Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
[ ดูแล้วมาคุย ] Up In The Air ... การเดินทางไกลของชายกระเป๋าว่างเปล่า !!! vote  

แรกเริ่มเดิมที ตั้งใจะเข้าเมืองหลวงมาดูหนังเด็กตายลึกลับของ Peter Jackson อย่าง The Lovely Bones แต่ผิดเป้าเพราะลืมเชคว่า มันฉายที่ไหน !!! ( ซวย !! เห็นแต่เขาโฆษณาลงหนังสือ แต่ลืมถามสถานที่ ) แต่ดวงมันจะได้ดูหนังอยู่ดี โชคดีที่รอบคนนอนดึกของที่ Paragon เป็น Up In The Air ... ไม่ยากเลยที่จะตัดสินใจดู !! ( ก่อนที่วันที่ 25 จะมาถึง ซึ่งไม่รู้ว่าจะดูเรื่องไหนก่อน!! )

.........................................................................................................................................................

Ryan Bingham เขาคือมีฉมังแห่งวงการ " ไล่คนออกจากงาน " ... ถ้าจะให้สุภาพคือ เขาเป็นตัวแทนบริษัทรับจ้างปลดคนงานให้กับแต่ละองกรณ์ รวมถึงแนะนำทางเลือกในการดำเนินชีวิตหลังออกจากงาน ในยุคที่เศรษฐกิจของอเมริกาตกต่ำถึงขีดสุด เขากลายเป็นผู้ที่ถูกต้องการตัวจากหลากหลายบริษัททั่วอเมริกาในการดำเนินการนี้แทน ทำให้เขาต้องเดินทางไปทั่ว มีชีวิตทั้งชีวิตในโรงแรม Hilton ,  Terminal และ เครื่องบิน ( 43 วันที่พักในคอนโดตนเอง เหมือนหายนะสำหรับเขา ! ) ในช่วงชีวิตที่มีแต่งาน ขาดช่วงเวลาในการมี " สัมพันธ์ " กับใครสักคน .. ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปเมื่อ  Alex Goran สาวนักธุรกิจที่มีชั่วโมงบินอยู่บนเครื่องมากไม่ยิ่งหย่อนกันได้เข้ามาเพื่อทำให้ชุ่มชื่นจากความแห้งแล้งของชีวิต แต่เรื่องไม่ง่ายเมื่อจุดหักเหอยู่ที่การเข้าทำงานของสาวน้อยไฟแรงสูงอย่าง Natalie Keener ที่ต้องเข้าร่วมเดินทางกับเขา บินไปทำงานรอบเมืองอเมริกาอย่างไม่สู้เต็มใจ จากชีวิตที่เคยเดินทางคนเดียว ใช้ชีวิตคนเดียว ไร้ความสัมพันธ์ (แม้แต่กับพี่น้องตัวเอง )ของ Ryan เปลี่ยนไป และพลิกผันความรู้สึกนึกคิดของเขาไปตลอดกาล ...

หนังเป็นเจ้าของการสื่อสารกับผู้ชมด้วยภาพที่เรียบง่ายแต่ชัดเจน ภาพมุมสูงจากบนเครื่องบินที่มองลงมาในรัฐต่างๆของอเมริกา สื่อความหมายที่ชัดเจนถึงการเดินทางบนเครื่องบินอันเป็นหัวใจหลักของเรื่อง การถ่ายภาพไม่เน้นความฉูดฉาดแต่เน้นมุมและภาพที่จับบนใบหน้าตัวแสดงได้ชัดเจน ( สื่อให้เน้นๆเลยว่า หนังขายการแสดงแค่ไหน ) ตัดต่อรวดเร็ว ไม่ยืดเยื้อ มีเนื้อ มีน้ำพอดีๆ ( น่าเสียดายที่พลาดการเข้าชิงสาขาตัดต่อของออสการ์ ) ที่น่าชมเชยพิเศษคือส่วนของเสื้อผ้า หน้า ผม ของผู้แสดงทุกคน ที่แม้จะเหมือนๆกันไปหมด แต่มีเรื่องของรายละเอียดของสีและแบบเล็กๆน้อยๆมาบ่งบอกบุคลิกตัวละคร เช่นตัวละครที่ทำงาน Office ที่กำลังโดนไล่ออก ดูเรียบและสีทึม เน้นอารมณ์หดหู่ บางคนดูยุ่งเหยิง บางคนดูเหมือนยังกับไว้ทุกข์ ( แปลตามความหมายนั้นจริง ) ต่างจาก " ผู้มาเยือน " ที่ดูเรียบร้อย รัดกุม และดูสว่างมากกว่า หรือในตัวละครของ Alex ที่แม้ชุดและกระเป๋าเดินทางของเธอจะดู " มืออาชีพ " ก็จริง แต่สีแดงเข้มที่เสื้อคลุมและกระเป๋า บ่งบอกความหมายโดยนัยถึงผู้หญิงคนนี้ว่า เธอเป็นเหมือน " ไฟ " ที่ซ่อนอยู่ ( คุณคงต้องหาคำตอบเองในโรงภาพยนตร์ ) เป็นต้น  เด่นๆเป็นพิเศษคืองานดนตรีและเพลงประกอบภาพยนตร์แบบดนตรีโฟล์ค ที่ให้ทั้งอารมณ์เหงาและดูอบอุ่นในบางเวลาบนหนัง เนื้อเพลงบางท่อนก็แอบเสียดสีตัวหนังด้วย ที่ชอบพิเศษเป็นเพลง Help Yourself ของ Sad Brad Smith ที่ดูเรียบง่าย โรแมนติกนิดๆ ให้อารมณ์สบายๆเหมือนในหนัง โดยรวมของงานหลังกล้องถือว่าน่าพอใจ แม้ไม่ใช่งานเอารางวัลซะทั้งหมด แต่ก็ไม่ด้อยกว่าหนังรางวัลเรื่องอื่นๆเลย

หมัดน๊อคของหนังเรื่องนี้อยู่ที่บท ... บทหนังเรื่องนี้สร้างตัวละครหลักที่ปมปัญหาแรงมากเหลือเกิน ปัญหาของ Ryan คือ " ความสัมพันธ์ " ในทุกๆกรณีและทุกสังคม ตัวละครนี้มีปมปัญหาที่ค่อยๆสะสมให้แก้ยากขึ้นจากงานที่เขาทำเป็นเวลานาน ซึ่งทำให้เขาบินแต่ละปีสูงถึง 350000 ไมล์ ( ไกลกว่าไปดวงจันทร์ถึงแสนไมล์ ) ตลอดชีวิตบินไปแล้วหลายล้านไมล์ คุ้นกับห้องนอนโรงแรม Hilton มากกว่าห้องพักตัวเองและขับรถเช่าคล่องกว่าซื้อรถใช้เอง ขาดการมีความสุขแบบคนปกติ ( เช่นการถ่ายรูปเมื่อเราไปยังสถานที่ต่างๆ ) มันเป็นปมสะสมเนิ่นนาน ขดกันแน่น บิดเกลียวและยากจะแก้ไข การแก้ปมตัวละครนี้ ต้องใช้ตัวละครอื่นและเหตุการณ์หลากหลายมาคลายปมที่บิดกันแน่น การเข้ามาของ Alex คือ จุดเริ่มของการกลับมาของคำว่า " ความสัมพันธ์ " เธอเป็นผู้หญิงที่เหมือนถูกสร้างขึ้นเพื่อเขา เดินทางตลอดเวลา  มีความเป็นผู้ใหญ่สูง ไม่รักการผูกมัดแต่ยินดีในความสัมพันธ์ ทรงเสน่ห์และมีเคมีที่เข้ากันได้ดี นั่นคือจุดเริ่มที่ดีของการการปัญหาหลักตัวละคร และการมาของ Natalie เป็นเหมือนกระจกคนละด้านของเขา เธอมีความรัก อ่อนไหว จริงจังกับความสัมพันธ์และวางแผนอนาคตอย่างมีเป้าหมาย ( ในขณะที่ Ryan มีเป้าหมายเพียงแค่สะสมไมล์ ) นั่นคือการเปิด " ทัศนคติ " ของเขา ซึ่งนี่คือดัวละครหลักๆสองตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาของตัวละครเดียว ( Conflict แรงดีมั้ยหล่ะ !! ) ซึ่งหาใช่แค่ตัวละครเท่านั้นที่ช่วยแก้ปัญหาของตัวละครอย่าง Ryan   เหตุการณ์งานแต่งงานน้องสาว การออกเดต งานเต้นรำ และการตะลอนถ่ายภาพ ล้วนแต่สร้างขึ้นเพื่อค่อยๆ "คลายเกลียว " ปมปัญหาของตัวละครตัวนี้

( ** ท่อนนี้อาจสปอยล์เล็กๆ ไม่ชัดเจน แต่ไม่อ่านจะดีกว่า ** ) ก่อนที่บทหนังจะ " ทำลาย " ความรู้สึกที่ดีในเรื่อง " ความสัมพันธ์ " ของตัวละครอย่าง Ryan ลงอย่างราบคาบ เพื่อให้เขาสัมผัสถึง " ความเหงา " จากการขาดความสัมพันธ์แบบคู่รัก ซึ่งเป็นจุดหลักที่เขาไม่รู้สึกมานานหลายปี !!!

บทหนังแข็งแกร่งมากขนาดนี้ ยากมากที่จะหาบทเจ๋งๆไหนมาเทียบเคียง โดยเฉพาะหนังที่พูดถึงจิตใจมนุษย์และความสัมพันธ์ มักจะ " โดนใจ " ได้ง่ายอยู่แล้ว อันที่จริง บทไม่ได้ซับซ้อนมาก สามารถเดาเรื่องได้คร่าวๆได้บ้างบางตอน มีปนๆสูตรสำเร็จนิดหน่อย แต่ปรุงกันได้กลมกล่อมอร่อยลิ้น จับประเด็ดอยู่หมัด และมีตัวละครที่สร้างได้ " เทพๆ " ในบทของมัน ( ลองเลียบๆเคียงๆดูคู่แข่งของ Oscar ในสาขาบทดัดแปลงแล้ว มัน " นำหน้า " คู่แข่งไม่น้อย )

จุดดีๆของหนังอีกจุด คือ การที่ตัวละครหญิงสองตัว มีมุมมองต่อ " ความสัมพันธ์ " ที่ไม่เหมือนกัน ( ไม่เหมือนกันจริงๆ ซึ่งต้องดูจากหนังเองนะครับ ) มันทำให้เป็นการสร้างข้อเปรียบเทียบผ่านทางตัวละคร .. เอาเข้าจริงๆ 2 ใน 3 ของตัวละครหลักแก้ Conflict ในตัวได้ แต่อีกหนึ่งมาเพื่อเป็น " กุญแจ " ไขปมปัญหา ต้องดูเองครับว่า ใครคือ " กุญแจ " !!

ที่ต้องยกย่องเป็นพิเศษ คือการที่ตัว Jason Reitman กับ Sheldon Turner ได้ดัดแปลงบทภาพยนตร์ได้อย่างครบรายละเอียดและร่วมสมัย หยิบประเด็นถึงเศรษฐกิจยุคถดถอยมาเล่าเรื่องผ่านตัวละคร " คนมีอาชีพไล่คนออก " เพื่อเป็นกำลังใจแก่ทุกคนในอเมริกาที่เผชิญกับปัญหานี้อย่างหนักหน่วง หนังเปิดจุดตายอย่างดูเดือดในการเล่นกับความรู้สึกของคนที่ " ไร้งาน " ก่อนจะค่อยๆกล่าวถึงอย่างมีกำลังใจผ่านตัวละครหลากหลายที่โดนไล่ออก ( ในหนัง ) ที่ลุกขึ้นยืนและก้าวสู้ต่อไปไม่ยอมแพ้ แม้ปัญหารุมเร้า แต่พวกเขามีสิ่งที่เรียกว่า " ครอบครัว " ซึ่งเป็นห่วงแห่ง " สายสัมพันธ์ " ที่ดึงให้ลุกขึ้นสู้ต่อ

ก่อนจะโดนหมักน๊อคด้วยบท การแสดงของตัวละครหลักทั้ง 3 นั้น เป็นเหมือนหมัดหนักๆ ที่อัดเราเข้าเต็มๆท้อง .. George Clooney เยี่ยมที่สุดแล้วในบทนี้ ดูเป็นมืออาชีพ เย็นชา ไร้ความรู้สึกเรื่องความสัมพันธ์ รวมถึงอีโก้จัดบางครั้ง  สีหน้าเอือมระอาต่อการกลับบ้านและการที่ต้องรับภาระถ่ายรูปส่งให้น้องสาว เป็นอะไรที่อยากซื้อเก็บไว้เลย เพราะได้อารมณ์เหลือเกิน เขาแสดงออกน้อยๆอย่างเรียบง่ายแต่น่าติดตาม สะกดเราให้คล้อยตาม ผิดหวังและสมหวังโดยที่ไม่ต้องบีบน้ำตา เกรี๊ยวกราด หรือออกลวดลายอะไรมาก เป็นแถวหน้าการแสดงเยี่ยมที่สุดแห่งปี , Vera Farmiga ในบท Alex Goran เหมือนฝาแฝดของ Clooney คือ เยี่ยมที่สุดในการเป็นมืออาชีพได้สมบทบาท และพลิกอารมณ์ตอนท้ายเมื่อถึงจุดเปลี่ยนของความสัมพันธ์ Clooney ทำได้เท่าไหร่ เธอทำได้เท่ากัน ต่างกันแค่เธออยู่ในบทบาทสมทบ , บท Natalie Keener ของ Anna Kendrick ...  Natalie Keener  คือตัวขโมยซีนยอดเยี่ยม ไม่ใช่แค่สามารถแสดงออกถึงความกระตือรื้อร้นแบบเด็กไฟแรง แต่ยังแสดงออกได้เยี่ยมมากที่สุดเมื่อลงสนาม " ไล่คนออก " จริงๆ การแสดงของเธอชัดเจนมากๆว่า เธอเป็นเจ้าแม่ทฤษฎีแต่อ่อนภาคปฏิบัติ ฉากน่าตบรางวัลอยู่ที่ฉากที่เธอต้องไล่คนออกผ่านจอคอมจริงๆ ด้วยสีหน้าค่อนข้างตื่นกลัว หลบหน้าและสายตาบ่อย แทบไม่ต้องนั่งข้างๆเธอแบบ Ryan เราก็รู้ว่า เธอเหงื่อแตกเต็มหลัง !! แถมด้วยฉากร้องไห้เหวอๆกลางสนามบิน ที่ทำเอาคนดูอย่างผมเอ๋อไปเลย ( ครั้งสุดท้ายที่เอ๋อแบบนี้คือ การเห็นฉากที่ Diane Keaton ร้องให้ผสมหัวเราะใน Something's Gotta Give ) , Jason Bateman ในบทเจ้านายของ Clooney ที่พยายามได้ดียิ่ง แต่กลับดูเหมือนผู้ร่วมงานมากกว่าเจ้านาย , นักแสดงทุกคนที่ต้องรับบทคนตกงาน ล้วนแต่แสดงอารมณ์เจ๋งๆ แม้เวลาบนจอจะได้ไม่เท่ากัน แต่ถึงอารมณ์กันทุกๆคน ( เด่นกว่าใครคือ J.K. Simmon และ พี่อ้วนของ Hangover อย่าง Zach Galifianakis ) และน่าเสียดายที่เหล่ากลุ่มนักแสดงในครอบครัวของ Ryan ที่ดูขาดๆเกินๆไปหน่อย

หลัง Juno แล้ว ผู้กำกับอย่าง Reitman สร้างสรรค์ผลงานดราม่าได้ผู้ใหญ่มากขึ้น จริงจังมากขึ้น แต่ยังคงกลิ่นอายของการเล่าเรื่องแบบเรียบง่ายบนตัวละครที่มีความซับซ้อน จนแทบจะกลายเป็น Signature ของเขาไปแล้ว การสร้างหนังดราม่าเรื่อยเปื่อยให้น่าติดตามรวมถึงการดึงเอาความสามารถของเหล่านักแสดงมาใช้ได้อย่างคุ้มค่า ย่อมเป็นคลื่นลูกแรงของ Hollywood และก้าวสู่การเป็นผู้กำกับขายชื่อได้ในอนาคตอันใกล้ ไม่มีจุดไหนเลยจะมาหักล้างได้ว่า เขาไม่ควรค่ากับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมของแต่ละสถาบัน เพียงแต่ว่า จะมองผ่านทุ่งกับระเบิดและดาวแพนโดร่า มาอยู่ที่ตัวเขาได้หรือเปล่า !!

ร่วมสมัย ลุ่มลึก และละเมียดละไม ทั้งหมดนี้ เป็นนิยามที่ดีของ Up In The Air ภาพยนตร์น่าจดจำที่สุดเรื่องหนึ่งของปี ... 9.5 เต็ม 10 ครับ

แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 53 18:20:15

แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 53 18:05:51

 
 

จากคุณ : Bud-to-budding
เขียนเมื่อ : 22 ก.พ. 53 17:39:16





[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ]       
 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com