๆ จะต้องทำงานได้เงินเดือนสูงๆ เพียงแค่สามารถเป็นเกษตรกรที่ดี ที่สามารถดูแลตัวเอง ดูแลครอบครัว และเอื้อเฟื้อต่อไปยังเพื่อนบ้านรอบตัวได้ แค่นี้คุณลุงก็พอใจแล้ว
คุณลุงเป็นคริสเตียนที่ยึดมั่นในคำสอนของพระเยซูที่ว่า...
จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง
จึงไม่ลืมที่จะปลูกฝังแนวคิดนี้ให้กับลูกๆ ทั้ง 31 คนด้วย
ว่ากันว่า การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ
ถ้าอย่างนั้น เรามาช่วยกัน ให้ ในวันแห่งความรักนี้กันเถอะค่ะ
อย่าลืมกดโหวตนะคะ ขอบคุณค่ะ ^ ^
+++
ข้อมูลทั้งหมดที่นำมาเล่าต่อนี้ ได้รับอนุญาตจากคุณลุงเรียบร้อยแล้วค่ะ ^ ^
ถ้าใครยังคงศรัทธาในการทำความดีและอยากให้ความช่วยเหลือน้องๆ บ้านชาโลม สามารถติดต่อไปยังที่อยู่ด้านล่างนี้ได้เลยนะคะ (ขอบคุณ คุณกลัวที่หนาย มากๆ ค่ะ สำหรับข้อมูล^^)
คุณลุงประเสริฐ พฤกษา
บ้านชาโลม 976 หมู่ 1
ต.ริมกก อ.เมือง จ. เชียงราย 57000
หากต้องการเบอร์โทร.ติดต่อคุณลุงโดยตรง หลังไมค์มาได้นะคะ ^ ^
สุขสันต์วันวาเลนไทน์ทุกท่านค่ะ

***แก้ไขคำผิดค่ะ***
แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 53 18:34:07
แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 53 14:56:14
แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 53 14:50:56
แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 53 13:30:18