Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
<< ดูแล้วมาคุยกัน ... บ้านฉัน.ตลกไว้ก่อน(พ่อสอนไว้) , หนังครอบครัว(ไทย)ที่ดีที่สุดในรอบหลายปี (แต่โชคร้ายฉายผิดเวลา) >>  

  ชอบมาก ห้ามพลาด (321 คน)
  ชอบ (122 คน)
  เฉยๆ (25 คน)
  ไม่ชอบ (5 คน)
  ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (9 คน)

 66.60%
  ชอบมาก ห้ามพลาด (321 คน)
 25.31%
  ชอบ (122 คน)
 5.19%
  เฉยๆ (25 คน)
 1.04%
  ไม่ชอบ (5 คน)
 1.87%
  ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (9 คน)

จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 482 คน


เลือกอ่านบทความนี้พร้อมรูป + อ่านความเห็นอื่นๆ + แสดงความเห็นเพิ่มเติมหรือเก็บไว้ได้ที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=03-2010&date=29&group=14&gblog=199


... ผมนึกอยากจะให้มีหนังไทยซักเรื่อง ที่สามารถเชียร์ให้คนในบ้านมาดูร่วมกันโดยผู้ใหญ่ไม่ต้องปิดตาเด็กในฉากโหดหรือหยาบ และ เด็กไม่ต้องปลุกผู้ใหญ่ที่กำลังหาวหวอด เป็นหนังสร้างความสุขได้ทุกวัย และ ทั้งผู้ใหญ่ทั้งเด็กได้อะไรกลับไปด้วยกัน เหมือนหนังอย่าง Always: Sunset on Third Street

ปีที่ผ่านมามีหนังเกี่ยวกับครอบครัวสองเรื่องที่ผมรู้สึกว่าใกล้เคียงแนวคิดข้างต้น แต่ก็มีจุดอ่อนใหญ่ๆไปคนละจุดสองจุด เช่น

ความสุขของกะทิ - แก่นเรื่องใน ความสุขของกะทิ ดี แต่ ตัวหนังเล่นท่ายาก ใช้เทคนิกทางภาพยนตร์ที่โอ่อ่ากว่าคอหนังธรรมดาๆจะตามได้อย่างสนุก บวกภาษาเขียนที่กลายมาเป็นไดอะล็อกที่ประดิษฐ์เกินไป อุดมคติเกินไป และ เป็นชีวิตชนบทที่ดูหรูเกินไป จึงทำให้ คนส่วนใหญ่ที่ไม่หลับ ยอมรับชื่นชมในคุณภาพและสาระของหนัง แต่น้อยคนที่จะรู้สึกซึ้งไปกับหนัง

สามชุก - เป็นอีกเรื่องที่แก่นเรื่องดี แนวคิดดี แต่ เทคนิกทางการสร้างค่อนไปทางสื่อการสอนมากไปนิด ถึงสนุก แต่ก็ขาดชั้นเชิงลีลา เป็น นักกีฬายิมนาสติกที่เรียกว่า เล่นท่าตรงข้ามกับ ความสุขของกะทิ อย่างสิ้นเชิง

หันไปมองฝั่ง GTH รถไฟฟ้าฯ ก็น่ารักสนุกดี แต่ดูจบไม่รู้จะเขียนอะไร ส่วน ความจำสั้นฯ เป็นหนังไทยที่เชียร์ให้คนอื่นไปดู แต่ส่วนตัวไม่ได้ชอบมาก รู้สึกภาพมันฟุ้งๆลอยๆ วีโก้เด่นไปหน่อย ส่วนหนังก็ ซึ้งแต่ไม่กินใจ

และพอได้ดู บ้านฉันฯ ก็พบว่าเป็น หนังเรื่องนั้นที่ผมรอคอย


... ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความเนี้ยบของกระบวนการผลิตและปล่อยหนัง จึงทำให้ หนัง GTH ระยะหลัง ไม่มีเรื่องไหนที่คุณภาพโคม่า แต่ผมก็รู้สึกว่า นานเหลือเกินแล้วที่ไม่ได้รู้สึกอินจริงจัง หรือ จะมีหนัง GTH เรื่องไหนมากระแทกใจจี๊ดๆนับตั้งแต่ ซีซั่นเช้นจ์

หนัง GTH ที่ไม่ใช่หนังผี ระยะหลังออกแนวสูตรสำเร็จที่เดาทางได้ และ ขอดัดจริตใช้คำปะกิดนิดนึงว่า ไม่ค่อย touching หรือละเมียดจนแตะอารมณ์ความรู้สึกถึงขนาดเรียกน้ำตา เหมือนสมัย แฟนฉัน , เพื่อนสนิท , ซีซั่น เช้นจ์ ซึ่งถ้าไม่ใช่เพราะคนทำหนังมือตก ก็คงเป็นเพราะผมเอง ที่ดูสไตล์นี้ซ้ำๆจนเริ่มชาชิน

แต่มาถึง บ้านฉันฯ แม้จะไม่ได้ อินจี๊ด เหมือนตอน ซีซั่นเช้นจ์ แต่ก็เป็นหนังไทยจาก GTH ที่ผมคิดว่า เป็น หนังฟีลกู๊ด ที่มี ความละเมียดละมุน และ มีดีเหนือกว่าหลายเรื่องที่ฉายไล่เลี่ยกัน



สิ่งที่ชอบsmile


1 .ความเป็นหนังครอบครัว ... ครอบครัวใน บ้านฉันฯ เป็น ต้นแบบที่ดี ที่กรมสุขภาพจิตน่าจะใช้ขยายให้ประชาชนดูเป็นต้นแบบของครอบครัวอันมีคุณลักษณะของการสร้างสุขภาพจิตที่ดีในบ้าน

อาทิ มีอารมณ์ขัน , อยู่ด้วยความเข้าใจ , ไม่ใช้ความรุนแรง ฯลฯ และก็ไม่ได้ดีเลิศเลอเพอเฟคต์ไร้จุดอ่อน เพราะ เราก็ได้เห็นปัญหาที่เกิดจาก ความเป็นผู้ใหญ่ไม่เข้าใจเด็ก , ความเป็นเด็กที่คิดว่าพ่อไม่รัก พ่อไม่ยอมรับ ฯลฯ

เป็นหนังที่คนเป็นพ่อแม่ ดูแล้วสามารถได้ข้อคิด ว่า อะไรที่เราอาจทำให้ลูกเข้าใจผิดแบบไม่รู้ตัว, บางเรื่องที่พ่อแม่ไม่คิด อาจสร้างปมด้อยในชีวิตให้กับเด็กติดตัว ในขณะที่คนเป็นลูกดูแล้วก็จะเข้าใจว่า บางสิ่งที่เราไม่สามารถสรุปได้เพียงแค่มุมที่เรามอง , เราไม่ควรด่วนสรุปหรือตัดสินพ่อแม่หรือใครก็ตามได้จากเรื่องๆเดียว หรือ คำพูดเพียงไม่กี่คำ


ฉากเด็ดที่ผมคิดว่า คนเขียนบท ครีเอทได้จี๊ดสะท้านใจ คือ ฉากพ่อตี ที่ดูแล้วเสียน้ำตาได้พอๆกับ ฉากพ่อตบหน้า ใน Always: Sunset on Third Street

เมื่อพ่อแสดงให้เห็นแล้วว่า รักลูกมากขนาดไหน แม้ที่ผ่านมาจะไม่เอ่ยปากตรงๆ แต่เมื่อลูกหายไป พ่อทิ้งได้ทุกอย่าง กินไม่ได้นอนไม่หลับ รอเห็นลูกเดินกลับมา ที่ตีไม่ใช่โกรธ แต่อยากให้รู้ว่า พ่อเจ็บและเสียใจ รักมาก ก็เจ็บมากเช่นกัน

ผลลัพธ์ที่ออกมา ทำให้หนังเรื่องนี้เหมาะกับทุกๆคนในครอบครัวอย่างแท้จริง


2. ความเป็นหนังตลก ... หน้าหนังเรื่องนี้เด่นชัดในการขาย ความเป็นหนังตลก แต่จากตัวอย่างหนังที่ปล่อยออกมา ผมหวั่นๆว่าจะไม่เวิร์ค เพราะผมคิดว่า ตัวอย่างหนัง ไม่ตลกเท่าไหร่เลย ไม่เหมือนหนังตลกหลายเรื่องที่ปล่อยมุกขำกลิ้งตั้งแต่ตัวอย่างหนัง

แต่เมื่อได้ดูแล้วก็ต้องบอกว่า การที่ตัวอย่างหนังกั๊กมุกเด็ด อาจเป็นข้อเสียในตอนเปิดตัวเพราะคนยังลังเล แต่เป็นข้อดีในการปลุกกระแสคนดูปากต่อปากต่อปาก เพราะ พอเข้าไปดูแล้วกลับเซอไพรส์เพราะมีมุกที่เด็ดกว่ามากมายยิงใส่คนดู คนดูก็จะรู้สึกดีกว่าที่คาด ตรงข้ามกับหนังหลายเรื่อง มุกเด็ดอยู่ในหนังตัวอย่างหมด คนดูจึงผิดหวังเวลาตีตั๋วเข้าไปไม่เหลือมุกอะไรให้ฮาอีก

ที่ดีคือ วิทยา ทำให้คนดูรู้สึกดีๆเหมือนดูหนังของ ยอร์ช (ผกก.ตระกูลหนังส่ายหน้า) คือ ทั้งคู่ กำกับ ตลก มาเล่น ตลก ในหนัง ตลก ได้เป็น ไม่ใช่แค่ วางกล้องแล้วปล่อยพวกเขา เล่นตลกแล้วสักแต่ถ่ายเทปมาต่อๆกัน

ตลกคาเฟ่ ขำได้ โดยไม่จำเป็นต้องหยาบ และ ถ้าผ่านการกลั่นมุก เราก็จะเห็นกึ๋นของตลก และ สิ่งที่ต้องชมความตลกของหนังเรื่องนี้คือ แม้หน้าหนังจะชัดเจนสุดๆว่า เป็นครอบครัวที่ประกอบอาชีพตลก มุกตลกนับสิบนับร้อย ที่ประเคนมา ไม่ได้เด่นหรือโดดเกินหน้าเนื้อหาหนัง

แม้จะมีมุขทะลึ่งๆบ้างก็ไม่ได้ออกมาในแนวหยาบโลน หลายหนที่บอกว่า ตลกคาเฟ่ จำต้องหยาบ แต่ มุกตลกคาเฟ่จำนวนมากในหนังเรื่องนี้ อาจมีทะลึ่งบ้าง แต่ ไม่หยาบเลย

สามอันดับมุกชนะเลิศ

ผมเจ็บ ฮ่าฮ่าฮ่า... มุกบ้านๆมาก แต่จังหวะได้

เกะกะ ฮ่าฮ่าฮ่า... จังหวะรับส่ง ความน่ารัก และ คนคิดคำ ทำให้คนดูยิ้มได้ในทันที

พ่อง้อลูก ฮ่าฮ่าฮ่า... นี่เป็นการดัดแปลง ตลกบนเวที ด้วยการใช้เทคนิกทางภาพยนตร์ให้กลายมาเป็น ตลกในจอหนัง ได้อย่างยอดเยี่ยม ฉากตีหัวเอย , ปล่อยมุกเอย ดูจากเวทีได้ จะถ่ายมาออกจอก็ไม่ต่าง แต่มุกแบบนี้ที่ใช้จังหวะกล้อง เราไม่สามารถ


3. ทีมนักแสดงที่เล่นกันได้ดียกทีม เล่นเข้าขา ... ต้องชมทั้งทีม casting , ผู้กำกับ และ นักแสดงทุกคน (จาตุรงค์ ได้บทที่เหมาะกับเขาอย่างที่สุด ผสมมุกตลกและมุมของพ่อได้ดีมาก เช่นเดียวกับ น้องสาวคนเล็ก ที่น่ารักและฮาอย่างไร้ที่ติ)



สิ่งที่ไม่ชอบmad


1.จุดสุดท้ายที่ควรคลี่คลายด้วยการขยี้แล้วตบ ไม่น่าจะเป็นเรื่อง รักของหมอน้ำแข็ง แต่น่าจะเป็น ความสัมพันธ์พ่อ-ลูก ... ผมไม่ได้มีปัญหากับหนัง feel good หรือ คิดว่า GTH จะทำหนัง feel good แล้วผิด เพราะอย่าง รถไฟฟ้าฯ ก็สมเหตุสมผลและถ้าใครจะตำหนิว่า รถไฟฟ้าฯ ฟีลกู๊ด ผมคิดว่าไม่แฟร์กับหนัง เพราะตัวตั้งท่าแสดงเจตนามาอยู่แล้วว่าไม่ได้อยากจะดาร์คหรือมืดหม่น

แต่ หนังบางเรื่อง คนเขียนบทวางทางไว้ในแง่มืดๆ เช่น หนีตามกาลิเลโอ แต่ ปัญหายากๆก็แก้กันง่ายๆ มันก็เหมือนพยายามขืนใจเราให้รู้สึกฟีลกู๊ดไปแบบขัดๆ


exclaim ถัดจากนี้ ตัวเอียง Spoil เน้อ



เช่นเดียวกับ บ้านฉันฯ หลังจาก พ่อรู้ความจริง เห็นมุกที่ลูกบรรจงเขียนใส่หนังสือ ถ้าหนังเลือกสร้าง สถานการณ์ซักอย่างที่พ่อ แสดงให้ลูกเห็น การยอมรับ และ ความรักที่ตัวเองมี เป็น ฉากหลัก แล้วให้เรื่อง หมอน้ำแข็ง เป็น ฉากรอง ยังน่าจะปิดท้ายได้ซึ้งกินใจมากกว่า

กรณีหมอน้ำแข็ง ทำให้เห็น การมองโลกหรือการหาทางออกให้หนังของ GTH ว่ามีทีท่าในอีหรอบคล้ายๆกัน เหมือน หนีตามกาลิเลโอ คือ คิดปมยากๆแต่ใช้วิธีแก้ง่ายๆชิวๆ กรณีท้องก่อนแต่งแล้วกลัวแฟนทิ้งจึงเก็บเงียบไว้เป็นเดือน

การแก้ปัญหาในจุดที่หวังให้เป็นไคลแมกซ์ ดูไม่น่าเชื่อถือเลยว่าปลายสายจะเออออห่อหมก ทำใจเชื่อแล้วมาคุยกับแฟนแบบในหนัง อีกทั้ง ถ้าผมเป็นหมอน้ำแข็ง (ถึงจะยากหน่อยเพราะยังไงตัวเองก็ไม่ท้อง ) แต่ถ้ามีเรื่องส่วนตัวที่ใหญ่มากๆ คงไม่ได้รู้สึกดีที่มีคนอื่นมาจัดการแบบนี้โดยที่ไม่บอกกันก่อน

การคลี่คลายเรื่องของหมอน้ำแข็ง มันเหมือนกับ มุกปิดท้ายที่กร่อยๆไป เมื่อเทียบกับ ความดีมากที่หนังไต่มาตลอดเกือบทั้งเรื่อง




สรุป ... เมื่อเทียบงานเดี่ยว ชิ้นแรกของก๊วนแฟนฉัน ผมชอบ ซีซั่น เช้นจ์ > เพื่อนสนิท > เด็กหอ > เก๋า เก๋า > หมากเตะ แต่เมื่อมาถึงผลงานชิ้นที่สอง ผมชอบ บ้านฉันฯ > รถไฟฟ้า ฯ > ปิดเทอมใหญ่ > สายลับฯ/ หนูหิ่น> หนีตามกาลิเลโอ

ถ้าหวังตลกหนังมีให้ ในแง่ของการเติบโตข้ามวัยหรือ coming of age ก็ได้ตามมาตรฐาน แต่ที่ทำได้ดีที่สุด คือ ในส่วนความสัมพันธ์ของพ่อ-ลูก และ โหมดอารมณ์ ที่จับใจคนดูด้วยความอบอุ่นและความรักในครอบครัว เป็น หนัง GTH ที่ผมคิดว่าใส่ อารมณ์ละเมียดอบอุ่นได้ดีที่สุดในรอบสองสามปีนี้



รักคุณ ฝากข่าวเนื่องด้วยจขกท.คลอดหนังสือเล่มใหม่ชื่อ 'เจ็บเพราะรัก'(รายละเอียดตามอ่านได้ที่บล็อกเน้อ) ในงานสัปดาห์หนังสือ และ หลังจากชุมนุมพบเพื่อนผู้อ่านเมื่อ ศุกร์-เสาร์ที่ผ่านมา ผ่านไปด้วย สงบ สันติ และ สนุกสนานฮ่าฮ่าฮ่า จขกท. จึงขอประกาศชุมนุมครั้งสุดท้ายโดยสงบที่บูธ M16 == วันเสาร์ที่ 3 เมษายน == ช่วง บ่ายโมง - 4โมงเย็น ==

บังคับพูดคุยพร้อมแจกลายเซ็น ไม่ได้แจก ไม่กลับ!!!! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า

(แต่ถ้ามีเหตุจำเป็นเหมือนเสาร์ที่ผ่านมา ถ้าต้องเลื่อนเวลาจะแจ้งอีกครั้งผ่านหน้า Facebook เน้อ)


love จขกท. มี facebook แล้วเน้อ มาอ่านมาคุยเรื่องหนังผ่าน FB กันได้ที่ www.facebook.com/IbehindYou



ideaบทความที่อ้างอิงถึงในกระทู้
(บทความเหล่านี้เคยนำมาลงในกระทู้แล้ว)

Always: Sunset on Third Street , บางสิ่งที่ไม่อาจเห็นได้ด้วยตา แต่สัมผัสได้ด้วยใจ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=13-05-2006&group=1&gblog=160

จาก หน้ากระดาษ สู่ หน้าจอ , 'ความสุขของกะทิ' ให้อะไรเรา ?
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=10-01-2009&group=14&gblog=141

สามชุก , ไม่ได้น่าดูเพราะ'‘เจตนาดี-มีบทเรียน’ แต่น่าดูเพราะ 'หนังดี-กินใจ-เข้าใจคน'
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=10-08-2009&group=14&gblog=172

Season changes , เมื่อ"เพื่อนสนิท"กลายมาเป็น"แฟนฉัน"ในวันที่"อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย"
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=09-2006&date=08&group=1&blog=1

แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 53 12:56:28

แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 53 09:26:56

จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 09:24:28




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com