ความคิดเห็นที่ 1 นาคปรก : ในอีกแง่มุมของศาสนา     ศาสนา สำหรับคนไทยแล้วเหมือนกับสิ่งที่สูงส่งและเป็นตัวแทนแห่งความดีงาม มันสูงเสียจนหลายคนไม่กล้าตั้งคำถามในสิ่งที่ตัวเองอยากถามเพราะเกรงจะกลายเป็นการลบหลู่ หรือ ยามที่เราเห็นสิ่งไม่ดีไม่งามก็พยายาม "ปิดตาข้างหนึ่ง" จนมองไม่เห็นโลกแห่งความเป็นจริง   นาคปรกคือหนังที่แหวกกฏเกณฑ์เหล่านั้นด้วยการตั้งคำถามแรงๆ กับคนทั่วไปว่า สิ่งที่เรามองและทำการศาสนา มันคือสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ จากคุณ : BufferWolfa เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 07:31:58

ความคิดเห็นที่ 2 พระสงฆ์กับตำรวจ     ในหนังเรื่องนี้ มีการพูดถึง บุคคลในเครื่องแบบที่ควรจะเป็นคนดี   พระสงฆ์ กับ ตำรวจ   ตำรวจ คือ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์  คนที่เราหวังพึ่งยามที่เราเดือดร้อน   พระสงฆ์ คือ ผู้ให้ธรรม ผู้นำแสงสว่าง ผู้ที่จะชี้ให้เราไปยังทางที่ถูกต้อง   ในบทบาทและหน้าที่แล้ว พวกเขาต้องเป็นคนดี   แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง เราก็รู้ว่ามันไม่ใช่ ตำรวจบางคนทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดกำลังความสามารถเพื่อความสุขของปวงชน แต่บางคนกลับใช้อำนาจหน้าที่ที่มี หาประโยชน์ให้กับตัวเอง ในวงการพระสงฆ์ก็เช่นเดียวกัน        สิ่งที่แตกต่างระหว่าง พระสงฆ์กับตำรวจ คือ การเปิดใจยอมรับของบุคคลทั่วไป   ในหนังทำให้เราประหลาดใจสองอย่างในตอนท้ายเรื่อง   ๑. ตำรวจซึ่งในตอนต้นดูเหมือนจะเป็นคนดีด้วยการพยายามตามจับกลุ่มโจร แต่ในตอนท้าย เขาคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการขโมยเงินของกลุ่มโจรนั้น   ๒. หลวงตาชื่นซึ่งตลอดทั้งเรื่อง เป็นผู้ให้หลักธรรมคำสอน แต่ในตอนท้าย เป็นผู้ขโมยเงินไปเสียเอง   ความประหลาดใจแรก ดูเหมือนจะไม่ค่อยน่าประหลาดใจเท่าไหร่ (๕๕๕) เพราะ ในสังคมของเรา เรารู้ว่ามีตำรวจแบบนี้อยู่จริง และมีการพูดถึงในวงกว้าง   ความประหลาดใจที่สองสิ คือสิ่งที่ผมประหลาดใจจริงๆ เรานึกมาโดยตลอดว่าหลวงตาชื่นจะเป็นคนดี คือผู้จะขัดเกลาจิตใจโจรทั้งสาม แต่สุดท้ายแล้ว หลวงตาชื่นก็ไม่ต่างอะไรกับโจร  เมื่อหลายปีก่อน มีพระรูปหนึ่งที่เทศน์ได้จับจิต จนกลายเป็นพระที่มีชื่อเสียง ครูของผมในเวลานั้นนิยมได้พระรูปนี้มาก ต่อมามีข่าวว่าพระรูปนั้นได้ยักยอกเงินและยุ่งเกี่ยวกับสีกา จนถูกจับสึกและหนีไปต่างประเทศ แต่ก็พยายามจะนุ่งห่มชุดเขียวอยู่ ครูของผมก็ยังเชื่อว่าท่านถูกรังแกและยังนิยมพระรูปนี้อยู่ เหตุการณ์ในหนังตอนท้ายทำให้ผมเข้าใจครูของผม     เมื่อเรารับทราบความผิดที่เกิดขึ้นในวงการศาสนา หลายคนทำใจยอมรับไม่ได้ บางคนก็แกล้งปิดตาเสียไม่รับรู้ บางคนก็พยายามทำให้เรื่องมันจบๆไปให้เร็วที่สุดโดยไม่ได้มีความพยายามที่จะสืบสวนขยายผลหรือเพิ่มมาตรการป้องกันแต่อย่างใด   แต่นั้นเพียงพอแล้วหรือที่จะป้องกันศาสนาไม่ให้เกิดวิกฤติศรัทธา หรือเราจะหันมายอมรับความจริงแล้วแก้ไข สิ่งเหล่านี้คงพึ่งคนในวงการศาสนาอย่างเดียวไม่ได้ คนทุกคนจะต้องเปิดใจยอมรับและเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไข อย่าปล่อยให้มันผ่านเลยไป จากคุณ : BufferWolfa เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 07:32:57

ความคิดเห็นที่ 3 ศาสนากับผู้หญิง  ในหนังเรื่องนี้ ผึ้ง คือตัวละครหลักตัวเดียวที่เป็นผู้หญิง ในตอนท้ายของเรื่อง ผึ้งหนีตำรวจนกระทั่งไปจนมุมอยู่หน้าพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ด้วยว่าหมดหนทางแล้ว ผึ้งจึงภาวนาขอให้พระคุ้มครอง ผึ้งมองไปยังพระพักตร์พระพุทธรูป จากนั้นผึ้งก็ทำหน้าเครียด แล้วตัดสินใจปลิดชีพตัวเอง   ผึ้งเห็นอะไร?   สิ่งที่ผึ้งเห็นอาจเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทั่วไปก็เห็นเช่นเดียวกัน นั้นก็คือ บทบาทของผู้หญิงในวงการศาสนา   ถึงแม้ในประวัติศาสตร์ของศาสนาพุทธ จะมีผู้หญิงเข้ามาบวชเป็นภิกษุณี และ ถึงขั้นได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงกฎเกณฑ์ที่เรามีก็คือ ผู้หญิงไม่มีสิทธิ์บวช ซึ่งก็เหมือนกับเป็นการบอกกับผู้หญิงว่า ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงรสพระธรรม และ ไม่มีวันได้เข้าสู่นิพพาน   ถ้านั้นยังโหดร้ายไม่พอ กฏของศาสนายังมองผู้หญิงเหมือน "มาร" ที่ควรหลีกให้ห่างไม่ว่ากรณีใดๆ   กฏของพระสงฆ์ห้ามมิให้แตะต้องตัวหญิง ถ้าแตะศีลจะขาด   หนังเลยตั้งคำถามแรงๆ ที่ว่า ถ้าผู้หญิงโดนงูกัดแล้วมีพระสงฆ์เพียงรูปเดียวอยู่ ณ ที่นั้น หรือ แม่เกิดตาบอดแต่อยากเห็นชายผ้าเหลืองของลูกจะทำยังไง     เมื่อคุณดูสองฉากนี้ คุณจะพบว่าในหนัง มีข้อความศีลธรรมบอกกับผู้ชมที่ไร้เดียงสาว่า การแตะต้องตัวหญิงเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับพระสงฆ์ (ผมจำข้อความจริงๆไม่ได้ แต่เนื้อหาของมันก็ประมาณนี้แหละ)   ข้อความศีลธรรมที่ปรากฎขึ้นราวกับจะบอกว่า สิ่งที่พระสงฆ์ในหนังทำนั้นมันผิด   แต่ผู้หญิงไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับความช่วยเหลือจากพระสงฆ์เลยกระนั้นรึ?   พวกเธอทำอะไรผิด?   ผึ้งเห็นอะไร?   สำหรับผม ผมเห็นพระยิ้ม แต่สำหรับผึ้ง มันคงเป็นยิ้มแห่งรสพระธรรมที่สงวนสิทธิ์ให้สำหรับผู้ชาย   ผึ้งคงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างสุดแสน ที่ตัวเองเป็นได้แค่เพียงเท่านี้   ฉากจบของผึ้ง น่าเศร้านัก จากคุณ : BufferWolfa เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 07:35:01

ความคิดเห็นที่ 4 กตัญญู   หลวงพี่ป่านได้เทศน์ถึง การออกไปทำงานของพวกลูกๆ แล้วทิ้งพ่อแม่ให้อยู่ตามลำพังในชนบท ถ้าเป็นหนังทั่วๆไป หลวงพี่คงด่าลูกๆที่ปล่อยให้พ่อแม่อยู่ตามลำพัง แต่หนังเรื่องนี้มาแปลก หลวงพี่กลับด่าพ่อแม่ว่าสอนลูกยังไง ถึงให้ลูกต้องออกไปข้างนอกหาเงินให้พ่อแม่ จนในที่สุดไม่มีโอกาสได้กลับมาปรนนิบัติพ่อแม่ของตัวเอง   คำสอนของหลวงพี่ป่านทำให้ผมคิดถึง กรณีตัวอย่าง ๓ กรณี   ๑. กรณีแรก คือ โฆษณาของซุปเปอร์มาร์เกตที่มีชื่อเป็นตัวเลขเกินหก ได้โฆษณาถึงบริการฝากเงิน โดยให้ผู้ชายร้องเพลงลูกทุ่งเข้าซุปเปอร์มาร์เกต โดยเนื้อเพลงเป็นเพลงบ่งบอกว่าคิดถึงแม่ ทำงานอยู่ทางนี้ก็เพื่อแม่ จากนั้นก็ส่งเงินไปยังเคาน์เตอร์ แม่ก็มารับเงินแล้วก็ปาดน้ำตา   ๒. กรณีที่สอง คือ ตลกหญิงท่านหนึ่งที่เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ต้องกู้เงินปริมาณมากเพื่อส่งไปให้แม่ เพื่อที่แม่จะได้สบาย   ๓. ข่าวประเภท วงเวียนชีวิต ที่มีการสัมภาษณ์พ่อแม่หรือคนแก่ที่ถูกลูกหลานทิ้ง มีอยู่บางท่านได้พูดว่าลูกหลาน "ไม่เคยส่งเงินมาให้เลย"   ฟังดูก็ไม่น่ามีอะไรผิดปกติ   แต่หลวงพี่ป่านเหมือนจะบอกกับพ่อแม่ว่า เราเอาเงินมาวัดค่าความกตัญญูได้ตั้งแต่เมื่อไหร่   การส่งเงินให้พ่อแม่ ไม่ผิดหรอกครับ หากแต่เราให้ความสำคัญของเงินที่ส่งไป มากกว่า การอยู่ดูแลปรนนิบัติพ่อแม่อย่างนั้นหรือ?   พ่อแม่บางคนอวดลูกตัวเองกับพ่อแม่คนอื่นว่าลูกฉันหาเงินได้เยอะยังงั้นอย่างงี้  พ่อแม่คนอื่นๆก็เลยต้องบังคับลูกตัวเองให้หาเงินเยอะๆเพื่อที่ตัวเองจะได้สบายและอวดเพื่อนๆได้ แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเขาเหล่านั้น ทำงานหาเงินอย่างหนักจนไม่สามารถกลับมาหาพ่อแม่ได้อีก  สิ่งนี้จะเรียกว่ากตัญญูได้หรือไม่ จากคุณ : BufferWolfa เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 07:35:59

ความคิดเห็นที่ 5 การเสื่อมของศาสนา   ศาสนาพุทธประกอบไปด้วยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในส่วนของพระพุทธ และ พระธรรมนั้นค่อยข้างนิ่งแล้ว   ฉะนั้นจึงเหลือแต่ในส่วนของพระสงฆ์ที่ยังคงมีการขับเคลื่อนอยู่ และ เป็นปัจจัยหลักในการเผยแพร่พุทธศาสนาออกไป   การเสื่อมของศาสนาคงมิได้หมายถึงหลักคำสอนเพราะ หลักคำสอนคือพระธรรมซึ่งมิได้เปลี่ยนแปลงมาอย่างยาวนาน แต่คงเป็นวิกฤติศรัทธาอันเกิดจากพฤติกรรมของพระสงฆ์ ผู้ที่ควรเป็นแบบอย่างให้กับบุคคลทั่วไป     แต่เหตุใดผู้ที่ประพฤติไม่ดีถึงเข้ามาอยู่ในวงการพระสงฆ์ได้   ป่าน, ปอ และ สิงห์ ได้มาที่วัดเพื่อเอาเงินที่ซ่อนเอาไว้ โดยป่านและสิงห์ เลือกจะปลอมตัวเป็นพระ ส่วนปอ ยืนยันว่าจะไม่เป็นพระ แต่ขอเป็นเด็กวัดแทน   การปลอมตัวเป็นพระกับเด็กวัดนั้น ในความเห็นของกระผม คิดว่าต่างกันอยู่พอสมควร ในแง่ของการปลอมตัว พระเป็นที่เคารพแกคนทั่วไป ถ้าไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าทำผิด เราก็มักจะถือว่าพระเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ถ้าเป็นบุคคลธรรมดาอย่างเด็กวัด ถ้ามีอะไรผิดปกติไปนิดหน่อย คนก็จะสงสัยและบางครั้งก็โดนพิพากษาแม้ไม่มีหลักฐานว่าผิดก็ตาม   แล้วเพราะอะไร ปอ ถึงไม่อยากเป็นพระ?   ตัวผมยังไม่รู้เหตุผลจนกระทั่งถึงตอนท้ายของหนัง ตอนที่มีการขานถามตอบเพื่อขอบวชของปอ   ทำไมทุกคร้ังที่มีการบวช ถึงมีต้องการถามตอบ   ก็เพื่อถามความพร้อมของผู้ที่จะมาเป็นพระสงฆ์ ว่ามีคุณสมบัติพอที่จะเป็นพระสงฆ์หรือไม่   สำหรับ สิงห์และป่าน การเป็นพระก็แค่การสวมเครื่องแบบให้แนบเนียน ตบตาคนให้ได้มากที่สุด แต่สำหรับปอ การเป็นพระ มันมีความหมายมากกว่านั้น   นั้นทำให้ปอปฏิเสธที่จะเป็นพระ   ต่อเมื่อเรื่องทุกอย่างจบ เมื่อนั้นเองที่ปอขอบวช เพราะปอรู้ว่า เขาพร้อมแล้ว   หลายครั้งที่เดียว ที่เราเห็นคนไปบวช ไม่ได้บวชเพราะตัวเองเลื่อมใสศาสนาหรืออยากรู้ซึ้งรสพระธรรม แต่ไปบวช เพราะ อกหักบ้าง, ไม่มีงานทำบ้าง, ถูกบังคับให้บวชบ้าง   คนเหล่านี้คือคนที่ไม่พร้อมที่จะเป็นพระสงฆ์จริงๆ พวกเขาแค่สวมผ้าเหลืองเท่านั้น จากคุณ : BufferWolfa เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 07:36:49

ความคิดเห็นที่ 6 หลวงตาชื่น   ตัวละครตัวนี้เป็นตัวละครสำคัญ ที่ทำให้เรื่องราวพลิกผันและทำให้เกิดโศกนาฏกรรมที่น่าเศร้านี้   ปอทำเงินตกลงไปในหลุมลูกนิมิต หลวงตาชื่นเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับปอ และ ปอก็เห็นว่าหลวงตาชื่นมองดูอยู่ เมื่อปอจากไป หลวงตาชื่นจะต้องมาสำรวจหลุมลูกนิมิตและจะต้องรู้ว่าอะไรอยู่ในกระเป๋า   ในตอนช่วงแรกของหนัง ปอบอกกับ สิงห์และป่าน ว่าเห็นหลวงตาชื่นขณะซ่อนเงิน แต่ไม่ได้บอกว่า หลวงตาชื่นก็เห็นปอเช่นเดียวกัน เหตุที่ปอไม่บอกสิงห์กับป่านเรื่องนี้ อาจเป็นเพราะถ้าบอกไป สิงห์และป่านอาจทรมานหลวงตาเพื่อให้บอกที่ซ่อนของเงินหรือถ้าแย่กว่านั้นอาจถูกฆ่าทิ้ง   นั้นจึงเป็นที่มาของการสุ่มขุดแบบไม่ต้องรอ GT200 และเป็นที่มาของฉากที่ปอถามหลวงตาชื่นแบบต่อหน้าแบบตัวต่อตัวว่าเงินอยู่ไหน เพราะปอรู้ว่าหลวงตาชื่นก็รู้ว่าในกระเป๋านั้นเป็นเงินและมันต้องถูกซ่อนทีไหนซักแห่งในวัด   ตลอดเวลาของหนังที่เราดู เราจะเข้าใจว่าที่หลวงตาอนุญาตให้ สิงห์และป่านบวชและไม่ยอมบอกที่ซ่อนของเงินก็เพราะต้องการจะสั่งสอนพวกโจรให้กลับตัวเป็นคนดี  แต่ในตอนท้าย เราจะพบว่าแท้ที่จริง เงินนั้นได้ถูกหลวงตาชื่นขโมยไปเรียบร้อยแล้ว และ ที่ไม่บอกว่ากระเป๋าอยู่ไหนก็เพราะ ถ้าบอกไปหลวงตาต้องมรณะภาพแน่เพราะเงินในกระเป๋ามันหายไปนานแล้ว   สุดท้ายแล้วที่หลวงตาชื่นทำดีกับโจรทั้งสาม ก็แค่เพื่อปกปิดความผิดของตัวเอง   เมื่อผมรู้เฉลยของหนังแล้วมองย้อนกลับไปในวันที่ปอทิ้งเงินในหลุมลูกนิมิต ก็อดคิดไม่ได้ว่า หลวงตาชื่นไปทำอะไรในวัดค่ำๆมืดๆแบบนั้น   เป็นไปได้ไหมที่หลวงตาพยายามจะหาพระนาคปรกองค์จริงที่เป็นทองในยามวิกาล   แต่ทำไมในตอนแรกเราถึงไม่คิดระแวงหลวงตาชื่นเลย   เพราะหลวงตาชื่นท่องบาลีได้   เพราะหลวงตาชื่นเป็นคนต้นคิดเรื่องการฉันท์อย่างพระสมัยก่อน(นำอาหารรวมกันในบาตรเดียว)   เพราะหลวงตาชื่นดูมีอายุและท่าทางใจดี   เพราะหลวงตาชื่นพูดบอกว่าอยากให้โจรกลับใจ  เพราะหลวงตาชื่นเป็นพระ   สิ่งเหล่านี้คือสิ่งลวงตาเรา ทำให้เรามองไม่เห็นพฤติกรรมน่าสงสัยในตอนต้นเรื่อง   หนังเรื่องนี้ได้บอกเราว่า พระอย่างสิงห์และป่านที่มีความเป็นโจรอยู่เต็มร้อยทั้งกายและใจนั้นจับได้ไม่ยาก แต่พระอย่างหลวงตาชื่นที่มีความเป็นโจรแอบซ่อนอยู่ภายในรูปกายและวาจาที่ดูดีนั้นต่างหากที่น่ากลัว   เป็นหลืบไรศาสนาอย่างแท้จริง จากคุณ : BufferWolfa เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 07:38:18

ความคิดเห็นที่ 7 ส่งท้าย   มีบางคนกล่าวหาว่าหนังเรื่องนี้ทำให้วงการศาสนาเสื่อมเสีย เป็นหนังที่ไม่จรรโลงพุทธศาสนา แต่ในสายตาของผม แง่คิดที่ได้จากหนังเรื่องนี้ ทำให้ผมรู้ว่า พวกเขาทำการบ้านมาเป็นอย่างดี มีการศึกษาเรื่องศาสนาในทุกแง่ สิ่งที่ต่างจากหนังศาสนาทั่วไปคือ พวกเขากล้าถามคำถามและกล้าที่จะนำเสนอในอีกแง่มุมหนึ่งในโลกแห่งความจริงให้คนทั่วไปได้รับรู้ สุดท้ายขอขอบคุณ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับหนังเรื่องนี้ทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับ ที่กล้าจะนำเสนอหนังแนวนี้ ขอบคุณนักแสดงที่กล้ารับบทที่ออกจะหมิ่นเหม่ในการจะโดนทุเรียนฟาดหน้าเพราะการทำตัวน่าเกลียดภายในหนัง และ ขอขอบคุณผู้ที่พยายามจะแบนหนังเรื่องนี้ ที่ทำให้ผมตัดสินใจรีบดูก่อนที่มือแห่งศีลธรรมจะขย้ำหนังเรื่องนี้แบบไม่เหลือชิ้นดี ขอบคุณครับ (จบ) จากคุณ : BufferWolfa เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 07:39:19

ความคิดเห็นที่ 8 ปล. เห็นบางกระทู้ พูดถึงประเด็นที่ว่า ผู้ที่หลวงตาชื่นช่วยเป็นภรรยาของท่าน ตรงนี้น่าสนใจมาก แต่กระผมดูไม่ทัน ว่าผู้หญิงใช้คนเดียวกันหรือเปล่า สุดท้ายจริงๆ ขอขอบคุณ โรงหนัง UMG House RCA ที่ทำให้ค่าบัตรยังคงเป็น ๑๐๐ บาทอยู่ได้ จากคุณ : BufferWolfa เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 07:41:42

ความคิดเห็นที่ 9 หนังดี...และเขียนได้น่าคิดมากค่ะ... จากคุณ : Little Dreamer เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 07:48:54

ความคิดเห็นที่ 10 เรายังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ แต่ตั้งใจจะไปดู อ่านบทความของคุณแล้วรู้สึกว่าเราจะดูหนังได้เข้าใจและสนุกขึ้น ขอบคุณค่ะ ขอชมว่า วิธีการพิมพ์ การเว้นบรรทัด ทำให้อ่านได้ง่ายมากค่ะ จากคุณ : Pagee3324 เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 07:56:41

ความคิดเห็นที่ 11 เรื่องแบบนี้ ทำแบบ จรรโลงใจไว้ดีกว่า เพราะข่าวหน้า 1 มีให้อ่านทุกวัน ยิ่งตอกย้ำ ยิ่งบันทอน เดี่ยวนี้ คนเสื่อม หาใช่ ธรรมะเสื่อมไม่ แต่คน ก็โทษ ธรรมะ เสมอ จากคุณ : tempopo เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 08:25:42

ความคิดเห็นที่ 12 หนังดีครับ รู้แต่ว่า หนังเรื่องนี้ทำให้ผมเสียน้ำตาเลยครับ ดูแล้วอยากบวช เลย จากคุณ : coky เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 08:27:31

ความคิดเห็นที่ 13 เขียนดีมากค่ะ ดูเรื่องนี้แล้ว ประทับใจเหมือนกัน ^_^ จากคุณ : องค์หญิงน้อย เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 08:35:40

ความคิดเห็นที่ 14 ตั้งแต่แรก หลวงตาชื่นจำปอไม่ได้ครับ หลวงจาชื่นแค่พอเดาได้ว่า ปอ ป่าน สิงห์ น่าจะหนีคดีอะไรมา แต่คงไม่รู้ว่ามาทำอะไรกันที่วัด บวกกับสารวัตรมาขู่ให้บวชให้เลยต้องยอมบวชให้ สิงห์ กับ ป่าน หลวงตาชื่นมาจำปอได้ก็ตอนที่ปอสารภาพกับหลวงตาชื่นว่ามาเอาเงินนั่นแหละครับ จากคุณ : Life Shot เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 08:37:34

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณค่ะ ไปดูมาแล้ว เกิดความสงสัยบางอย่างเรื่องเงินที่หายไป พออ่านแล้วก็พอจะเข้าใจค่ะ ผู้หญิงที่สุดท้ายเป็นเมียหลวงตา เป็นคนเดียวกับที่หลวงตาช่วยตอนถูกงูกัดค่ะ จากที่สังเกตนับจากเรื่องเกิดเป็นเวลา 4 ปี แต่ลูกสาวที่เรียกพ่อ ตอนอยู่ในรถ น่าจะอายุเกิน 4 ปีหรือเปล่าคะ อาจจะมีความสัมพันธ์กับหลวงตามาก่อนหรือเปล่า (คิดมากไปปะเราเนี่ย) อีกข้อนึงที่สงสัย พระทองคำที่สุดท้ายอดีตหลวงตาเอาผ้าคลุมไว้ คือพระที่อยู่ในนาคปรกหรือเปล่าคะ หนังดี ดูได้เรื่อยๆ ไม่ค่อยตื่นเต้น เหมือนเดาเรื่องได้ เหมือนอยากจะขยี้ใจคนดูกับฉากที่ป่านเทศน์ แต่เรายังไม่โดนเท่าไหร่ค่ะ จากคุณ : koi_purple เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 08:44:36

ความคิดเห็นที่ 16   หนังดีจริงๆนะครับ ตอนแรกดูตอนโฆษณา "อยากดูแฮะ" ไปๆมาๆ เจอคำวิจารณ์ (จากหลายแหล่งบ้าง) ก็เลย "เริ่มเฉยๆ" แต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เบื่อๆ ไปดูหนัง แล้วไม่มีรอบเลย สุดท้ายก็เลย "นาคปรก" ก็ได้วะ พอออกมาจากโรง พูดไม่ออกจริงๆ หนังเขาทำให้ข้อคิดเยอะทีเดียวเชียว ชอบตอนที่ หลวงพี่ป่านเทศน์มากๆ เลย นานๆทีจะมีหนังดีๆฝีมือคนไทย ให้ข้อคิด มันน่าสนับสนุนจริงๆนะครับ จากคุณ : Erosson เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 08:57:53

ความคิดเห็นที่ 17 ผมคิดว่า ธีมหลักของเรื่องมันคือ มนุษย์นั้นเป็นบัวสี่เหล่า บางคนฟังพระธรรมให้ตายก็ไม่บรรลุ บางคนบรรลุได้ บางคนถ้าโชคดีหรือมีกรรมที่ดี ก็สามารถพ้นกิเลสมาบรรลุได้ แต่ถ้าไม่หนักแน่นพอ ก็โดนเต่าปลากินไปก่อน. หลวงตาชื่น น่าจะตั้งใจจริงที่จะบวชพระ ดูจากการกระทำที่มีการสำนึกผิด แต่เพราะกิเลสเรื่องเงินเจ็ดล้าน ทำให้ไขว้เขว ถูกกิเลสล่อลวง ไม่ได้เป็นคนเลวที่เอาหน้ากากความดีมาบังหน้า แต่เป็นคนธรรมดาที่มีรัก โลภ โกรธ หลง และพร้อมที่จะถูกดึงไปทางใดทางหนึ่งตลอดเวลา. แต่ปอนั้น เห็นแล้วว่า เงินเจ็ดล้านคือทุกขลาภ ไม่ใช่สิ่งที่นำสู่ความสุขที่แท้จริง เป็นสิ่งที่พึงละวาง แล้วเขาก็ตัดสินใจเข้าสู่ร่มเงาของพุทธศาสนาด้วยความเต็มใจ. ส่วนป่าน ยังสับสนในชีวิต กิเลสของเขาไม่ได้อยากมีความสุขจากความร่ำรวย แค่อยากให้แม่ได้มองเห็นเขาอีก อยากกลับตัวแต่ก็ยังสองจิตสองใจ เกือบเข้าถึงโลกพระธรรมแล้ว เข้าใจแล้วว่าความสุขที่แท้นั้นเป็นอย่างไร แต่ก็ยังถูกกิเลสล่อลวงกลับมา. ส่วนสิงห์นั้น คือบัวใต้น้ำ ต่อให้ใกล้ชิดพระธรรมแค่ไหน ก็ไม่อาจชี้นำชีวิตไปสู่ความถูกต้องได้เลย. นี่คือบัวสี่เหล่า ผ่านตัวละครหลักทั้งสี่ ที่ได้มีโอกาสใกล้ชิดกับคำสั่งสอนทางพุทธศาสนา บางคนรอด บางคนเกือบรอด บางคนไม่มีโอกาสเลย บางคนละทิ้งโอกาส. ส่วนบทของผึ้งนั้น ผมมองว่าเป็นส่วนเกินที่มีหรือไม่มีก็ได้ ไม่ได้สำคัญกับเรื่อง เอาเข้ามาก็เพื่อให้เป็นหนังฟิล์มนัวร์โดยสมบูรณ์แบบคือต้องมีหญิงร้ายชายเลว ก็เท่านั้น การที่จู่ ๆ ผึ้งก็นึกถึงพระถึงศาสนาขึ้นมาก่อนตาย เป็นเหตุการณ์ที่ค่อนข้างกระโดดและขาดการปูพื้นที่ดีพอ. จากคุณ : LittleTiger เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 08:58:01

ความคิดเห็นที่ 18 เขียนได้ลื่นไหลดีครับ ผู้หญิงที่ถูกงูกัดเป็นภรรยาหลวงตาแน่นอนครับ  (จำหน้าได้) และทำให้บทหนังดูยกระดับขึ้นอีกนิด เอาหนังสือแถลงการณ์ต่อต้านหนังเรื่องนี้มาแปะให้อ่านด้วย  (จากเว็บ http://thaicinema.org/board/index.php?topic=595.0) จากคุณ : beerled เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 08:59:03

ความคิดเห็นที่ 19 พระพุทธเจ้าทรงยังตรัสเอง ทุกอย่างต้องมีเกิดและมีดับ จากคุณ : ajstar เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 09:39:03

ความคิดเห็นที่ 20 อ่านแถลงการ์ณแล้ว รู้สึกเหมือนฟังพระเทศน์ โดยปิดตาไว้ข้างนึง ผมในฐานะคนชอบวิจาร์ณหนัง และเคยบวชเป็นพระ ผมมีอีกแง่หนึ่ง จะขอเพิ่มเติม จขกท ซึ่งเขียนได้ดีมากอยู่แล้ว คือ ศาสนาพุธ ของเรา ควรยึดทุกกระเบียด ตามข้อกำหนด ที่พระพุทธเจ้ากำหนดไว้ โดยเคร่งครัด หรือ ควรปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย โดยอิงแก่นของศาสนาไว้ ??? ในฉาก งูกัด หากเป็นเหตุการ์ณจริง ? ผิดหรือถูก กับการช่วย 1 ชีวิต ให้รอด แต่พระที่ช่วยเหลือ อาจต้องสึกออกจาการเป็นพระ ? ถ้ายึดหลักตามหลักคำสอน ก็ ศีลขาดแน่นอน แต่ถ้ายึดหลักสังคมแล้ว ย่อมได้รับการอนุโลม สุดวิสัย อย่างแน่นอน และ ในฉาก สูบบุหรี่ ทำให้ผมคิดถึงตอนบวช หลวงพี่องค์นึง ทัก พระใหม่ ที่มาบวชว่า เวลลาสูบบุหรี่ให้นั่ง ห้ามลุก เดิน ยืน พระอีกท่านจึงทักว่า จริงๆใน บัญญัติ คำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ได้ห้ามการสูบบุหรี่ไว้ แต่ที่ให้นั่ง เพื่อให้เกิดความสำรวม ผมจึงถามขึ้นว่า ก็เมื่อ 2000 กว่าปีก่อนยังไม่มีบุหรี่ นี่หลวงพี่ เลยไม่มีข้อห้าม แต่ในเมื่อมีในยุคสมัยนี้ แล้วมันไม่ไดี ไม่เหมาะสมก็ควรห้ามไม่ใช่หรือครับ ? หลวงพี่ ตอบ ให้ข้อคิดว่า อยู่ที่ว่าเรา กำลังนับถือศาสนาพุทธ แบบไหน ? ถ้าเรากำลังมองถึงหลักธรรมคำสอน และการปฎิบัติ ของพระพุทธเจ้า หมดทุกกระเบียดนิ้ว ย่อมเป็นการดี แต่ ก็อาจมีบางสิ่ง ที่เราต้องจำใจผ่านเลยไป เพราะยุคสมัย สังคม ที่เปลี่ยนไป หรือ หากท่านจะยึดถือแก่นของศาสนา โดย ยึดหลัก ทำดี พูดดี ปฎิบัติตัวให้อยู่ในศีลในธรรม ตามคำสอน แต่ ในขณะเดียวกันก็รู้จักปรับ การปฎิบัติธรรม ให้เข้ากับสังคมและยุคสมัยด้วย ก็พึงกระทำได้ แล้วคุณ เลือกทางไหน ? ครับ จากคุณ : เจ้าหญิงน้อยแห่งอันดามัน เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 09:43:11

ความคิดเห็นที่ 21 ไปดูมาแล้วค่ะ ส่วนตัวคิดว่าหนังไม่ได้ทำให้ศาสนาเสื่อมตรงไหนเลย กลับให้แง่คิดมากกว่า ถ้ามองในความเป็นจริงบางข่าวที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับพระและศาสนา ดูจะแรงกว่าหนังด้วยซ้ำไป ดูหนังเรื่องนี้แล้วเรารู้สึกดีกับศานามากกว่าเวลาเจอข่าวไม่ดีของพระซะอีก จากคุณ : Because u luv me เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 10:19:42

ความคิดเห็นที่ 22   จาก BJ ดู แล้ว ไม่อิ่มในอารมณ์ ครับผม ฉากเอากันในกุฎิพระมันไม่แรงพอครับ มันไม่ดิบเถื่อน ไม่เห็นเนื้อหนังมังสา ไม่พอกับที่เป็นไอ้สิงห์ บัวใต้ตมครับ ยังแรงได้อีกครับ จากคุณ : BJ เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 10:36:50 A:192.168.0.240 X:192.168.1.72, 180.180.236.229 TicketID:259818

ความคิดเห็นที่ 23 ยังไม่ได้ดูค่ะ แต่จากที่อ่านจาก จขกทกรมศาสนา... อะไรก็แล้วแต่ ที่มีหนังสือคัดค้่านออกมา ไม่ได้ดูเจตนาที่หนังต้องการสื่อเลย.. แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 53 10:42:07 จากคุณ : ป้าชื่อเห็ดโคน เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 10:41:25

ความคิดเห็นที่ 24 เราเอาเงินมาวัดค่าความกตัญญูได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ --ใช่เลยครับ จากคุณ : mo wax เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 10:58:03

ความคิดเห็นที่ 25 เราเอาเงินมาวัดค่าความกตัญญูได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ --ใช่เลยครับ จากคุณ : mo wax เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 10:58:15

ความคิดเห็นที่ 26   แถลงการณ์ดังกล่าว..... เกิดจากการมองแต่เปลือกอย่างฉาบฉวย.... ไม่แม้แต่จะศึกษากับปัญหา(ที่ตนเองคิดขึ้นมาเอง) อย่างถ่องแท้.... หลับหูหลับตา ตะโกนต่อต้านออกมาด้วยความเกลียดชัง อคติบังตามิดชิด.... น่าอนาถใจกับคนกลุ่มนี้ ที่คิดว่าตนเองเลิศเลอมีศีลสูงส่ง..... แต่ปัญญาและสติสั้นกุด น่าอัปมายิ่งนัก.... ประสาจะวางใจให้เป็นกลางและพิจารณาให้ถ่องแท้...ยังไม่มีปัญญาเลย.... ยังจะมาลอยหน้าลอยตา ตีฆ้องร้องเป่าต่อต้าน อย่างหูดับตับไหม้และตาบอด......   หยุดการกระทำอันโง่เขลานี้ด้วยเถิด.... อย่าเสนอหน้ามาทำหน้าที่เป็นตัวแทนเรียกร้องแทนคนอื่นอย่างนี้เลย....พวกท่านทั้งหลาย.... สติปัญญาและมาตรฐานมันยังไม่ถึง....   อนาถใจจริงๆ.....เวรกรรมแท้ๆ.... ปล.  เห็นด้วยกับข้อเขียน และการวิเคราะห์ตีความของ จขกท. ในหลายๆแง่ด้วยกันจ้ะ..... แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 53 11:03:39 แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 53 11:06:52 จากคุณ : .....**{~_^}**..... (สางฝอย) เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 11:01:07

ความคิดเห็นที่ 27 โหวตจ้า จากคุณ : kodindy เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 11:08:19

ความคิดเห็นที่ 28   ภาพ " ภิกษุสันดานกา "  โดย นายอนุพงษ์ จันทร ที่ได้รับรางวัลเหรียญทองจากการชนะเลิศการประกวดผลงานศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่ 53 ประจำปี 2550 ประเภทจิตรกรรม . จากคุณ : .....**{~_^}**..... (สางฝอย) เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 11:09:49

ความคิดเห็นที่ 29 ดูมาเมื่อวาน รู้สึกว่าเป็นหนังดี เรื่องหนึ่ง ที่น่าดู แต่ยังไม่พีคครับ อารมณ์ร่วม ยังไม่ถึงที่สุดขาดไปนิดหน่อย แต่ก็สร้างปม ทำให้คนดูคิดไม่ถึง หลายอันดีครับ ทั้งเรื่องตำรวจ  ทั้งเรื่องหลวงพ่อชื่น เจ๋งดีครับ จากคุณ : ตามมานาน เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 11:27:19

ความคิดเห็นที่ 30   ภรรยาหลวงตาชื่นกับผู้หญิงที่ถูกงูกัดเป็นคนเดียวกันครับ รับบทโดยคุณสวนีย์ อุทุมมา จากคุณ : KNS (เคเอ็นเอส) เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 11:34:32

ความคิดเห็นที่ 31 จากที่ดูหนังสือคัดค้านของ ประธานฯ องค์การฯ สมาคมพุทธ ทำให้รู้ว่า บุคคลเหล่านั้นก็คือคนที่มีกิเลสเช่นเดียวกันปุถุชนทั่วไปไม่มีอะไรแตกต่าง เหตุเช่นนี้เพราะ พวกเขาเหล่านั้นมิได้แสดงออกถึงปัญญาที่มีตามพระพุทธศาสนา แม้โดยรวมจะมีเจตนาดีที่จะปกป้องพระพุทธศาสนา เพียงแต่ขาดปัญญาอาศัยเป็นเครื่องนำทาง เช่นเดียวกับกรณี ภาพศิลป์ พระสันดานกา เมื่อหลายปีก่อน ที่มีการเรียกร้อง ทั้งๆที่มองไม่เห็นถึงเจตนาที่แท้จริงของผู้สร้างสรรค์ เสมือนกับว่า มองคนเพียงแต่ภายนอก ซึ่งขัดกับหลักศาสนาที่ต้องไตร่ตรองด้วยเหตุและผล หรือ ถ้าจะบอกว่าไตร่ตรองจากคณะกรรมมาธิการฯแล้ว ก้ยิ่งฟังไม่ขึ้น ทำให้แทนที่จะกลายเป็นมีเจตนาปกป้อง กลับกลายเป็นว่ามีเจตนาปกปิดหรือไม่... พระพุทธศาสนาที่แท้ มิได้ขึ้นอยู่กับภาพพจน์หากแต่ขึ้นอยู่กับการกระทำที่ประกอบไปด้วยเจตนาที่ตั้งมั่นที่จะทำคุณความดีให้ปรากฏ ลาภ ยศ สรรเสริญ หรือแม้กระทั่งความดี ต่างล้วนเป็นสิ่งบั่นทอนในการมุ่งมั่นทำความดี ทำให้นึกถึงเรื่องจริงเรื่องนึง ที่มีสตรีใจบุญผู้หนึ่งที่ตั้งมั่นที่จะสืบทอดพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังและเป็นที่เลื่อมใสต่อศานุศิษย์ สตรีคนดังกล่าวมุ่งปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งยวด ทั้งการทำบุญ และปฏิบัติกรรมฐาน จนกระทั่งชะตากรรมเล่นตลกหรืออย่างไรก็สุดแล้วแต่ บุตรสาวของเธอตั้งท้องโดยไม่มีพ่อเพราะขาดซึ่งการอบรมสั่งสอนที่ดี สตรีผู้เป็นแม่กลับตัดสินใจพาลูกสาวไปทำแท้งอย่างลับๆ เพื่อป้องกันคำครหาและความเสื่อมเสียมาสู่ตนโดยมิให้ผู้ใดล่วงรู้จวบจนปัจุบัน....   การกระทำลักษณะนี้ ปรากฏให้เห็นในสังคมบ่อยๆ ภายใต้ฉากหน้าที่เป็นคนดีเป็นแม่พระ ต่างก็เคยกระทำผิดเพื่อป้องปิดความไม่ดีมาสู่ตนเพื่อปกป้องรักษาชื่อเสียงอันไม่จีรังยั่งยืนเอาไว้อย่างนี้เรียกว่า ยึดติดในความดีได้หรือไม่  เราจะเห็นว่า คนในสังคมมีหลายประเภท พระภิกษุในพุทธศาสนาก็มีหลายประเภท พระสงฆ์ที่แท้ มิใช่สมมติสงฆ์อย่างในปัจจุบัน ต้องปฏิบัติตามหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ด้วยจิตตั้งมั่นในความเพียรที่จะบรรลุความดี คือ การปล่อยวางอย่างถึงที่สุด ไม่ยึดมั่นถือมั่นในความดีชั่ว ไม่กระทำตนให้เป็นที่เสื่อมเสียเกียรติโดยขาดปัญญา เจตนาปฏิบัติของภิกษุสงฆ์ในอดีตคือการปฏิบัติดี ปฏิบัติอย่างถึงที่สุดจะเป็นแรงผลักดันให้ศาสนายั่งยืนเฉกเช่นพระเกจิอาจารย์ในอดีตที่มุ่งปฏิบัติธรรมอย่างแรงกล้าจนบรรลุถึงหลักธรรมแล้วจึงค่อยเทศนาสั่งสอนอบรมผู้ที่พอจะเข้าถึงธรรมได้ ซึ่งผิดกับปัจจุบัน ที่มุ่งแต่แสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ ปัจจัยภายนอกโดยมิได้ทำภายในให้เจริญ เพียงแต่มีความรู้ในชั้นปริยัติแต่ขาดการปฏิบัติ จึงทำให้พุทธศาสนาขาดแรงขับเคลื่อนไปสู่ทางแห่งธรรม ทำให้ในอนาคตกาลอาจจะเหลือเพียงพระอภิธรรมหากแต่น้อยคนที่จะผู้รู้แจ้งในพระสัทธรรมนั้นจริงๆ จากคุณ : Cho_shang เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 11:45:00

ความคิดเห็นที่ 32 เรื่องพระแตะตัวผู้หญิงนั้น คิดยังไงๆก็คิดถึงนิทานเซนเรื่องนี้ทุกทีสินะ พวกท่านที่ออกมาประท้วงน่ะ ท่านยัง "อุ้มผู้หญิง" ในหนังไว้อยู่อีกเหรอคะ --------------------- "พระอุ้มผู้หญิง" เรื่องนี้เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น เป็นบทเรียนสำคัญของหลวงตาที่บรรลุธรรมแล้ว ชื่อ "ตันซัน" กับพระที่บวชใหม่ ชื่อ "เอกิโด้" พระที่บวชใหม่บางองค์เป็นพระแต่เปลือก เรียกว่า “สมมติสงฆ์” ไม่ใช่สงฆ์จริง ๆ เพราะพระสงฆ์ต้องปฏิบัติธรรมจนกระทั่งบรรลุธรรมจึงจะได้เป็น “อริย สงฆ์”  ซึ่งสังคมในปัจจุบันนี้เริ่มมีสมมติสงฆ์มากขึ้น “พระอรหันต์ข้างนอก ถูกหลอกเรื่อยไป แต่มองพระอรหันต์ข้างในไม่เท่าไหร่ก็เจอ ต้องหาที่ตัวเรา” อิกิโด้เป็นพระที่บวชใหม่ พระที่บวชใหม่ ๆ ยังไม่ได้ฝึกจิตฝึกใจ บางครั้งจิตใจยังต่ำอยู่ต่ำ คนที่ใจต่ำจะคอยจับผิดคนอื่น ซึ่งอิกิโด้ก็เป็นเช่นนั้น ดูและคอยจับผิดคนอื่นเรื่อยเลย "พระรูปนี้เป็นอย่างไร ล้างบาตรไม่สะอาด คนที่เดินดูไม่เรียบร้อย พระวัดนี้ไม่ดีสักรูปหนึ่ง" คนที่มองคนคนอื่นไม่ดี หน้าตาก็จะแก่ เศร้าหมอง เพราะอยู่ท่ามกลางคนไม่ดีทั้งนั้นเลย ทำให้ไม่มีความสุข  นั่นคือคนเพ่งโทษคนอื่น “การเพ่งโทษเขาเราเศร้าหมอง  การโทษตัวเอง ทำให้ใจเราบริสุทธิ์" เมื่อหลวงตาเห็นเข้าทราบเรื่องและเห็นเข้าท่านทรงมีเมตตา เห็นแล้วต้องช่วยเหลือ วิธีการช่วยเหลือของหลวงตาก็คือ  การชวนไปธุดง “ธุดง ย่างกิเลศ” คือ ทำให้ลำบากเป็นการขัดเกลา ฝึกความอดทน โดยหลวงพ่อตั้งเงื่อนไขไว้อย่างหนึ่งว่า “ขณะที่เดินทางไปในป่า นี้ถ้าเกิดเรื่องอะไรห้ามพูด ไม่ให้พูดโดยเด็ดขาด" ให้เดินไปเรื่อย ๆ ครั้งพอเมื่อเดินไปสักระยะ พอไปถึงมีทานน้ำในไหลเย็น ก็ได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งแต่งกิโมโนยืนร้องไห้อยู่กลางแม่น้ำ หลวงพ่อตังซันเห็นอย่างนั้นจึงเอาจีวรมัดเข้า แล้วก็เดินลงไปแม่น้ำ ลงไปทำยังไงอุ้มผู้หญิง แล้วก็ยกวางลงบนฝั่ง อิกิโด้เห็นอย่างนั้นแล้วทำไงล่ะ เพราะจิตใจต่ำ มือถือสากปากถือศีล อิกิโด้จึงคิดในใจว่า “เป็นหลวงตาที่อายุมากแล้ว เป็นเพราะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทำไมปฏิบัติอย่างนี้ อุ้มผู้หญิงได้ยังไง” หลวงตาวางเสร็จก็เดินยิ้มไป อิกิโด้ก็เดินตามหลัง ในใจก็คิดอยู่ตลอดแต่ก็ด้วยกฎของการห้ามทำให้เกิดความอึดอัด “หลวง ตาอุ้มผู้หญิง หลวงตาอุ้มผู้หญิง” คิดตลอดทาง พอตกกลางคืน ครั้นเมื่อหลวงตาก็เดินจงกลม เดินไปเดินมาจนกระทั่งตกดึก ประมาณก็ได้สองยามหลวงตาก็เข้าจำวัด อิกิโด้ก็เดินจงกลมเหมือนกัน แต่ในขณะที่เดินจงกลมอยู่นั้น ในใจและหัวสมองก็ยังเห็นภาพหลวงตาอุ้มผู้หญิงตลอด ทำให้ไม่มีสมาธิ พอนอนก็นอนไม่หลับ เมื่อนอนไม่หลับก็ทนไม่ไหว จากนั้นอิกิโด้ก็เลยไปปลุกหลวงตา เรียกหลวงตาตื่นขึ้นมา เรานอนหลับไปแล้วปลุกทำไมอีก หลับได้อย่างไงหลวงตา อ้าวทำไมหลับไม่ได้ล่ะ ก็เมื่อเช้าหลวงตาอุ้ม ผู้หญิง หลวงตาทำผิด จากนั้นหลวงตาจึงบอกว่า “หยุดนะ ข้าอุ้ม ข้าก็วางแล้ว แต่แกน่ะอุ้มมาถึงที่นี่” ที่มา  http://portal.in.th/u-research/pages/3250/ จากคุณ : คนภูธรGO ONนครบาล เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 11:56:27

ความคิดเห็นที่ 33 ท้ายที่สุดแล้ว "กิเลส" "ความโลภ" "ขาดความละอายใจ ที่จะกระทำผิด" ก็ครอบงำผู้ที่หลงใน"กิเลส" "ความโลภ" "ขาดความละอายใจ ที่จะกระทำผิด" อยู่ดี เราว่า เนื้อเรื่องของ นาคปรก เป็นแค่ส่วนหนึ่ง.... ยังมีอีกเยอะที่คุณไม่รู้??? ทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนมี เกิด มี ดับ มีขาว มีดำ อย่าปล่อยให้ เหลือ แต่ แก่นแท้ของศาสนา โดยที่เราไม่ดึงมาใช้เลย "ศาสนา ไม่ได้ เสื่อม" แต่ "คน ต่างหาก ที่ทำให้ ศาสนาเสื่อม" "อยู่ไปก็รกโลกจริงๆ" "นสิยา โลก วฑฺฒโน" แปลว่า "ไม่ควรเป็นคนรกโลก" แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 53 13:53:41 จากคุณ : wayoflife เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 12:04:29

ความคิดเห็นที่ 34 ชอบทุกความคิดเห็น อ่านแล้วเข้าใจในเนื้อเรื่องได้ดีขึ้น รวมทั้งความคิดที่ผู้กำกับพยายามใส่เข้าไปในเรื่อง เป็นหนังดีอีกเรื่องจิงๆ แต่อย่างที่บอก หนังมันยังไม่แรงพอในความรู้สึก กรรมที่พระไม่ดีได้รับก็ยังไม่ได้สื่อให้เห็นถึงกรรมที่ได้กระทำไป แต่รวมแล้ว ชอบครับ จากคุณ : print 43 เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 12:10:12

ความคิดเห็นที่ 35   เห็นตาม 28 ครับ จากคุณ : คิมบ๊อก เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 12:26:21

ความคิดเห็นที่ 36 หนังดีค่ะ และคุณก็เขียนได้ดีมากเช่นกัน สำหรับเรา เรายึดมั่นว่า ผิดถูกชั่วดีอยู่ที่เจตนาค่ะ ต่อให้เราเป็นพระ แล้วแม่ตาบอด เราก็คงทำแบบนั้นเหมือนกัน และมันจะผิดมากกว่า ถ้ามีคนจะตายอยู่ตรงหน้าแล้วพระสงฆ์ไม่ยื่นมือเข้าช่วยเพราะกลัวผิดศีล คิดว่าัยังงั้นนะ.. จากคุณ : sAilOvEnOk เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 12:41:54

ความคิดเห็นที่ 37 2.เรื่องที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดร็อปในสายตาเรา คือ 1. การขึ้นข้อความ พระไม่ควรแตะตัวผู้หญิง เราเข้าใจดีถึงการตั้งคำถามในหนัง ว่า พระช่วยผู้หญิงถูกงูกัด ตกน้ำ หรือแม่จับตัวลูกที่บวชแล้วจะเป็นยังไง ซึ่งหากุหนังโดยตลอด เรารู้สึกว่าการขึ้นข้อความแบบนั้น งี่เง่าไปเลย 2.การเฉลยตอนท้าย น่าจะตัดจบ แค่นั้นไปเลย ว่าสรุปหลวงตานี่แหละที่เอาเงินไป ไม่น่าขึ้นตัวหนังสือเฉลย เพราะมันทำให้อรรถรสเสีย แต่เข้าใจได้ว่า เืพ่อให้คนที่ไม่ค่อยเข้าใจ เข้าใจเรื่องมากขึ้น แต่เรารู้สึกว่าประเด็นนี้มันทำให้เสียรสชาติ อีกอย่างคงอยากทำให้เห็นว่า "กรรมตามทัน" คนทำผิดต้องถูกจับ แต่ในชีวิตจริงมีตั้งหลายกรณีไม่ใช่เรอ ที่คนทำผิด ยังลอยนวล (ในชาตินี้) จากคุณ : สุริยาแก้มป่อง เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 13:08:44

ความคิดเห็นที่ 38 คิดแต่จะแบนหนัง โดยไม่ย้อนดูตัวเองเลยว่า ที่เขาเอามาทำหนังน่ะ ไม่ถึงครึ่งกับที่เกิดขึ้นในสังคมเลย ถ้าแบนแล้วพวกนอกรีตจะหายไปไหม ก็เปล่าเลย ควรเอาเวลาแอนตี้หนังไปจัดการแก้ปัญหาคนในผ้าเหลืองของคุณดีกว่า เจตนาหนังคือ ทำให้คนเลื่อมใสศาสนาอย่างมีสติ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำให้คนเชื่อเปลือกนอก แต่ภายในเน่าจนหนอนไม่กล้าชอนไช ผมเป็นคนหนึ่งที่เอือมกับข่าวพระกินเหล้าเคล้าสีกา พระนุ่งกิโมโน เห็นจังๆ ตอนพระซื้อลิปสติคสีบานเย็น ภาพยังติดตาอยู่เลย จนเลิกทำบุญตักบาตรมาหลายปี แต่พอดูหนังเรื่องนี้ ผมร้องไห้ให้กับคำพูดและพฤติกรรมของตัวละคร นี่ต่างหากที่เรียกว่า"การส่งเสริม" ไม่ใช้แค่คำอ้างว่าปกป้องศาสนาอย่างที่พวกท่านทำ ปล.เห็นด้วยกับ จขกท นะครับ แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 53 13:13:17 จากคุณ : nong_france11 เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 13:12:20

ความคิดเห็นที่ 39 เขียนได้อ่านและเข้าใจง่ายมากค่ะ สำหรับคนยังไมได้ดูอย่างเรา อ่านแล้วทำให้อยากดูเลย จากคุณ : ล๊อกเก๊ตรูปหัวใจ เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 13:28:39

ความคิดเห็นที่ 40 อยากดูครับ  แต่คงต้องรอ VCD .. เฮ้อ.. จากคุณ : CPR360J เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 13:36:30

ความคิดเห็นที่ 41 อ่านตอนท้ายของแถลงการณ์ "หากไม่ดำเนินการ จะมีมาตรการเพิ่มเติมอย่างรุนแรงต่อไป" นี่เหรอ คนที่อิงอยู่กับศาสนา อย่างกะยุคล่าแม่มด ใครไม่เห็นด้วย จับเผาหมด จากคุณ : vitta skywalker เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 13:37:28

ความคิดเห็นที่ 42   เข้าใจในสิ่งที่ จขกท. สื่อ ชัดเจนดีครับ ศาสนาพุทธเป็นกลางและเป็นธรรมชาติที่สุดแล้ว แต่คนไทยมักตีความผิดๆเสมอ แม้แต่พระสงฑ์เอง จากคุณ : antonio_o เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 13:39:59

ความคิดเห็นที่ 43 เขียนวิจารณ์ได้ดีค่ะ ชัดเจนดี จากคุณ : ไวน์อุ่น เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 13:59:26

ความคิดเห็นที่ 44 เข้ามาทวิต จากคุณ : ห้ามวางไว้ไกล้เด็ก เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 14:07:19

ความคิดเห็นที่ 45 จขกท เขียนดีมากค่ะ อ่านไม่สะดุดเลย เห็นด้วยว่านาคปรกเป็นหนังดูแล้วคิดมาก เพราะถ้าได้ดูแล้วไม่คิดอะไรเลย ก็จะไม่ได้อะไรเลยจากหนัง หนักกว่านั้นอาจจะลุกขึ้นมาต่อต้านแบบหาเหตุ หาผลไม่ได้อีกนา หนังเรื่องนี้ดีต่อศาสนาพุทธแน่นอนค่ะ เพราะเป็นหนังที่เตือนสติเราชาวพุทธให้มองโลกในความเป็นจริงนั่นคือ ในสิ่งดีอาจมีสิ่งไม่ดีซ่อนอยู่ และในสิ่งไม่ดีก็อาจมีสิ่งดีซ่อนอยู่ได้เช่นกัน พุทธศาสนาให้คุณค่าแก่ทุกคนได้เท่ากัน แต่คนเราเองต่างหากที่รับคุณค่าของพุทธศาสนาได้ไม่เท่ากัน ศาสนาพุทธบอกเราว่าอย่าเชื่ออะไรง่ายๆ ไม่เว้นแม้แต่ตัวพระพุทธองค์เอง จนกว่าเราจะได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง และเห็นจริงตามนั้นแล้วค่อยเชื่อ ค่อยศรัทธา พุทธศาสนาเป็นศาสนาของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แต่ก่อนจะรู้ได้เราต้องคิดให้ได้ก่อนค่ะ นาคปรกจึงเป็นหนังที่ดูแล้วต้องคิดให้มากๆ อย่าง จขกทว่าจริงๆ แหละ จากคุณ : Miss perjer_123 เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 14:10:38

ความคิดเห็นที่ 46 เราอยู่ศาสนาพุทธค่ะ เคารพและเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เป็นความเชื่อของเรานะคะ  เป็นความคิดเห็นส่วนตัว หากไม่พอใจต้องขออภัยด้วยค่ะ พระพุทธศาสนา มีทั้งด้านดี และด้านเสื่อม การนำทางด้านดีมาเผยแพร่ให้ผู้คนได้รับรู้นั้นเป็นสิ่งดี และน่ายกย่องค่ะ แต่การที่นำด้านเสื่อม ออกมาเผยแพร่ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่รู้กันอยู่ในใจทุกคนอยู่แล้ว แต่กลับยังกล้านำออกมาเผยแพร่ให้คนได้รับรู้ คนที่ไม่ซึ้งในพระธรรมเมื่อดูก็อาจจะต่อว่าพูดจา ให้ศาสนาเสื่อมเสียได้  แต่สำหรับคนที่มีความศรัทธา และเลื่อมใสก็ย่อมไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่รับรู้ได้ค่ะ   เราไม่ชอบหนังเรื่องนี้ และจะไม่ดูค่ะ เพราะคิดว่า นี่คือเรื่องสมมุติขึ้นมา ไม่ใช่เรื่องจริงแต่กลับเกี่ยวข้องกับศานาพุทธโดยตรง           ถือเป็นเรื่องแต่งขึ้นมา ถึงแม้จะมีอ้างอิงเรื่องจริงบ้างก็ตาม ซึ่งถ้าคนที่ไม่รู้แจ้งเห็นจริงก็ย่อมต้องต่อว่าการกระทำของพระในเรื่อง   ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึก ไม่ดีต่อพระพุทธศาสนาได้ ใครที่พิจาณาให้หนังเรื่องนี้ได้ฉายออกมาโดยไม่ไตร่ตรอง ถือเป็นการทำลายพระพุทธศานาโดยแท้จริง ทั้งคนแต่ง คนสร้าง หรือแม้แต่ผู้แสดงก็ตาม ไม่โดยทางตรงก็ทางอ้อมค่ะ เราขอประณามค่ะ และไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับหนังเรื่องนี้ค่ะ ไม่ว่ากันนะคะ  หากจะมีความคิดเห็นที่ไม่เห็นด้วย และไม่ตรงกับคุณ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : รักยิ้มจริงใจ เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 14:18:57

ความคิดเห็นที่ 47 เป็นบทความที่ดีครับ ตอนที่ดูมองข้ามอะไรหลายๆอย่างไป พอมาอ่านบทความก็ได้เห็นอะไรอีกหลายอย่าง องค์กรพุทธ์ดูหนังมาแล้วจริงป่ะเนี่ย บอกทีมงานมี"เจตนา"ทำลายศาสนา ตรงไหนวะที่มันทำลายศาสนา ดูแล้วเห็นค่าของศาสนามากขึ้นล่ะไม่ว่า ผมรักหนังเรื่องนี้ แผ่นออกซื้อแผ่นเก็บด้วย จากคุณ : Disorder เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 14:19:30

ความคิดเห็นที่ 48   ชอบที่ จขกท เขียนค่ะ ชัดเจน ตรงใจมาก เราดูแล้ว หนังเรื่องนี้ดี อยากให้ชาวพุทธทุกคนได้ดูด้วยซ้ำ หนังไม่ได้มีเจตนาทำลายพุทธศาสนาเลย  มันส่งเสริมพุทธศาสนาด้วยซ้ำ เป็นพุทธแนวก้าวหน้า ใช้ปัญญานำ มีหลายฉากที่ชอบ อย่างที่ จขกท พูดเรื่องหลวงตาชื่นถูกตัวผู้หญิงว่าสมควรรึไม่ จริงๆของอย่างนี้มันดูที่เจตนาเป็หลัก การช่วยผู้หญิงที่ถูกงูกัดก็ไม่น่าจะเลวร้ายอะไร และก็ฉากที่หลวงพี่ปอจับมือโยมแม่มาแตะผ้าเหลือง มันสะกิดให้คิดถึงหลักศาสนาพุทธกับการนำไปใช้จริงอะค่ะ คนที่ออกมาต่อต้าน ไม่เข้าใจว่าเอาอะไรคิด เรื่อมารศาสนานั้นทุกคนรู้ว่ามีจริง และหนังก็พูดถึงความเลวของคนกลุ่มนี้ ไม่ใช่การละเมิดพระธรรมคำสอนอะไรเลย ทำไมจะต้องมาห้าม หนังก็บอกแล้วว่าเรท น 18 คนที่ดูก็ต้องคิดได้สิคะ ถ้าคุมคนดูไม่ได้ก็โทษเจ้าของโรง หรือไม่ก็ผู้ปกครอง ไม่เกี่ยวกับตัวหนัง จากคุณ : คิโกะซึมะอิรุ เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 14:21:11

ความคิดเห็นที่ 49   รักยิ้มจริงใจ ... ผมสงสัยที่คุณเป็นชาวพุทธแต่คิดอะไรไม่เป็นเหตุเป็นผลกันเลย อย่างกับบัวใต้ตมที่ ท่าน ว. วชิระบอกไว้จริงๆ บัวใต้ตม มี 2 แบบ แบบแรกคือไม่มีความสามารถในการรับรู้ แบบที่สองคือรู้มากเกินไป น้ำเต็มแก้ว การที่คุณบอกว่า ไม่ดู ไม่ชอบ นั่นเกิดจากจิตของคุณและความคิดไปเองทั้งนั้น หรืออาจจะเรียกได้ว่า วิตกจริต ผมว่าลองศึกษาธรรมมะให้มันดีกว่านี้จะดีกว่านะ เอาให้มากๆกว่าเดิมไม่ใช่ท่องบทสวดมนต์ได้ หรือไปไหว้ระตักบาตรบ่อยๆก้คิดว่ารู้เรื่องธรรมมะ ที่จริงอย่างที่พระพุทธเจ้าว่าไว้ ธรรมมะล้วนรู้ได้ด้วยตนเองเท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าใครจะยกเหตุผลร้อยแปดอะไรมามันก็จะไม่เกิดกับคนผู้นั้นจนกว่าจะลงมือปฏิบัติ การไตร่ตรองของคุณเหมือนกับการไตร่ตรองแบบไม่มีข้อมูลเพราะคิดไปเอง ท่าน ว. ยังบอกเลยว่า พระไม่มีไม่ดี พระคือผู้ประพฤติชอบแล้ว ดังนั้นผู้ที่นุ่งห่มผ้าเหลืองแล้วทำตัวไม่ดีนั่นไม่ใช่พระ แต่เป็นคนที่สวมเครื่องแต่งกายพระเท่านั้น หรือว่าเวลา คุณรักยิ้มจริงใจดูหนัง สากล ที่บาทหลวง อยู่เบื้อหลังแผนการณ์ร้าย คุณไม่เข้าใจศาสนาเค้าเลยมองว่าเค้าเป็นคนร้ายจริงๆ คนไทยไม่นับถือคริสต์ก็มองว่าศาสนาเค้าเสื่อมงั้นหรือ งั้นทำไมจึงให้ฉายได้หรือเพราะมันไม่ใช่ศาสนาของเราเลยจะทำยังไงก็ได้ การมีสติย่อมทำให้เกิดปัญญา ผมไม่แน่ใจว่า รักยิ้มจริงใจ ไตร่ตรองด้วยสติ หรืออย่างอื่น? จากคุณ : suede เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 14:27:56 A:124.122.46.2 X: TicketID:249777

ความคิดเห็นที่ 50 ฟังท่าน ว.วชิรเมธี  เทศน์สอน เต๋า สมชาย และ พูดถึงหนังเรื่อง นาคปรก http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9020273/Y9020273.html แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 53 14:33:40 จากคุณ : zmen เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 14:31:58

ความคิดเห็นที่ 51 ชอบมาก เป็นหนังเรื่องแรก ที่ ไม่หยุดร้องไห้ ตอนหนังจบ ขึ้นแท๊กซี่ ยังร้องไห้ต่อ ตอนฉาก ที่พระเต๋า เทศน์ จากคุณ : kulov023 เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 14:42:15

ความคิดเห็นที่ 52 อาจจะร้องให้ต่อตอนขึ้นเครื่องบิน จากคุณ : สุดโหดโคตรโรแมนติค เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 14:57:39

ความคิดเห็นที่ 53 อ่านรีวิวแล้ว จขกท. เขียนได้ดีครับ ทำให้ผมเข้าใจความกว้างของหนังมากขึ้น (พอดีอินนิดหน่อยเพราะเพิ่งบวชมาตอนสิ้นปีที่แล้ว และ "เรื่องของสงฆ์กับบทบาทและศรัทธาในพระพุทธศาสนาของศาสนิกชน" เป็นหัวข้อที่พระอาจารย์และเพื่อนที่บวชรุ่นเดียวกันในขณะนั้นพูดคุยกันค่อนข้างมาก แต่คงไม่กล่าวถึงเพราะว่าท่านอื่นๆก็แสดงความเห็นไปแล้ว และผมเห็นด้วยกับส่วนใหญ่) เท่าที่อ่าน คิดว่าหนังทำออกมาได้ดีครับ แต่ส่วนตัวคงไม่ไปดู เพราะไม่ชอบเต๋า สมชาย - -" = = = = = ตรงนี้ข้ามไปเลยก็ได้ครับ แก้ไขความเข้าใจตามความเห็นที่ 87 ครับ = = = = แต่ว่าติดใจนิดนึง ตรงที่เป็นประเด็นเกี่ยวกับการที่พระไปแตะเนื้อต้องตัวสีกา (ขอโทษล่วงหน้านะครับ ถ้าใช้คำพูดไม่ถูกต้อง อาจจะใช้ภาษาไม่สละสลวยและไม่ดีนัก ถ้าหากว่าอ่านแล้วขัดใจ ผมขอโทษมา ณ ที่นี้) คือถ้าเข้าใจไม่ผิด การแตะเนื้อต้องตัวสีกา โอเค ศีลขาดครับ แต่ไม่ได้ทำให้พระอาบัติปาราชิกในทันทีทันใดนะครับ - ถ้าหากว่าการแตะเนื้อต้องตัวนั้น ไม่ได้ทำให้พระเกิดความคิดบัดสีและพระไม่ได้เกิดอารมณ์ทางเพศ อย่างนี้พระไม่ถึงขั้นอาบัติปาราชิกครับ จะไปผิดในข้ออื่นๆแทนที่เบาลงมา (น่าจะเป็นสังฆาทิเสส ถ้าเข้าใจไม่ผิด)ซึ่งพระสงฆ์สามารถแสดงอาบัติกับพระรูปอื่นได้ตามพระวินัยบัญญัติ - แต่ถ้าหากว่าการแตะเนื้อต้องตัวนั้น ทำให้พระเกิดอารมณ์ทางเพศขึ้นมา อย่างนี้อาบัติปาราชิกครับ = = = = = แก้ไขความเข้าใจด้านบนตามความเห็นที่ 87 นะครับ ขอบคุณคุณ # 87 ด้วยครับ = = = = เพราะฉะนั้นในมุมมองของผม ผมว่าถ้าหากพระสงฆ์เกิดอยู่รูปเดียว แล้วเห็นผู้หญิงถูกงูกัด พระสงฆ์รูปนั้นจำเป็นต้องช่วยเหลือ และพิสูจน์ได้จริงว่าไม่ได้กระทำอะไรที่ล่วงเกินผู้หญิงคนนั้น ถึงแม้ว่าศีลจะขาด แต่ขาดในกรณีที่หากสำนึกได้ก็แสดงอาบัติได้ และผมว่าพระรูปนั้นไม่สมควรจะอาบัติปาราชิกครับ ในทางตรงกันข้าม กลับจะได้บุญซะอีก   = = = = = เล่าเล่นๆ = = = = = ตอนบวชอยู่ พอดีมีสุนัขเพศเมียตัวนึงมักจะมานอนหน้าห้องผม ผมก็ให้อาหารมันบ้าง (แต่เผอิญว่ามันหยิ่ง จะต้องกินเป็นเวลา และเลือกกินซะด้วย เลยไม่ค่อยได้ให้มันบ่อย) แล้วอยู่มาวันนึง ผมก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ว่า เอ๊ะ มันหมาตัวเมียนี่หว่า เลยถามหลวงพี่ พระพี่เลี้ยงว่า "หลวงพี่ นี่มันตัวเมียนี่ครับ แล้วผมไปลูบหัวมัน ผมอาบัติมั้ยเนี่ย" หลวงพี่ตอบมาอย่างสบายๆว่า "ท่านลูบหัวมันแล้วคิดอะไรกับมันรึปล่าวล่ะ ถ้าท่านไม่ได้คิดอะไรกับมัน ท่านก็ไม่อาบัติ" =) edit แก้ข้อมูลตาม # 87 ครับ (แต่เผอิญไม่ชอบลบ แล้วก็ไม่ชอบพิมพ์ใหม่ เลยขอทิ้งความเก่าไว้ด้วยละกันนะฮะ) แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 53 23:58:00 จากคุณ : Xellent เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 15:05:50

ความคิดเห็นที่ 54 ว่าแล้วทำไม ปอ ถึงดูแข็งๆกับหลวงตาชื่น ปอคงสงสัยตั้งแต่ตอนที่ เมียหลวงตาถูกงูกัดและหลวงตายื่นเงินให้จำจำนวนเงินไม่ได้ แต่คิดว่าคงมากเกินที่พระจากชนบทควรจะมี และเงินส่วนนึงน่าจะไปสร้างโบสถ์ด้วยใช่มั้ย เพราะคำถามที่สารวัตรทิ้งไว้ว่า "ทำไมโบสถ์นี้สร้างเสร็จเร็วจัง" จากคุณ : พระลิงห์ (hellmonster) เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 15:12:00

ความคิดเห็นที่ 55 ขอบคุณค่ะ  สำหรับคำติ และคำเตือนที่ให้มา ก็บอกแล้วไงคะ  ว่าเป็นความคิดเห็นส่วนตัว เป็นความคิดเห็นที่แตกต่าง   คนเราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิด หรือเข้าใจไม่เหมือนกันได้ เพียงแต่ยอมรับฟังความเห็นและนำมาพิจารณาได้ แม้จะแตกต่าง   คุณเองก็คิดได้อย่างที่คุณคิด  คุณเองก็ไม่ผิดค่ะที่คิดกับเราแบบนี้ ซึ่งก็ถูกที่เจ้าของกระทู้แนะนำ  หรือหลายๆ ท่านว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาด้วยซ้ำ   แต่นี่คือความคิดเห็นส่วนตัวของเรา ซึ่งเจ้าของกระทู้ก็แจ้งแล้วว่า คุณอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้ ซึ่งคนที่ดูแล้วคิดได้ก็ดี มีประโยชน์ค่ะ  แต่สำหรับผู้ไม่รู้และคิดไม่ได้ดูแค่ผิวเผิน ก็ทำให้เสียได้เช่นกัน   ไม่ใช่ทุกคนจะคิดได้นี่คะ เรื่องของศาสนาเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากค่ะ   อาจเพราะด้วยความเคารพและศรัทธา  หากคุณปู่คุณย่ามาได้ดูอาจจะรับไม่ได้   การที่นำเราสิ่งที่คนเคารพและศรัทธา มาเล่นเป็นภาพยนต์และสื่อในทางไม่ดี  เรารู้สึกกระทบกระเทือนจิตใจค่ะ อาจเป็นเพราะเราอาจจะอ่อนในพระธรรมอย่างที่คุณกล่าวมาก็ได้  ซึ่งทำให้เรารับไม่ได้ในเรื่องนี้ยอมรับในความ วิตกจริตนั้นค่ะ   และต้องขอโทษเป็นอย่างยิ่ง หากทำให้จิตใจใครขุ่นเคืองใน รักยิ้มจริงใจ เราไม่มีเจตนานั้น อย่าโกรธเคืองกันเลยนะคะ แต่ก็ยังขอยืนยันคำเดิมค่ะ  ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะเป็นความคิดของเราเอง ไม่ใช่จะไม่ยอมรับในหนังเรื่องนี้นะคะ เพราะก็คือภาพยนต์เพียงเรื่องหนึ่ง แต่ยอมรับไม่ได้กับสิ่งที่จะกระทบกระเทือนพระพุทธศาสนาค่ะ   แต่ถ้าใครรับได้ก็ไม่เป็นไรนี่คะ  รับได้แล้วก็ขออนุโมทนาบุญด้วย หากท่านกล่าวอ้างว่าได้เป็นบัวที่โผล่พ้นน้ำแล้ว ก็ยินดีด้วยค่ะ ก็ต้องขออภัยกับคุณ  suede  หรืออีกหลายๆ ท่านในที่นี้ ทุกวันนี้ เราทำบุญตักบาตรเกือบทุกวันอาทิตย์ค่ะ  ทำกับข้าว หุงข้าวเอง ไปถวายท่าน  นั่งฟังธรรมบ้าง  เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้างค่ะ  แล้วแต่เหตุและผล หรือความขัดแย้งในใจเราค่ะ แต่ส่วนใหญ่ก็จะมีคำตอบให้เสมอ แล้วก็ได้บวชชีพราหมณ์มาบ้างแล้ว บวชทุกปี ช่วงเทศกาลกินเจ ไม่ทานเนื้อสัตว์ค่ะ สวดมนต์เมื่อรถติดบางครั้ง   แต่เท่านี้ยังไม่พอ ยังน้อยไปสำหรับพระพุทธศาสนา จริงๆแล้วอยากมีเวลาทำได้มากกว่านี้ค่ะ แต่ทุกครั้งที่ทำจะรู้สึกสบายใจมากๆ ค่ะ เท่านี้ก็พอแล้วค่ะ จากคุณ : รักยิ้มจริงใจ เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 15:17:28

ความคิดเห็นที่ 56 ตอนเรื่องพระนเรศวร เณรพระองค์ดำก็ดูดพิษงูจากสีกามณีจันทร์ ไม่เห็นมีหนังสือออกมาแถลงเลย สองมาตรฐานป่าวคะเนี่ยะ?? จากคุณ : isisis เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 15:26:27

ความคิดเห็นที่ 57 ชอบครับ ชัดเจน ตรงไปตรงมาดี จากคุณ : supersun_v เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 15:27:45

ความคิดเห็นที่ 58 บัวหลายเหล่าจริงๆ จากคุณ : มะตูมเรเดอร์ เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 15:39:41

ความคิดเห็นที่ 59 "สิ่งท้ังปวง ล้วนแต่ลวง ให้ยึดมั่น" (พุทธทาสภิกขุ) credit ข้อความ :http://www.facebook.com/pages/wwchir-mehi-WVajiramedhi/166509296166 credit ภาพ : http://www.facebook.com/DalaiLama จากคุณ : แค่ปล่อยก็ลอยตัว (LittleSister) เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 15:52:01

ความคิดเห็นที่ 60   ผมก็ต้องขอโทษ รักยิ้มจริงใจ ด้วยครับที่ใช้ภาษาอาจจะแรงไปหน่อย สำหรับผู้ที่ดูแล้วคิดไม่ได้จนเป็นภัยกับศาสนานั้น... ก็คงเป็นความผิดที่คน ไม่ใช่ความผิดของภาพยนต์ เหมือนอย่างมีดนะ ถ้าคนเอามาหั่นหมูทำอาหารก็ดี ถ้าเอาไปแทงคนอื่นก็ไม่ดี มีดผิดหรือ คนสร้างมีดขึ้นมาเพื่อเป็นสิ่งยุ่วยุให้คนเอามาแทงคนกันเองงั้นหรือ ไฟฟ้า มีไว้ใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้า ทำให้ได้ความสะดวกสบาย แต่คนเอาไปจุ่มน้ำช๊อตปลา หรือเอาไปฆาตกรรม ไฟฟ้าสมควรไม่เกิดขึ้นไม่ควรเผยแพร่เพราะเกรงว่าคนไม่รู้จะคิดใช้ในทางที่ผิดงั้นหรือ? การแบนหนัง หรือประนาม ทั้งๆที่ไม่ดูจึงไม่น่าจะใช้ทางที่ถูกต้องมากนัก ... ก็แล้วแต่ นานาจิตตังเพราะถึงยังไง ทั้งหมดทั้งมวลก็อยู่ที่จริตของแต่ละคน จากคุณ : suede เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 15:53:11 A:124.122.46.2 X: TicketID:249777

ความคิดเห็นที่ 61 ถึงคุณ รักยิ้มจริงใจ ครับ การแสดงความคิดเห็นต่าง เป็นสิทธิ์ที่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ครับ ไม่ผิดแต่อย่างใด เพียงแต่ว่า ผมอยากจะขอให้คุณลองสละเวลา เข้าไปรับชมหนังเรื่องนี้ก่อนซักครั้งได้ไหมครับ ดูเสร็จแล้ว จะได้มาแสดงความคิดเห็นในอีกแง่มุมนึงของคนที่คิดต่าง ว่าหนังเรื่องนี้ไม่เหมาะสมอย่างไร ในแง่มุมสำหรับคนที่ได้ไปรับชมมาแล้ว สำหรับผม หนังเรื่องนี้ทำให้ผมได้เห็นความจริงตามคำพูดที่เคยได้ยินมาว่า "การที่เราทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ได้แปลว่ามันจะหายไป" ขอบคุณครับ จากคุณ : outman เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 15:57:58

ความคิดเห็นที่ 62 ไม่เห็นด้วย กับแถลงการ ในคห.18 เพราะหนังเรื่องนี้มีประโยชน์กับพุทธศาสนา ดูแล้วทำให้คิดว่า การบวช มันมีความหมายลึกมากกว่าที่คิดไว้ เป็นหนังที่ดีมากครับ มีปมให้คิดเยอะ อ่านกระทู้แล้ว ช่วยคลายปมมากยิ่งขึ้น จากคุณ : okaunkung เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 15:59:51

ความคิดเห็นที่ 63   ศาสนาอะ คนเรายึดติดที่พิธีกรรม มากกว่าแก่นของมันเสียอีก แล้วมันเลยกลายเป็นหน้าที่ มีหน้าที่สวดมนต์ มีหน้าที่ใส่บาตร มีหน้าที่ไหว้พระ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไหว้เพื่ออะไร สวดมนต์เพื่ออะไร ใส่บาตรทำไม บ้างก็เอาของอันอื่นปนกันมั่วไปหมด ธรรมะมันก็มีหลายระดับอะนะ ตั้งแต่มีไว้เพื่อให้มีชีวิตอย่างสงบ ยันบรรลุนิพพาน ก็อยู่ที่ว่าใครจะใช้ตรงไหน จากคุณ : suede เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 16:00:00 A:124.122.46.2 X: TicketID:249777

ความคิดเห็นที่ 64   แล้วพวกที่หลงรักเทิดทูลบูชาเปลือกก็เผยตัวออกมา.... ไม่คิดจะดู...นั่นก็คือไม่ได้ดูไม่ได้สัมผัส.... ก็สามารถตัดสินได้แล้วว่า....อะไรดีอะไรชั่ว?....เช่นนั้นหรือ? เกิดอุปาทาน...ก่ออคติ...มีความรังเกียจ... โดยไม่ได้ใช้สติปัญญากลั่นกรอง.... เช่นนี้....เราว่าผิดหลักพระพุทธศาสนาโดยแท้.... แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 53 16:22:53 จากคุณ : .....**{~_^}**..... (สางฝอย) เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 16:00:32

ความคิดเห็นที่ 65   ถึง ค.ห. ที่ 46 เผื่อคุณจะตาสว่าง 1.การนำด้านไม่ดีออกมาเผยแพร่ ที่กล่าวมานั้น ขอแจ้งว่า พระพุทธเจ้า สอนในอริยสัจ คือ สอนในสิ่งที่เป็นจริง ไม่มีปิดบัง             ไม่มีสร้างภาพให้ศาสนาสวยงาม ที่ศาสนาสวยงามในยุคของพุทธองค์นั้น เพราะ สาวกในยุคนั้น เป็นสุปฏิปัณโน คือเป็นผู้ปฏิบัติชอบ .....ไม่ได้เกิดจากการปิดบังสิ่งไม่ดี แล้วแสดงต่อคนทั่วไปแต่สิ่งดี อันนี้แย้ง ข้อหนึ่ง   2.ในพระไตรปิฎก มีการแฉเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นด้านลบของคนในศาสนา มากมาย มากเสียยิ่งกว่ามาก  เช่น ในเรื่อง พระบางรูปกลับไปได้เสียกับภรรยาตนเอง เพื่อให้แม่ได้มีทายาทสืบสกุล พระพุทธเจ้า ไล่ออกไปทันที(ให้สึก)             แฉเรื่อง มีพระลอบฆ่าพระพุทธเจ้า คือพระเทวทัต นอกจากนั้นยังแฉว่าพระเทวทัตไปยุยงพระเจ้าอชาติศัตรูให้ฆ่าพ่อตนเอง(พระเจ้าพิพพิสาร)เพื่อแย่งเอาบัลลังค์             แฉเรื่องไม่ดีมากมาย และเรื่องไม่ดีแต่ละเรื่อง นั้น ล้วนเป็นเหตุให้พระพุทธองค์ต้องบัญญัติ พระวินัย ถึง 227 ข้อ กล่าวคือ หากจะกล่าวว่าในพระไตรปิฎก มีการเอาด้านมืดของ"คน"ที่อยู่ในศาสนามากล่าว ก็ไม่น่าจะน้อยกว่า 100 เรื่อง ...........ดังนั้น แม้พระไตรปิฎกยังมีเรื่องเหล่านี้ได้ ทำไมภาพยนตร์จะพูดในประเด็นนี้ไม่ได้ ..นี่แย้งอีกข้อหนึ่ง          3.ข้อสุดท้าย คุณบอกว่าเป็นด้านเสื่อม มาเผยแพร่นั้น เราไม่จัดว่านี่เป็นด้านเสื่อมของศาสนา แต่เป็นด้านเสื่อมของ "คน" ในศาสนา        พระพุทธเจ้ายอมรับถึงความมีอยู่ของคนประเภท "บัวใต้น้ำ"มากว่า 2590 ปี ว่าแม้พระพุทธเจ้าก็สอนคนเหล่านี้ไม่ได้ พ้นวิสัย แต่ศาสนาคือ "คำสอน" นี่จึงเป็นคำตอบของหนังในประโยค "ศาสนาไม่เสื่อม คนต่างหาก"       ผมมองว่า หนังกลับพยายาม สร้างสิ่งชั่วร้ายให้เห็นในหนัง ทุก ๆ อย่างเท่าที่จะทำได้ ในขอบเขตที่จะไม่โดนแบน เพื่อลากคนดูให้รู้สึกแย่ ๆ กับคนในหนัง เช่น หลวงตา ซึ่งทำให้ผู้ชมผิดหวังมากว่าทำไมเลวได้ใจขนาดนี้ ศาสนาพุทธช่วยกลับใจคนไม่ได้เล้ย ศาสนานี้มันห่วย แย่ เสื่อม...........แล้วหนังก็ตบหน้าคนที่คิดอย่างนั้นด้วยประโยคเดียวในหนัง     " คนมี 4 ประเภท อุคติตัญญู วิปติตัญญู เนยยะ ปทปรมะ" ปทปรมคือ คนเหล่านี้ สอนไม่ได้ เป็นคำตอบว่า "เปล่าเลย ศาสนาพุทธไม่ได้แย่เลย ไม่ห่วยอย่างที่คิด แต่ที่แย่นะคือ คนเหล่านั้นเอง มันสอนไม่ได้ต่างหาก" จากคุณ : tepawat เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 16:12:52

ความคิดเห็นที่ 66 ... มาลงชื่อไว้ จากคุณ : ดาราวิปลาส เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 16:14:56

ความคิดเห็นที่ 67 อ่านกระทู้แล้ว และ อ่าน คห หลาย ๆ คห แล้ว ผมขออนุญาตใช้คำว่าศาสนาเสื่อมแล้วจริง ๆ เพราะส่วนใหญ่เข้าใจเปลือกของศาสนามากกว่าแก่น ผมขอยกคำสวดทำวัตรเย็นมาบางบทให้อ่านดูนะครับ บท ธัมมานุสสติ สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม (พระธรรม เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว) สันทิฏฐิโก (เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง) อะกาลิโก (เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล) เอหิปัสสิโก (เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อืนว่า ท่านจงมาดูเถิด) โอปะนะยิโก (เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว) ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ (เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ดังนี้) อีกบทคือสังฆานุสสติ ไปลองหาดูกันเองละกัน จากที่อ่าน ๆ มา หลาย คห ยังติดอยู่กับบัญญัติแห่งพระวินัย เช่น ห้ามอย่างนั้น ห้ามอย่างนี้ ... ที่เป็นประเด็นหลัก ๆ ก็คือ ห้ามประพฤติผิดพรหมจรรย์ ห้ามถูกเนื้อต้องตัว ห้ามอยู่ในที่ลับกับสีกา ... ทั้งนี้ที่ต้องบัญญัติพระธรรมวินัยไว้ละเอียดนั้นก็เพื่อป้องกันปัญหาการใส่ความ การแอบประพฤติมิชอบ เพราะผู้ที่มาบวชมีความเจริญในศีลธรรมแตกต่างกัน ยกตัวอย่าง กรณีการถูกเนื้อต้องตัวสีกา บางรูปก็ทำเพราะจำเป็นเช่นกรณีงูกัด จมน้ำ หรือเดือดร้อน แต่ บางรูปอาจทำเพราะอยากทำแล้วอ้างเอา มีนิทานเรื่องหนึ่งผมจำรายละเอียดไม่ได้ มีพระ 2 รูป เดินทางไปเผยแผ่ศาสนา ระหว่างทางจะต้องข้ามแม่น้ำพบสีกาสาวสวยยืนอยู่ท่าทางเป็นทุกข์ ต้องการจะข้ามแม่น้ำแต่ก็ไหว้น้ำไม่เป็นและต้องรีบข้ามน้ำไปเพื่อดูแลมารดาที่ป่วย พระรูปหนึ่งจึงอุ้มสีกาแล้วพาว่ายน้ำข้ามจนถึงอีกฝั่ง พระอีกรูปตกใจกับสิ่งที่เกิดแล้วครุ่นคิดต่าง ๆ นานา แต่ก็ยังไม่พูดอะไร จนเมื่อทั้ง 2 รูปมาถึงจุดที่พัก พระรูปนั้นจึงเอ่ยปากทักท้วงมาว่าที่พระอีกรูปกระทำไปนั้นไม่น่าจะถูกต้องนะ ... พระอีกรูปจึงตอบกลับไปว่า "ตัวเราได้วางสีกาคนนั้น ณ อีกฝั่งของแม่น้ำแล้ว แต่ไฉนตัวท่านยังแบกสีกาคนนั้นเอาไว้อีก" ====================== จากบท ธัมมานุสสติ กับสิ่งเป็นในปัจจุบันคือ เรามีพระสงฆ์ที่อาจไม่ได้เป็น สุปฏิปันโน ที่สมบูรณ์ แต่ถึงพระสงฆ์เหล่านี้อาจไม่ได้บวชเพื่อแสวงหาทางสงบหาทางบรรลุ แต่ก็จากการที่ได้ช่วยสานต่อพระธรรมคำสั่งสอนเอาไว้ แม้ท่านเหล่านั้นอาจจะท่องได้แค่วาจา แต่เมื่อเวลาผ่านไป พระธรรมคำสอนได้บังเอิญส่งไปถึงผู้ที่อาจจะได้เป็น สุปฏิปันโน ก็ยังนับว่าเป็นเรื่องที่ดี และสำหรับเรา ๆ ท่าน ๆ เอง ที่เข้าใจในหลักของพระธรรมผิดนั้นอีก ก็ล้วนแต่เป็นผู้บั่นทอนพระพุทธศาสนา คือ เมื่อเข้าใจผิดไปว่าการบริจาคทานจะได้บุญ หวังเพื่อลบล้างกรรมชั่วที่ได้กระทำมา ก็เน้นบริจาค เมื่อเข้าใจผิดไปว่าชีวิตของตนนั้นจะดีจะเจริญเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็เน้นบูชาพระเครื่อง เมื่อเข้าใจผิดว่า คำบาลีนั้นขลังท่องได้เจนจบทุกบท ก็เน้นท่องจำ ทั้งที่ศาสนาพุทธนั้นเน้นปัญญา โดยมีขั้นตอนคือ ศีล - การรู้จักลด ละ สมาธิ - การทำจิตใจให้สงบ ปัญญา - การรู้แจ้งเห็นธรรม เห็นเหตุ เห็นผล อย่ามัวแต่หลงไปกับ อจินไตย (ความจริงบนโลกที่ไม่มีประโยชน์กับนิพพาน) ไหน ๆ จขกท ก็ได้แสดงความคิดเห็นมาแนว ๆ พระพุทธศาสนาแล้ว ผมก็ขอเสนอแนวคิดไว้บ้าง แต่เพียงเท่านี้ จากคุณ : ดินสอสีเขียว (x-schneider) เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 16:25:06

ความคิดเห็นที่ 68 คห. 46 ศาสนาไม่ได้เสื่อม คนต่างหากที่เสื่อม ^ ^ จากคุณ : doxday เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 16:32:32

ความคิดเห็นที่ 69 ขอบคุณครับ เขียนดีมากๆเลย ผมเชื่อว่า บทความนี้จะเป็นที่เข้าใจได้ดี ในคนหลายๆ เหล่า จากคุณ : Collin SK เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 16:40:16

ความคิดเห็นที่ 70 ขอบคุณครับ เขียนดีมากๆเลย ผมเชื่อว่า บทความนี้จะเป็นที่เข้าใจได้ดี ในคนทุกเหล่า จากคุณ : Collin SK เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 16:40:35

ความคิดเห็นที่ 71 ยังไม่ได้ดู แต่ตั้งใจมากๆ ที่จะไปดูให้ได้ หวังว่า จะไม่มีใครบ้าจี้ปลดหนังเรื่องนี้ออกจากโรงก่อนเวลาอันควร จากคุณ : ZaaX2 เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 16:47:10

ความคิดเห็นที่ 72   สนับสนุนหนังเรื่องนี้ค่ะ ไม่เคยดูหนังและสะอื้นได้ขนาดนี้มานานแล้ว สำหรับเรา นอกจากเห็นว่าผู้หญิงที่หลวงตาชื่นช่วยไว้จะเป็นภรรยาแล้ว ยังเห็นอีกว่าน่าจะมีอะไรนอกเหนือกว่านั้นขณะที่หลวงตาห่มผ้าเหลืองไว้... หนังชี้ให้เห็นว่าหลวงตามีลูก ซึ่งน่าจะอายุมากกว่า 4 ปีหรือ 4 ปี เพราะไม่ได้เล็กมากนัก...  อาการห่วงหายามที่ภรรยาโดนงูกัดเกินงาม และเงินที่มีติดตัวหลวงตาไว้ตลอดเวลา มันน่าสงสัยมากๆค่ะ ส่วนผึ้ง ค่อนข้างคิดว่าถ้าไม่มีผึ้ง เรื่องนี้แทบจะไม่เกิดขึ้นเลย ผู้หญิงคนเดียวกลับปั่นหัวใครต่อใครได้ตั้งหลายคน ผูกเรื่องเรียงร้อยได้ตั้งหลายฉาก.. แต่ออกจะงงนิดหน่อยกับจุดจบของผึ้ง เธอน่าจะมีจิตที่แข็งกว่านี้ ทำไมเธอถึงเห็นภาพหลอนได้มากจนพบจุดจบนั้น จะว่าเล่นยาก็ไม่มีฉากเธอเล่นเลย แต่ความเป็นไปได้ก็มีสูงค่ะ เพราะหลายๆคนที่เกี่ยวเนื่องกับเธอเล่นยากันทั้งนั้น เป็นหนังที่ดูแล้วรู้สึกอิ่มเอม และทำให้เราพร้อมเสมอที่จะจรรโลงพระพุทธศาสนาโดยไม่เน้นบุคคลค่ะ ในเมื่อบัวมี 4 เหล่า เราเลือกเองได้ค่ะว่าเราจะอยู่เหนือน้ำ หรืออยู่ใต้น้ำ มองข้ามเหลือบผ้าเหลืองให้เห็นถึงคำสอนของพระธรรมกันนะคะ จากคุณ : ชาวซุ่ม เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 16:48:37

ความคิดเห็นที่ 73 ให้กำลังใจ จขกท จากคุณ : แก้วตะวัน เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 16:50:25

ความคิดเห็นที่ 74 #4 กตัญญู  หลวงพี่ป่านได้เทศน์ถึง การออกไปทำงานของพวกลูกๆ แล้วทิ้งพ่อแม่ให้อยู่ตามลำพังในชนบท ถ้าเป็นหนังทั่วๆไป หลวงพี่คงด่าลูกๆที่ปล่อยให้พ่อแม่อยู่ตามลำพัง แต่หนังเรื่องนี้มาแปลก หลวงพี่กลับด่าพ่อแม่ว่าสอนลูกยังไง ถึงให้ลูกต้องออกไปข้างนอกหาเงินให้พ่อแม่ จนในที่สุดไม่มีโอกาสได้กลับมาปรนนิบัติพ่อแม่ของตัวเอง ====================================================================================== พอเราอ่านถึงข้อนี้นะ น้ำตาร่วงเลย บอกได้คำเดียวว่า ตรง!! จากคุณ : Monaliza^^ ($an-Dee) เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 17:20:35

ความคิดเห็นที่ 75 vote จากคุณ : DF เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 17:39:57

ความคิดเห็นที่ 76 อ้างอิงจาก คห. 74 ดิฉันเห็นด้วย ครอบข้าพเจ้าไม่ได้ร่ำรวย แต่อยู่บ้านเดียวกันทั้งหมด พ่อแม่ไม่เคยต้องการเงินจากพวกเราเลยทั้งตัวข้าพเจ้าเองและพี่ชาย เราทั้งคู่แต่งงานและมีครอบครัวที่เป็นของตนเอง พ่อกับแม่ไม่เคยอยากให้ทำงานที่อื่นหรือหาเงินให้ได้มากๆเพื่อมาเลี้ยงพวกท่าน พวกท่านแค่อยากเห็นเรามีงานทำเลี้ยงตัวเอง ดูแลตัวเองได้ ไม่ทำความชั่ว ไม่ทำร้ายใคร พวกท่านเองก็มีเงินเก็บที่ใช้ได้ไปตลอดอยู่แล้ว ทุกวันนี้พวกเรามีความสุขมาก เราอยู่ด้วยกัน ไม่ได้ร่ำรวยมากแต่ได้เห็นหน้ากันทุกวัน ข้าพเจ้ากับพี่ชายได้แบ่งเงินเพื่อไว้ใช้จ่ายค่าไฟ ค่าน้ำ ค่ากับข้าว ทุกวันนี้ข้าพเจ้าอยู่บ้านทุกวันเพื่อดูแลบ้าน สุนัขที่บ้าน พ่อแม่ พวกพี่และสามีของข้าพเจ้า เวลาที่ทุกคนกลับมาที่บ้านจากที่ทำงานจะได้เห็นรอยยิ้ม และมีแรงใจต่อไป จริงๆ แล้ว การไปทำงานหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวก็เป็นการดีอยู่เหมือนกัน แต่อยู่ให้ท่านเห็น ดูแลท่าน สามารถทำให้ท่านมีอายุที่ยืนยาวและมีความสุขกว่า พ่อแม่ข้าพเจ้าเล่นกับสุนัขที่บ้าน ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ชราด้วยกัน อีกทั้งทำกิจกรรมร่วมกันตลอด บ้านของพวกเรามีแต่รอยยิ้ม แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 53 18:13:00 จากคุณ : CreAtive_ในใจ เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 18:09:06

ความคิดเห็นที่ 77 อยากโหวตจัง เราเองเพิ่งไปดูเมื่อวานดูเพราะเรื่องที่จะดูรอบไม่เอื้ออำนวย ก่อนดูก็ไม่ได้คาดหวังอะไร ไม่ได้อ่านเรื่องย่อที่ใหน ไม่ได้อ่านพรีวิวใดๆ ไม่ได้เข้าเหลิมไทยมาสักอาทิตย์ได้ แต่แบบว่า อยากบอกว่า ชอบ จริงๆเรื่องนี้ รู้สึกว่า มันอิ่ม แล้วมันได้ข้อคิดอยู่หลายอย่างจริงๆ อย่างนึงที่มันกระทุ้งใจเราอย่างจัง คือเรื่องที่ พระป่านเทศน์ จุดนี้มันสะกัดกลั้นน้ำตาเราไม่อยู่เลยจริงๆ แบบว่า มันเป้นอะไรที่โดนใจมาก  ลูกมันก็ส่งเงินไป อยู่นั่นแหละ เดือนหน้ามันก็คงส่งมาอีก เราแบบว่า อื้ม.......อึ้ง แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 53 18:39:42 จากคุณ : ชาเขียวไม่ใส่นม เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 18:23:08

ความคิดเห็นที่ 78 อยากจะเสริมความรู้สึกในส่วนของผึ้ง ในส่วนตัวกลับคิดว่า ผึ้ง ไม่ได้มองพระพุทธรูปในตอนท้ายด้วยความรู้สึกซึ้งในรสพระธรรมอะไร แต่เธอรู้สึกว่า สังเวสตัวเอง ที่ลุ่มหลงไปกับอบายและตัณหา รอยยิ้มของพระพุทธรูปนั้นคล้ายกับยิ้มเยาะ นั่นไง ฉันเคยเตือนเธอกว่า2500 ปีแล้ว ไยเธอยังจมอยู่กับอาจมเหล่านั้น ผลจึงเป็นเช่นนี้แล ความรู้สึกสมเพสตัวเอง บวกกับความถือตน ทนงตนว่ากูแน่พังทลายลง จึงไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ สุดท้ายก็ปลิดชีวิตตัวเอง ส่วนหลวงตา ถ้าสังเกตดีๆ จะมีพิรุธมากมายอย่างที่คห.บนๆบอก เช่น ออกมาทำอะไรยามวิการ ทำไมถึงห่วงหญิงที่ถูกงูกัดเกินควร แล้วหญิงคนนั้นมาที่วัดทำไม ทำไมถึงมีเงินพกติดตัวหลายพัน ทำไมถึงร้อนรนเมื่อโจรจะทุบฐานองค์พระ แต่เราต้องถามตัวเองก่อนว่า ทำไมเราถึงมองข้ามไป เพราะเราเชื่อในเปลือกนอกว่า หลวงตาดูเป็นคนดีใช่ไหม? ในเรื่องนี้ เราว่า หลวงตาเป็นยิ่งกว่าบัวเหล่าที่ 4 หรือสิงห์อีก เราไม่รู้ปูมหลังของสิงห์ บางที่ทั้งชีวิตของสิงห์อาจไม่เคยสัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่าบุญ หรือความดีก็ได้ ดังนั้น คงไม่แปลกถ้าเขาจะมองวิถีพุทธด้วยความไม่เข้าใจ ไม่สำนึกในบาปบุญ เพราะเขาเป็นเพียงแค่บัวที่ไม่เคยต้องแสงอาทิตย์ แต่หลวงตานี่สิ เป็นได้แค่จอกแหน ลอยอยู่เหนือน้ำ ได้รับแสงอาทิตย์หรือพระธรรมอย่างเต็มที่ ถึงจะเกาะใกล้กอบัวแค่ไหน ก็ไม่มีวันเบ่งบาน สุดท้ายก็โดนเต่า ปลากินอยู่ดี แย่ยิ่งกว่าบัวเหล่าที่ 4 เสียอีก แต่ยังไงมันก็แค่มุมมองส่วนตัวล่ะนะ จากคุณ : เพราะคุณคนเดียว เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 18:24:11

ความคิดเห็นที่ 79 โหวต เห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้   ผมยังไม่ได้ดูหนัง และไม่คิดว่า การที่ผู้กำกับสร้างหนังแนวนี้ จะเป็นการทำลายศาสนา มีข้อน่าขบคิด คือ มีพระวินัย บัญญัติ ไว้ว่า "ห้ามบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น แก่ อนุปสัมบัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่สมมติ" จากมุสาทาวรรคที่ ๑ ข้อ ๙ คำว่า อนุปสัมบันน์ คือ ผู้ไม่ได้อุปสมบท ได้แก่ สามเณร สามเณรีและอุบาสก อุบาสิกา คำว่า เว้นแต่ได้สมมติ คือ ถ้าได้รับมอบให้เป็นตัวแทน บอกได้ (โฆษกพรรค ) เป็นผู้แถลงข่าวเท่านั้น ประเด็นเพิ่มเติมของผม คือ การบอกกล่าวเรื่องไม่ดี (อาบัติชั่วหยาบ) ของพระภิกษุ แก่คนที่ไม้ได้เป็นพระด้วยกันนั้น ท่านห้ามไว้ทำไม เพราะว่ามัน  "ได้ไม่คุ้มเสีย"  ใช่หรือไม่ เพิ่มเติม คห. 65 ข้างบนที่ว่า มีพระไปนอนกับเมียเก่า จนมีลูกด้วยกันนั้น ท่านไม่ได้ถูกจับสึกน่ะครับ เพราะท่านเป็นต้นบัญญัติ ไม่ปรับอาบัติ พระรูปนั้นชื่อสุทินท์  ที่ทำไปก็ไม่ใช่เพราะอยากทำ แต่เกรงใจแม่ และตนเองก็ยังมีกิเลส  อีกอย่าง ยังไม่มีพระวินัยบัญญัติไว้ด้วย ก็เลย สรุปเอาเองว่า ไม่ผิด (มั้ง) เลยทำลงไป ความคิดเห็นส่วนตัว ก็ยอมรับว่า พระพุทธศาสนาในไทยนั้น เปลี่ยนแปลงไปมากมาย โดยเฉพาะพระสงฆ์ เรื่องที่ได้ยินได้ฟัง จากสื่อต่าง ๆ  ก็ทำให้ใจห่อเหี่ยวได้ ขนาดผมเคยบวชเรียนมาหลายปีก็ตาม แต่มีข้อความที่เคยโพสท์ในลักษณะนี้ของผมคือ มีพระเจ้าอาวาสท่านหนึ่ง แสดงความเห็นว่า พระภิกษุสามเณรทุกวัน เล่นเน็ต เล่นแชต มีโทรศัพท์ราคาแพง  ศาสนาเสื่อมแล้ว มีผู้รู้ท่านหนึ่งว่า "ในประเทศอินเดียตอนนี้ไม่มีพุทธศาสนาแล้ว  แล้วสมัยนั้น พระเณรที่อินเดีย ท่านมีเน็ตเล่นหรือเปล่า ทำไมศาสนาจึงเสื่อมได้?" ?????????? บางเรื่องมันละเอียดอ่อนครับ จากคุณ : lungkhun เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 18:47:32

ความคิดเห็นที่ 80 สุดยอดหนังไทย เท่าที่เคยดูมา(ส่วนตัวนะครับ ย้ำ) ขอบคุณทีมงานสร้างหนังเรื่องนี้ พวกคุณมีคุณค่ามากๆ กับคำว่า สื่อสารมวลชน จากคุณ : DevaSatan เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 18:49:34

ความคิดเห็นที่ 81 วิจารณ์ได้้เยี่ยม เสียดายกิฟหมดแล้ว จากคุณ : หลักสาม เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 19:13:19

ความคิดเห็นที่ 82 เขียนได้ดีมากค่ะ ไปดูหนังมาแล้ว ก็ได้แง่คิดหลายอย่าง ทำให้รู้ได้ว่า อย่าติดสินคนแค่เพียงภายนอก มันต้องมองกันให้ลึกๆ และคบกันไปนาน ๆ ถึงได้รับรู้นิสัยที่แท้จริงของเขา จากคุณ : aomam_jung เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 19:14:54

ความคิดเห็นที่ 83   ดูมาแล้วเหมือนกันคะชอบมาก ถูกอย่างที่ในกระทู้นี้กล่าวเลยคะ ว่าโจรทั้งสามเราเห็นชัดๆว่าเป็นโจร แต่พระที่มีใจเป็นโจร มีอยู่ในสังคมจริงๆ ตำรวจก้อเช่นกัน หนังสะท้อนแง่มุมของสังคมที่มีอยู่จริง ทำไมคนบางคนถึงออกมาบอกว่าแรงรับไม่ได้ อยากถามว่าได้ดูจนจบเรื่องหรือป่าว หรือแค่ดูบางฉากที่เห็นว่าแรง จากคุณ : yamKT เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 19:23:51 A:58.11.76.141 X: TicketID:259947

ความคิดเห็นที่ 84 Agree with khun "BufferWolfa" จากคุณ : axquest เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 19:59:00

ความคิดเห็นที่ 85 เขียนได้ดี เข้าใจง่ายค่ะ คุณดูหนังจับรายละเอียดได้ลึกซึ้งมากจริงๆ จากคุณ : หมูปิ้ง@do-truck เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 20:18:32

ความคิดเห็นที่ 86 ไปดูก่อนเถอะเจ๊ จากคุณ : yongiee เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 20:47:42

ความคิดเห็นที่ 87 คห.#53 ขออนุญาตแย้ง เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนนะครับ ถ้าแค่แตะเนื้อต้องตัว(หรือแม้แต่ผมเผ้า) แม้จะมีอารมณ์ทางเพศด้วยก็ตาม จัดเป็นระดับอาบัติสังฆาทิเสสครับ ไม่ได้ถึงขั้นปาราชิก (แต่ก็เป็นข้อร้ายแรงมาก ต้องไปอยู่ปริวาสกรรม คือต้องแยกตัวไปอยู่ต่างหาก ถูกลดสิทธิ พระอื่นมาสวดอบรม ฯลฯ http://www.84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=ปริวาส ) ส่วนปาราชิก ในเรื่องทำนองนี้ .. จะนับเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์ครับ แต่รวมทั้ง 3 ทวารเลยนะครับ คือ วัจจมรรค ปัสสาวมรรค มุขมรรค (แม้เป็นการผ่านทวารใดทวารหนึ่ง เพียงช่วงระยะหนึ่งเมล็ดงา ก็ปาราชิกแล้วครับ) สำหรับอาบัติสังฆาทิเสสนี้ รวมไปถึงเรื่องสำเร็จความใคร่ตัวเอง(แบบปกติ) หรือแม้แต่พูดคุยเกี้ยวพาราสีหญิงสาว เป็นต้น อนึ่ง ภิกษุใด กำหนัดแล้ว มีจิตแปรปรวนแล้ว พูดเคาะมาตุคาม ด้วยวาจาชั่วหยาบ เหมือนชายหนุ่มพูดเคาะหญิงสาวด้วยวาจาพาดพิงเมถุน เป็นสังฆาทิเสส. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=1&A=13766&Z=13770 ส่วนการแตะเนื้อต้องตัวหญิงสาว หากแตะด้วยความรู้สึกเหมือนแม่ เหมือนลูกเหมือนหลาน ฯลฯ ไม่จัดเป็นอาบัติสังฆาทิเสสครับ .. แต่ยังผิดศีลอยู่ เป็นอาบัติทุกกฏ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=1&A=13624&Z=13713 (แต่ให้พ้นได้ด้วยการปลงอาบัติ คือสารภาพข้ออาบัตินี้ต่อหน้าพระรูปอื่นครับ) แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 53 21:26:05 จากคุณ : He-Who-Must-Not-Be-Named เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 21:12:30

ความคิดเห็นที่ 88 อยากดูหนังเรื่องนี้จังเลยค่ะ  แต่ไม่ได้อยู่ไทยแบบนี้สงสัยคงอีกนานกว่าจะได้ดู จากคุณ : offita เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 21:20:22

ความคิดเห็นที่ 89 เห็นด้วยกับ จขกท. ทุกประการ โหวตครับ............ จากคุณ : เพื่อนอ้วน เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 21:44:35

ความคิดเห็นที่ 90 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 21:50:22

ความคิดเห็นที่ 91 ยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ จึงยังแสดงความเห็นเกี่ยวกับหนังยังไมได้ แต่เห็นด้วยกับสิ่งที่หนังต้องการสื่อ บางคนบางองค์กรต่อต้านหนังเรื่องนี้ เช่นเดียวกับกรณีภาพ ภิกษุสันดานกา "ผิดตรงไหนที่ทั้งสองอย่างนี้ บอกเล่าความเป็นจริงในสังคม"   ในเมื่อเราเชื่อมั่นว่าศาสนาเป็นสิ่งดีงาม "ทำไมต้องกลัว" กับการบอกเล่าต่อสังคมว่าสิ่งที่ทำให้เราเคลือบแคงในสิ่งดีงามเหล่านั้นคือตัวบุคคล มิใช่แก่นแท้ของศาสนา ในฐานะชาวพุทธคนหนึ่ง พอได้ข่าวแย่ๆ เกี่ยวกับพระภิกษุสงฆ์  เราเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่า จะยังทำบุญใส่บาตร เชื่อถือในคำสั่งสอนของพระเหล่านั้นดีหรือไม่   ...คาดว่าใครหลายคน ก็คงเคยเป็น เราคิดว่าหนังเรื่องนี้ จะทำให้คนกลับมาศรัทธาใน "แก่นแท้" ของศาสนา  แทนการนับถืออย่างเคลือบแคลงในตัวพระสงฆ์ มากกว่าจะเป็นการทำลายศาสนาค่ะ จากคุณ : Little Miss Lisa เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 22:11:13

ความคิดเห็นที่ 92   ตั้งใจไปดูเรื่องนี้มาก  ดูจบ...เดินออกมาแบบอาการเอ๋อๆอึ้งๆ แรงส์... ยิ่งตอนจบ... ใครจะไปคิด   พระที่น่าเลื่อมใสศรัทธา  พูดสั่งสอนเหล่าโจรมาตลอดที่แท้คือมารศาสนา แล้วเราจะกล้ายกมือไหว้ใครได้อีก  เฮ้อ!... อินกะหนังมากกกกกก จากคุณ : ซารันเมนเตน เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 22:11:44

ความคิดเห็นที่ 93 หนังดี ชอบมาก ๆ ครับ แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 53 22:18:56 จากคุณ : นภาอากาศ เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 22:18:17

ความคิดเห็นที่ 94 สุดท้ายพุทธศาสนาในประเทศนี้ก็ห้ามแตะต้องอีกเช่นเคย จากคุณ : Desolation Angel เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 22:26:21

ความคิดเห็นที่ 95 คนขับรถของทิดชื่นตอนท้ายเรื่อง ก็คือคนที่ถูกไล่ออกตอนมาขโมย  แสดงว่าแกรู้เห็นตลอด  เป็นคนบงการ น่ากลัวจิงเลย จากคุณ : เสียงหวาน เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 22:27:12

ความคิดเห็นที่ 96   เพิ่งไปดูมาวันนี้เอง ไปดูโดยไม่อ่านคำวิจารณ์ใดๆทั้งสิ้น แต่ได้ยินข่าวเรื่องการต่อต้านอยู่เหมือนกัน และก็อยากรู้ว่าทำไมถึงต่อต้าน ปรากฎว่าดูแล้วคิดว่าทำไมต้องต่อต้านนะ หนังออกจะดีขนาดนี้ หนังสอนอะไรเราได้เยอะ อย่างที่เจ้าของกระทู้กล่าวมานั้นขยายความได้ดีมาก เรื่องของความกตัญญูเรื่องนี้โดนใจอ้ะ แทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ อย่างตอนที่ปานขึ้นไปเทศน์แทน น้องสาวเราร้องไห้ไปเลย คนข้างๆก็ร้อง นั่นแปลว่าเค้าเข้าใจในสิ่งที่หนังต้องการจะสื่อใช่มั้ย มันมีความสะเทือนใจอยู่ หรืออย่างตอนที่หลวงตาออกมาตอนสุดท้ายกลายเป็นฆราวาสไปแล้ว ความรู้สึกของคนดูจะต่างออกไปใช่หรือไม่ นั่นก็อีก เพราะบางทีคนเราให้ความเคารพกันที่รูปลักษณ์ภายนอก หาใช่ความดีแท้ข้างในไม่ เราว่าหนังเรื่องนี้สะท้อนเรื่องราวต่างๆได้ดีนะ ก่อนอื่นต้องเปิดใจและยอมรับความจริง เราเองก็อยู่ในครอบครัวที่นับถือศาสนาพุทธ มาตั้งแต่รุ่นคุณตาคุณยาย ไปวัดบ้างตามสมควร สวดมนต์บ้างตามสมควรไม่เคร่งอะไร เราเลือกที่จะรักษาศาสนาไว้ โดยมองเจตนาของการกระทำมากกว่าที่จะปกป้องศาสนา เพื่อให้คนชั่วเอามาเป็นเครื่องมือหากินนะ ***คนเราถ้าใจใฝ่ดีไม่ว่าจะโดนดึงไปทางไหนใจที่ใฝ่ดีนั้นย่อมดึงกลับมาในทางดีเช่นเดิม*** จากคุณ : knuy เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 22:30:42 A:192.168.0.240 X:58.11.79.125 TicketID:231508

ความคิดเห็นที่ 97 เข้ามาโหวตเห็นด้วยกับ จขกท และขอบคุณ จขกท สำหรับรีวิวดีๆ ครับ ทำเอาผมอยากดูเรื่องนี้ และคงจะรีบไปดูแน่นอนครับ จากคุณ : กระต่ายน้อยเล่นโยคะ เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 22:47:18

ความคิดเห็นที่ 98 ทำให้ผมไ้ด้เข้าใจว่า ไม่มีอะไรเืีที่ยงแท้   มีทั้งความเจริญและความเสื่อมรวมกันและแยกกัน   โลกที่สดใสเปรียบเสมือนดอกไม้ มันจะผลิบานในตอนเช้าแล้วเหี่ยวเฉาของความร้อนของกลางวัน วันนึงเราต้องพรากจากสิ่งที่เรารักไป จากคุณ : tosamart เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 22:48:18

ความคิดเห็นที่ 99 ... แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 53 22:51:31 จากคุณ : tosamart เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 22:48:41

ความคิดเห็นที่ 100 เพราะหลวงตาชื่นท่องบาลีได้  เพราะหลวงตาชื่นเป็นคนต้นคิดเรื่องการฉันท์อย่างพระสมัยก่อน(นำอาหารรวมกันในบาตรเดียว)  เพราะหลวงตาชื่นดูมีอายุและท่าทางใจดี  เพราะหลวงตาชื่นพูดบอกว่าอยากให้โจรกลับใจ  เพราะหลวงตาชื่นเป็นพระ ผมขอชื่อชมคุณ BufferWolfa จากใจจริงครับ ผมเองก็เป็นคนนึงที่ได้ดูหนังเรื่องนี้มาแล้ว และไม่คิดจะอ่านความคิดเห็นอื่นๆเพื่อที่จะไม่ไขว้เขวกับความคิดเห็นส่วนตัว ชัดเจนมากครับเรื่องหลวงตา แม้ตัวผมเองผมยังประทับใจมากที่คุณกล่าวถึงอย่างชัดเจนในประเด็นนี้ คนไทยจำนวนไม่น้อยให้คุณค่ากับสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ ด้วยเหตุที่ว่า "เพียงเพราะ" แม้สำหรับผมหนังเรื่องนี้จะไม่ประทับใจผมมากที่สุด แต่ เป็นหนังที่มีคุณค่ามากที่สุดสำหรับผม มันกลายเป็นการฉีกขนมอย่างรุนแรงกับความรู้สึกของคนไทย และสิ่งที่เราๆถูกปลุกฝังกันมา การศึกษาสอนเรื่องความจริงแท้ในสิ่งต่างๆชัดเจนและลึกแค่ใหน? เรื่องนี้บอกถึงมิติของมายาที่ซ้อนอยู่ในสังคมเรามช้านาน มีคนมากกว่าครึ่งยอมปิดหูปิดตา เพื่อที่จะได้รู้สึกดี แม้ก่อนหน้านี้จะมีคนออกมาผู้เรื่องนี้อยู่บ้าง เขียนเรื่องอย่างนี้อยู่บ้าง แต่ด้วยยุคและสมัย ความแคบของสื่อและจิตใจ ทำให้คนในยุคๆหนึ่งยังรับเรื่องอย่างนี้ไม่ได้และมีความสุขในการ ซุกซ้อนไว้ในซอกหลีบ สำหรับผมนี้ถือว่าเป็น ความกล้าในสังคมของเราจริงๆที่ยอมรับและกล้าเคารพความเป็นจริงที่มีอยู่ บัวมี4เหล่าจริงๆ ขอแสดงความนับถือ คุณ BufferWolfa ด้วยใจที่นับถือครับ และสุดท้าย ผมอยากขอบคุณทุกท่านที่ทำให้มีหนังที่มีคุณค่าต่อสังคมไทยได้ปรากฎต่อสังคม คุณกล้าและลุ่มลึกมากครับ จากคุณ : vitara เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 23:03:25

ความคิดเห็นที่ 101   ชอบคำพูดสุดท้ายของพระปอ "อยู่ไปก็รกโลก" เราว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้แรงอยู่ที่ตัวละคร 3 ตัวที่เป็นโจร แ่ต่แรงตรง 'โจรภายใต้ผ้าเหลือง' ที่ทำตัวเป็นคนดีมาตลอดทั้งเรื่องต่างหาก ..... . จากคุณ : Fifticix เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 23:54:37 A:192.168.0.240 X:61.91.164.181 TicketID:250241

ความคิดเห็นที่ 102 ชอบฉากเต๋าเทศน์มากค่ะ ดูแล้ว น้ำตาไหลไม่รู้ตัวเลย เขียนได้ดีมากค่ะ เข้าถึงแก่นของหนังจริงๆ แต่ยังสงสัย เรื่องของ ฝนตกเดือนสาม มีเหตุผลอะไร ที่ฝนตกเยอะขนาดนั้น จากคุณ : lovekawee เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 23:56:03

ความคิดเห็นที่ 103 ตอนดู ผกก พูดว่าที่ต้องต่อสู้มา3ปีเพราะอยากให้คนไทยได้ดูเต็มๆ เเล้วคิดว่าหนังเค้าแน่ขนาดนั้นเลยหรอ เลยอยากให้คนไทยดูขนาดนี้ พอดูจบ โอ้โห สิ่งที่คิดได้คือขอบคุณ ผกก ทีมงานจริงๆที่ทำหนังเรื่องนี้ขึ้นมา จากคุณ : พยูน (พ ยู น แ ม ว น้ อ ย) เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 00:31:03

ความคิดเห็นที่ 104 เป็นบทวิเคราะห์ที่ดีมากครับ ชื่นชมจากใจ หนังเรื่องนี้ โดยรสนิยมส่วนตัว ผมไม่ได้ชอบมันมาก อาจจะเพราะ 'ภาษา' หนัง แต่มันก็สอนผมว่า ถ้าแก่นแข็งแรง ประเด็นแม่นยำ มันก็จะเป็นหนังที่มีพลัง และถึงเราจะไม่ได้ชอบรสชาติมัน แต่ก็จะติดอยู่ในความนึกคิด สัมฤทธิ์ผลคนทำ :) จากคุณ : moccachino เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 00:38:03

ความคิดเห็นที่ 105   ขอบคุณเจ้าของกระทู้นะครับที่เขียนบทความดีๆ ที่รู้สึกจะโดนใจหลายๆคน รวมทั้งผมด้วย นาคปรก เป็นหนังที่ดูจบแล้ว ขนลุกมากๆ ระหว่างที่ดูก็รู้สึกลุ้นและตื่นเต้นเกือบตลอดทั้งเรื่อง หนังให้แง่คิดเกี่ยวกับความกตัญญูได้ดีมากๆ นั่งดูไปน้ำตาร่วงเผาะๆไป ทุกฉากที่มีแม่(ผมค่อนข้างจะอิน เป็นพิเศษถ้ามีประเด็นเกี่ยวกับพ่อแม่พี่น้องหรือคนในครอบครัว) หลวงตาที่ดูแล้วเป็นคนดีที่สุดมาตั้งแต่ต้นกลับเป็นผู้ร้ายตัวเอ้ที่ระดับความชั่วนั้นดูเหมือนจะมหาศาลยิ่งกว่าสิงห์และนายตำรวจนั่นเสียอีก อย่างที่ จขกทและความเห็นอื่นๆได้กล่าวไว้ เพราะเรามองที่เปลือกหาได้มองที่แก่นไม่ สำหรับผม ผมว่าคงเป็นที่ธรรมชาติของคนทุกคนที่จะมองใครก็มักจะมองจากภายนอกก่อนด้วยกันทั้งนั้น และหนังเรื่องนี้ก็หลอกให้เราเชื่อจากสิ่งที่เห็นก่อนจะเฉลยออกมา ทีละปม ทีละปม อืม...ยากนะครับกับการดูและตัดสินคน คนไหนดี คนไหนไม่ดี เรามองด้วยตาอย่างเดียวคงจะยาก เราจึงต้องใช้ปัญญาช่วยในการตัดสินใจ ถึงแม้เราจะใช้ปัญญาแล้วก็ยังมองไม่ถึงแก่นของคนคนนั้นแต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าเราไม่ได้ใช้ปัญญาเลย ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจว่าอะไรดีไม่ดี ใช้ปัญญาพิจารณากันให้ลึกซึ้งก่อนจะดีกว่านะครับ สำหรับบางคห. นั้น ..มองแต่เฉพาะเปลือกก็ตัดสินใจเสียแล้ว น่าเสียดายจริงๆครับ จากคุณ : ไม่ร้องซักแอะ เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 01:04:55 A:112.142.248.198 X: TicketID:259483

ความคิดเห็นที่ 106 สุดยอดค่ะ วันนี้ไปดูมาแล้ว ชอบที่เต๋าเทศน์มากที่สุดเลย โดนจริงๆ พ่อแม่ต้องถามตัวเองก่อนว่าอยากได้เงินหรืออยากให้ลูกคอยอยู่ดูแล จากคุณ : charidie (charidie) เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 01:06:03

ความคิดเห็นที่ 107 วิเคราะห์ วิจารณ์ ได้ตรงใจมากเลยค่ะ ชอบหนังเรื่องนี้ค่ะ แม้จะไม่ชอบสุดๆ ดูแล้วอิ่ม และซาบซื้อ ได้แบบโหมโรง(อันนี้ความเห็นส่วนตัว) แต่ก็ชอบที่ความกล้าของคนทำหนัง ที่กล้าเสนอสิ่งที่ต้องการอย่างตรงไปตรงมา ชัดเจน ไม่ต้องมีอ้อมแอ้ม งุบงิบ ชอบที่พวกเค้าอดทนรอ เป็นเวลานานตั้ง 3 ปี เพื่อให้หนังไม่โดนตัดทอนส่วนหนึ่งส่วนใดออกไป กลับมานั่งคิดว่าถ้าหนังถูกเซ็นเซอร์ซะก่อน เราจะชอบหนังเรื่องนี้ไหม? คงไม่เท่านี้มั้ง สุดท้าย ดีใจ ที่ได้ดูหนังไทย ฝีมือดีๆ จากคนไทย ให้กำลังใจคนตั้งใจทำหนังค่ะ จากคุณ : tato_jang เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 01:35:43

ความคิดเห็นที่ 108   ไปดูมาแล้วคะ ในแง่ของความชื่นชอบ หนังเรื่องนี้ไม่ใช่ที่สุดของเรา แต่ในด้านการให้ข้อคิดเตือนใจ มันเยี่ยมมากๆเลยละ ความรู้สึกคือ มันไม่ได้ทำลายพระพุทธศาสนา แค่อยากตีแผ่ความเสื่อมในจิตใจของมนุษย์ทุกคน อีกอย่างนึง คือดูแล้วนึกถึงคำพูดของพ่อแม่เลยคะ "แค่อยากเห็นลูกดูแลตัวเองได้" จากคุณ : Vermouth เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 01:41:10 A:10.0.1.124 X:124.121.32.32 TicketID:226522

ความคิดเห็นที่ 109 เรื่องนี้ ชอบตรง แนวคิดเรื่องส่งเงินให้พ่อแม่ กับ ต้องอาศัยเวลา เป็นตัวดัดสินคน เราจะตัดสินคน จากวัยวุฒิ+อาชีพ ไม่ได้เลยจริงๆ จากคุณ : น้ำแข็งเผา เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 03:40:59