Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์ ; “Kick-Ass” ... ด้วยรัก และปลาบปลื้ม จากใจ ‘เด็กเนิร์ด’  

  เกรด A [A/A-] (29 คน)
  เกรด B [B+/B/B-] (1 คน)
  เกรด C [C+/C/C-] (0 คน)
  เกรด D [D+/D] (1 คน)

 93.55%
  เกรด A [A/A-] (29 คน)
 3.23%
  เกรด B [B+/B/B-] (1 คน)
 0.00%
  เกรด C [C+/C/C-] (0 คน)
 3.23%
  เกรด D [D+/D] (1 คน)

จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 31 คน


นี่คือ ภาคสอง ของ รีวิว Kick-Ass ..ที่มีความคล้ายคลึงกับภาคแรก แต่ต่างกันตรงที่ ภาษา และความรุนแรง ในเนื้อหา

ถ้าคุณเป็นคนฮาร์ดคอร์ ปลื้มการไซโค ขอแนะนำให้อ่านภาคแรก จากทางบล็อก..ที่ลิงค์นี้
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=onceupon&month=04-05-2010&group=2&gblog=214

แต่ถ้าคุณซอฟๆ ชอบอะไรที่ชิลๆ ..ภาคสองนี้ เหมาะกับคุณครับผม

แต่ถ้าอ่านทั้งสองภาคได้ก็จะดียิ่งๆ ...เพราะอรรถรสที่ได้จะต่างกัน มองคนละมุมผ่านตัวละครเด็กสองแบบ

อีกหนึ่งรีวิว ที่ผมตั้งใจนำเสนออย่างจริงจังเลยนะเออ! smile





บทความนี้ เป็นบทความสำหรับผู้อ่านทั่วไป สามารถรับอ่านได้ทุกวัย  




สวัสดีครับ ตัวผม มีชื่อว่า “เดฟ” ..ผมเป็นเด็กเนิร์ดครับ ก็ไม่รู้มีใครเขาบอกไว้ว่าเราเป็นอย่างนี้ ก็เลยเหมือนถูกบังคับให้ต้องโดนคนรอบข้างเรียกว่า นายเจี๋ยมเจี้ยม ..ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ผมก็ไม่ค่อยชอบใจ ที่ดันต้องมาเป็นอะไรที่ตัวเองไม่ได้อยากเป็นเลย

ชีวิตผมไม่มีอิสระหรอกครับ อยู่บ้านก็เงียบๆตามประสารคนชอบเก็บตัว อยู่ในโรงเรียนก็ดูเป็นคนที่ไม่น่าสนใจอะไรเลย ..จะมีบ้างบางทีที่มีเพื่อนๆเรียกชื่อ แต่ก็เหมือนเรียกมาเพื่อโดนล้อซะมากกว่า ..ก็ไม่รู้ว่า ทำไมใครต่อใครเขาถึงชอบทำกับผมอย่างนี้นะ

ตอนแรก ที่ผมเจออย่างนี้ ก็มีคนบอกว่าให้เฉยๆ เข้าไว้ ไม่ต้องคิดอะไรมาก มันเป็นเรื่องปกติที่คนเราต้องเจอ ..แต่ยิ่งนานวันเข้า ผมก็ยิ่งรู้สึกกลัว และกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ สะสมความอัดอั้นจนไม่อาจไหวจะเก็บกดอีกต่อไปได้แล้ว

ตอนนี้ ผมจึงเริ่มรู้สึกอยากจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตัวเองเสียใหม่ เปลี่ยนไปเป็นใครที่ดูเป็นปกติที่มนุษย์เขาเป็นกัน ..ผมอยากเป็น เด็กเกรียน ครับ




ด้วยความที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมเลยลองศึกษาหาข้อมูลจากตามอินเตอร์เน็ต เข้าเว็บ Google แล้วเสิร์ชคำว่า เกรียน ..ผลปรากฏว่า เกรียน ก็คือ “ศัพท์สแลงแทนบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว ก่อกวน ไร้เหตุผล หรือคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของสังคม”

รู้เข้าอย่างนี้ ผมก็ไปไม่เป็นเลยล่ะสิ ..ก็ในเมื่อตัวผมเกิดมาก็เป็นคนที่ถูกพ่อแม่สอนสั่งให้สุภาพ นอบน้อม มีเหตุมีผล ต้องไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนๆเดียวที่อยู่ในโลกใบนี้ ...แล้วทีนี้ จะให้ผมไปฝึกทำตัวเป็น ศูนย์กลางของสังคม มันไม่น่าเป็นไปได้เลยครับ

แต่คนเรา เมื่อคิดจะเปลี่ยนแล้ว มันก็ต้องทำให้ได้ใช่ไหมละครับ.. เอาเถอะ ผมจะลองดูสักตั้ง ดีกว่าต้องทนรำคาญใครต่อใครในสังคม ต่อไปอยู่อย่างนี้




กระนั้นเองที่ผมกำลังพยายามลองฝึกปฏิบัติตัวเองเสียใหม่ ..ผมก็เกิดความสงสัย ว่าทำไมหนอ โลกใบนี้ มันถึงไม่มีซูเปอร์ฮีโร่ เหมือนดังที่หนังสือการ์ตูนคอมมิคส์มันยังมีได้

เพราะการจะเป็นเกรียนได้ มันก็ควรเริ่มต้นจากการทำตัวเป็นศูนย์กลาง ..เช่นเดียวกับ ซูเปอร์ฮีโร่ ที่ทำตัวเป็นศูนย์กลางของประชาชน ผู้เรียกร้องขอความช่วยเหลือต่างนานา นั่นไง

ตอนที่เรายังเป็นเด็ก เราก็เคยเข้าใจในจินตนาการไปเองว่า โลกใบนี้ มี ซูเปอร์ฮีโร่ อยู่จริง ..เราเชื่อมั่นว่าต้องมี ก็อทแธม อยู่ที่ไหนสักแห่ง แน่ใจว่าคริปโตไนท์สามารถชุบชีวิตคนตายให้กลับมาเป็น อีกยังคิดว่า คนบางคนก็แสนจะโชคดีเหลือเกิน ที่เกิดมามีความสามารถเหนือมนุษย์ อาจจะอ่านจิตใจคนอื่น มีกงเล็บงอกจากง่ามนิ้ว หรือกระทั่งควบคุมดินฟ้าอากาศได้

แต่เมื่อเราเติบโตขึ้น เรากลับพบว่ามันไม่ใช่โลกในอุดมคติ ที่เราเคยนึกฝัน ..มันกลับกลายเป็นโลกแสนเศร้าที่เราจะได้พบเห็น คนที่อ่อนแอกว่า ถูกข่มเหงรังแกจากคนที่แข็งแรง เช่นตัวผมคนหนึ่ง ที่แสนจะเก็บกดในเวลานี้นี่เอง

ทั้งที่เราไม่เคยคิดไปทำอะไรเขาก่อนเลย ..แต่ทำไมหนอ เขาถึงมองว่าเราเหนือกว่าเขา แล้วทำอะไรก็ได้ โดยไม่สนใจว่าเราจะคิดอย่างไร ทำเหมือนว่าเราเป็นหุ่นเชิด ที่ประดิษฐ์ท่าทางได้ตามใจฉันสั่ง ห้ามคิดจะแข็งข้อ!

คิดอย่างนี้แล้ว ใครเป็นเหมือนผม ก็คงเก็บกด เหมือนกันใช่มั้ยล่ะครับ?

นั่นแหละ มันจึงทำให้ผมเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมากับตัวเอง ..แม้ใครบนโลกคนอื่นจะมองว่าผมเจี้ยมเจี๋ยม ไม่กล้าทำอะไรใครเขาหรอก ...ผมนี่แหละ จะขอพิสูจน์ความแข็งแกร่งที่มีอยู่ลึกๆของตัวเอง ด้วยการสวมบทเป็น ซูเปอร์ฮีโร่ ผู้ผดุงความยุติธรรมให้ใครๆบนโลกใบนี้ ที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้อ่อนแอ

แต่ก่อนที่ผมจะทำอะไรอย่างนั้นได้ ผมก็น่าจะมองหาแรงบันดาลใจอะไรสักอย่างที่ทำให้ผมต้องยึดไว้เป็นไอดอล ..ซึ่งพอคิดได้อย่างนี้ มันก็ได้จังหวะพอดีที่มีหนังที่ว่าด้วยเรื่องซูเปอร์ฮีโร่เรื่องใหม่เข้าฉาย แล้วชื่อก็ดูออกจะกวนโอ้ย ตั้งแบบ สั้นๆง่ายๆ ให้แปลตรงตัวเป็นภาษาไทย ก็คือคำว่า เตะก้น




“Kick-Ass” เนี่ยแหละคือ หนังที่ผมอ่านแค่ชื่อก็มั่นใจแล้วว่า ..มันต้องเป็นหนังที่เกิดมาเพื่อผมแน่นอนเลยล่ะครับ

ให้พูดเรื่องย่อก็ง่ายๆ ไม่ซับซ้อนอะไรนะ ..มันเป็นเรื่องของเด็กคนหนึ่ง ที่ดันมีชื่อเดียวกันกับผมว่า “เดฟ” (อย่างนี้สิ มันถึงจะเกิดมาเพื่อผม ..ให้เกียรติผมเป็นพระเอกเสียด้วย) ซึ่งเขาก็คิดเหมือนผมเลย ในแง่ที่โลกนี้ ช่างน่าสงสารเพราะไม่มีใครคิดเป็นซูเปอร์ฮีโร่สักคน ถ้าอย่างงั้นก็เอาอย่างงี้ละกัน ไม่มีใครกล้าจะเปลี่ยนตัวเองแบบนี้ ก็มีแต่เขานี่แหละที่ควรจะจัดให้ ..ด้วยประการฉะนี้ ก็เลยขออุปโลกน์ตัวเองขึ้นมาเป็น ซูเปอร์ฮีโร่ ซะเลย

ทั้งที่นายเดฟนี่ เขาก็ไม่มีพลังพิเศษใดๆ ทักษะการต่อสู้ก็ต่ำต้อยด้อยสามารถ แถมดีกรีความฉลาดดันไม่มีสักเศษเสี้ยวอีก ..เพียงแต่สิ่งที่เขามี หากคนอื่นไม่มีอยู่เลย ก็คือ ความกล้า นี่แหละ ที่ได้นำความก้าวหน้ามาให้กับเขา

แล้วพอเขาก้าวหน้า ได้โด่งดัง ให้เป็นที่รู้จัก แล้วกลายเป็นไอดอลของใครต่อใครนั่นแหละ ..ก็เริ่มจะมีคนกล้าแสดงตัวขอรับบทเป็น ซูเปอร์ฮีโร่ ที่มาเข้าแก๊งค์เพิ่มอีก 2 แล้วคนทั้งคู่ก็ดันเป็นพ่อลูกด้วยกันอีก

แต่ที่พ่อลูกคู่นี้ มาเข้าแก๊งค์ กับคนที่ไม่น่าเข้าร่วมด้วยอย่างนี้ ...เขามีเหตุมีผลที่มากไปกว่าช่วยคน แต่มันจะเป็นเรื่องอะไร ที่ใครอยากรู้ ก็ให้ไปดูเองดีกว่า ..เดี๋ยวจะมาพาลน้อยใจที่ผมดันสปอยล์ใส่น่ะครับ




แต่อย่าไปสนใจเรื่องย่ออะไรให้มันมากเลย ถ้าเป็นนักดูหนังตัวจริงเสียงจริงแล้ว ..เอาแค่ได้รู้ว่า Kick-Ass เป็นผลงานกำกับเรื่องใหม่ของ “แมทธิว วอห์น” คนเดียวกับที่เคยกำกับ พี่ 007 หน้าชรา “แดเนียล เครก” เมื่อสมัยฝึกหัดเก๋า ใน “Layer Cake” แล้วยังมีงานต่อมาเป็นหนังแฟนตาซีปนเรื่องรักๆน่าเลิฟ ของคนกับดวงดาวอย่าง “Stardust” ด้วยอีก ..ให้รู้ว่าสองเรื่องนี้ มันเคยมีดีอะไร ก็พอเพียงแล้ว ที่จะทำให้อยากสนใจหนังฮีโร่เตะก้นของพี่เขาได้

แม้หนังหน้าของ Kick-Ass จะดูเป็นหนังแอ๊คชั่น แบบที่ซูเปอร์ฮีโร่คนอื่นๆเขาเป็นกันมาหมดแล้ว หนำซ้ำนึกสนุกทำออกมาในเชิงล้อเลียนเอาขำแบบที่เคยดูจากใน “Superhero Movie” ..แต่ นายเตะก้น ไม่ได้ไร้สาระแบบเจ้าแมงปอนะครับ

ก็ดูได้จาก ผลงานก่อนๆของผู้กำกับ วอห์น ..แต่ละเรื่องเนี่ย ล้วนเล่าเรื่องแบบสไตล์แปลกๆกันทั้งนั้น แต่เขาก็มิวายสร้างสาระในความแปลกเหล่านั้นได้ โดยเฉพาะ ฉากหนึ่งใน Stardust ..หากดูตอนต้นๆก็คงตลกดี ที่นางเอกพูดกับหนูเป็นตุเป็นตะ แต่เชื่อมั้ย จู่ๆก็เกิดซาบซึ้ง ให้นางเอกบอกรักเจ้าหนู(ที่ความเป็นจริง ก็คือ พระเอกผู้โดนสาปให้เปลี่ยนร่างนี่ล่ะ) ทำให้มันโรแมนติกก็ไม่เท่าไหร่ ..แต่หนังดันทำให้เรารู้สึกสำนึกดีๆที่ได้เกิดมาเป็นคนอย่างหน้าตาเฉย

แค่ผู้กำกับว่า สุดยอด คงไม่พอ กับคนคิดเรื่อง ก็ถือว่าไม่ธรรมดา ..ถ้าคุณเคยดู “Wanted” ก็คงรู้สึกว่า มันเป็นหนังบู๊ที่หลุดโลกสุดๆไปเลย เพราะเอาแค่สู้ด้วยปืนสั้นที่ดูไม่น่ารุนแรงอะไร เมื่อมันมาอยู่ในหนังเรื่องนี้ มันกลับเป็นอะไรที่น่ากลัวน่าเกรงสุดๆ

ถ้าอยากดูอะไรที่หลุดโลกแบบ Wanted แล้ว ..ขอบอกเลยครับว่า หนังเรื่องนี้ จัดให้มาหนักๆ




ซึ่งตัวผมเอง หลังจาก Wanted เป็นต้นมา ก็คงนานพอดูเลยทีเดียว ที่ไม่ได้ดูหนังแอ๊คชั่นที่พาอารมณ์สนุกไปได้ไกลถึงจุดสูงสุด ..ไม่สุดได้ไงละครับ ก็คิดดูสิ มันมีหนังแนวนี้ออกมาสักกี่เรื่องเชียว ที่ทำให้เหมือนว่าเรากำลังดูการแข่งขันชกมวยที่ถูกคู่

ดูไปก็พาลให้อินไป ยิ่งสนุกก็ยิ่งอยากเชียร์ ..เป็นคนดูนั่งนิ่งๆ ไปเรื่อยเปื่อยก็ทำได้แน่ แต่หนังเรื่องนี้มันทำให้เราต้องขยับแบบไม่ทันเกร็งอะไรเสียอย่างงั้น  ...เผลอๆ เดี๋ยวมีตบเข่า ในใจก็แอบตะโกน “แหล่มเลย!” แปบๆ ก็ดันออกท่าออกทางสู้แทน คิดว่าเหมือนว่าตัวเองอยู่ในหนัง แล้วจู่ๆ ก็เปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความสะใจ เมื่อได้เห็นอะไรที่อยากเห็นในหนัง

เรียกได้ว่า หนังเรื่องนี้ มันสุดยอด เลยจริงๆ ..ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นหนังเรื่องนี้ มันล้วนแต่ เกรียนโคตร อย่างที่ชื่อหนังภาษาไทยตั้งเอาไว้สะใจโจ๋จริงๆเลย

แล้วที่เด็ดๆอีกเหนือกว่านั้นก็มีนะ มันไม่ได้ดูเอามันส์กันลูกเดียวเสียที่ไหน.. เพราะเรื่องราวของหนังก็แอบทำดรามาด้วย ยังมีอะไรๆให้ดูเอาซาบซึ้ง ถึงกับมีบางฉากทำให้น้ำตาของผมคนนี้ที่มันไม่ไหลให้ใครง่ายๆ (ถ้าไม่โดนแม่ว่า พ่อเฆี่ยนตี โทษฐานทำเกรดไม่ถึง 4 T-T) ต้องเสียไปให้กับหนังเกรียนๆเรื่องนี้ ..เคยอดทนมาได้นาน ดูหนังไม่เคยเสียใจ แต่ต้องยอมมาเสียเส้นความเป็นลูกผู้ชายอกสามศอก เพราะคิดถึง ‘พ่อ’ นี่แหละครับ ..รู้ถึงไหน อายถึงนั่นเลยนะเนี่ย




แต่นั่นยังไม่ใช่ที่สุดของ Kick-Ass หรอกครับ ...เพราะช่วงที่ต้องยกให้เป็นฉากที่สุดแห่งความประทับใจของจริง ก็คือ ตอนไคลแม็กซ์

ไม่ใช่แค่จะบู๊กันสนั่น ฆ่ากันไม่ยั้งมือ แบบหนังแอ๊คชั่นทั่วๆไปเขาเป็นกันหรอก ..แต่ที่มากไปกว่านั้น ก็คือ ความสนุกมันสุดขอบ เกินล้ำเส้นที่เคยก้ำกึ่งระหว่าง ความสมจริงสมจัง ล่วงไปสู่ความบ้าระห่ำหลุดโลก ไปแล้วเรียบร้อย

การที่ผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป เป็นสิ่งที่น่ากลัวมากมายในโลกความจริง... แต่ถ้าควบคุมไม่ได้ เพราะดูหนังเรื่องหนึ่งแล้วรู้สึกบ้าไปกับมัน ก็คงต้องถามตัวเองก่อนว่า “นี่ เรากำลังดูหนังบ้าอะไรเหรอ??”

แล้วก็คงจะบ้าตอบกับตัวเองกลับมาว่า “นี่ มันไม่ใช่หนังนะ แต่มันคือ ยาบ้า ดีๆนี่เอง”

แม้ผมจะไม่เคยเสพยา แล้วผมก็รักชีวิตตัวเองเป็นที่สุด ...แต่ที่ Kick-Ass ต้องถูกเปรียบว่าเป็น ยาบ้า เนี่ย ก็เพราะขณะที่ผมกำลังเสพหนังเรื่องนี้อย่างเอาเป็นเอาตายมาร่วมชั่วโมง ถึงจุดนั้น มันก็ได้ออกฤทธิ์ กระตุ้นประสาท ทำให้ร่างกายผมต้องตื่นตัว หัวใจเต้นรัวๆ ระส่ำๆ ด้วยความที่ต้องลุ้นไปกับเรื่องราวที่ปลุกเร้าอย่างเต็มที่ในตอนจบนี่แหละครับ

ตอนที่ผมกำลังบ้าได้ที่นี่แหละ ..ตอนนั้น คงมีหลายคนในโรงหนังเดียวกันกับผม ที่อาจตกอกตกใจ ที่ได้ยินเสียงของใครคนใดคนหนึ่งในที่มืดแห่งนี้ ได้ร้องแรกแหกกระเจิงออกมาจากปาก กับเสียงที่ตะโกนฟังเป็นศัพท์เกรียนๆว่า  “โว้วววววววว!!!” “เยสสสสสสส!!!” “ยาฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮู้!!!” ที่ทำให้โรงอันเงียบสงัดอย่างกับอยู่วัด ได้ครึกครื้นรื่นเริงดังมีปาร์ตี้ฉลองงานบวชเกิดขึ้นในฉับพลัน ...ผมบ้าไปแล้ว!!!  



...อ่านต่อ ความเห็นถัดไป...

จากคุณ : OncE UPoN'-'a MaN
เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 53 17:53:50




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com