|
ความคิดเห็นที่ 1 |
ถ้า จำกันได้เมื่อ 2 ปีก่อน (หรือก่อนหน้านั้นไปอีกเป็นเวลา 9 ปี) พอเปิดช่อง 7 สี ทีวีเพื่อคุณตอนเช้า ๆ วันเสาร์ จะเห็นพิธีกรคู่ชายหญิงอารมณ์ดีออกมาเจื้อยแจ้ว ชวนน้อง ๆ ดูการ์ตูนน่ารัก ๆ ทั้งหมูพูห์ มิกกี้ เมาส์ ชิพ&เดล ฯลฯ ใช่แล้วครับ เขาคือ "พี่นัทและพี่แนน" ของน้อง ๆ นั่นเอง ผู้ชายร่างใหญ่ที่เห็นอยู่ตรง หน้าตอนนี้ดูสุขุมและมองเป็นผู้ใหญ่เอามาก ๆ ต่างจากเด็กหนุ่มขี้เล่นที่เคยเห็นหน้าจอแก้วเมื่อวันวาน เช่นเดียวกันกับหญิงสาวร่างเล็กที่แม้ภายนอกจะไม่มีอะไรต่างไปจากที่เห็นทาง โทรทัศน์ มากนัก แต่ท่าทาง, การพูดจาก็ดูแตกต่างไปจากเดิม
วันนี้ "ศักวัต ด่านบรรพต" หรือ "พี่นัท" ของน้อง ๆ ทำงานอยู่บริษัทสายการบินแห่งหนึ่งโดยอยู่แผนกติดตามสัมภาระ ส่วน "อรรัตน์ ฉัตรวลี" หรือ "พี่แนน" ของหนู ๆ ก็มีงานที่มั่นคงไม่แพ้กันที่บริษัท TA Orange ยักษ์ใหญ่อีกเจ้าหนึ่งแห่งวงการฮัลโหลมือถือ ในตำแหน่งเทรนนิ่ง
"เวลา ที่ผู้โดยสารลงจากเครื่องแล้ว โดยทั่วไปก็จะมีกระเป๋าโหลดลงมาตามสายพาน ตรงส่วนผมจะดูแลพวกเค้าว่าได้รับกระเป๋าเรียบร้อยไม๊ ถ้ามีปัญหา เช่น กระเป๋าหาย ก็จะมาติดต่อแผนกผม ก็ค่อนข้างจะเป็นแผนกที่รองรับอารมณ์ครับ เราต้องใจเย็นมาก ๆ" นัทร่ายรายละเอียดถึงงานของเขา ที่จริงแล้วนัทเรียน จบสาขาบริหารธุรกิจ เอกโฆษณา จาก ABAC งานที่เขาทำจึงแทบไม่มีอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เขาเคยวาดฝัน...AE เลย แต่นัทก็ดูเหมือนจะพอใจในงานที่ทำอยู่บ้าง งานที่เขาต้องเข้างาน 2 วัน หยุดงาน 2 วัน แต่ละวันที่ทำงานก็ต้องทุ่มเวลาถึงวันละเกิน 10 ชั่วโมงทีเดียว แต่นัทก็บอกว่าเป็นเวลาที่แน่นอนกว่างาน AE
ส่วนแนน นั้น เธอจบคณะมนุษยศาสตร์ สาขาสื่อสารมวลชนจากมศว.ประสานมิตร โดยเรียนเมเจอร์ที่เกี่ยวกับเด็ก ๆ ตอนที่เธอต้องตัดสินใจเลือกอนาคต เลือกวิชาเรียนนั้น ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เธอเลือกเรียนสาขานี้เพราะว่ามันสอดคล้องกับงานที่เธอกำ ลังทำอยู่ "พิธีกร Disney Club" นั่นเอง
"งานของแนนคือฝึกอบรม พนักงานค่ะ พนักงานเข้ามาใหม่ควรรู้เรื่องอะไรบ้าง ก็ลองมาทำที่นี่ดูว่าจะเวิร์ค จะชอบหรือเปล่า? ลองทำดูก็ชอบค่ะ ไม่ผิดจากที่เรียนมาสักทีเดียวเพราะแนนเลือกวิชาโทวาทการ ซึ่งก็เกี่ยวกับการพูด งานที่ทำอยู่นี่ก็จะต้องพูดอยู่แล้ว" แนนอธิบายถึงงานของเธอ
หนุ่ม-สาวที่เคยผ่านงานพิธีกรรายการเด็กมา แล้วคู่นี้ หลาย ๆ คนอาจจะมองว่าคงจะเป็นคนที่กล้าแสดงออกมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ความจริงแล้ว...ไม่ใช่เลย ทั้งคู่เป็นเด็กที่ขี้อายเอามาก ๆ ชนิดที่ว่าถ้าเห็นเขาและเธอสมัยตัวกะเปี๊ยก จะไม่มีทางเชื่อว่าต่อไปจะได้ทำงาน "หน้ากล้อง" เป็นแน่ โดยเฉพาะ...นัท
"เป็น คนขี้อาย ไม่ค่อยคุยกับใคร จนถึงมัธยมเลยครับ ถ้าอยู่ในโรงเรียนจะกลายเป็นคนธรรมดา ไม่มีใครสังเกตเห็นเลย เป็นเด็กที่ไม่ค่อยแสดงออก" นัทพูดเขิน ๆ แต่การ "ไม่ค่อยแสดงออก" ของเขานั้น เขาก็ยังทำกิจกรรมให้โรงเรียนคือเล่นดนตรีไทย
ส่วนแนนนั้น เธอบอกว่า "คุณแม่เล่าให้ฟังว่าตอนเล็ก ๆ แนนจะขี้อายมาก ท่านก็กลัวว่าโตขึ้นไป ถ้าลูกยังขี้อาย ยังกลัวคนอยู่ การใช้ชีวิตจะลำบาก ก็เลยพยายามที่จะให้ลูกมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ค่ะ แนนเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว จึงค่อนข้างที่จะสนิทกับคุณพ่อคุณแม่"
เหมือน ชีวิตจะถูกลิขิตมาให้แนนต้องก้าวออกมาจาก "โลกของคนขี้อาย" ตอน 5-6 ขวบ พ่อ-แม่พาแนนไปเดินห้าง อยู่ดี ๆ ก็มีคนมาติดต่อถามว่ามีรูปถ่ายแนนไหม แล้วส่งไปประกวดรูปถ่ายกับฟิล์มสียี่ห้อหนึ่ง ซึ่งเธอดันชนะเลิศ หลังจากนั้นก็มีงานที่ต้อง "แสดงออก" เข้ามาให้ทำพอสมควร รวมทั้งงานพิธีกร "Disney Club" ด้วย
ชีวิตของนัทเดินมาถึงจุดเปลี่ยนตอน ม.6 ก็อายุ 17 ปีนั่นแหละ เมื่อตอนนั้นเขานั่งดูรายการ "เจ้าขุนทอง" ที่แสนฮิตสมัยนั้นอยู่ ก็มีการประกาศขึ้นมาว่า Disney อยากได้พิธีกรเด็ก (อายุไม่เกิน 17 ปี) ตัวของเขาน่ะเฉย ๆ ถึงแม้จะแอบปลื้ม Disney อยู่ก็ตาม แต่คนใกล้ตัวของเขานี่สิ
"คนที่ตั้งใจฟังจริง ๆ คือคุณแม่ครับ ท่านผลักดันให้ผมเขียนจดหมายไป ผมก็เขียนวันสุดท้าย วันที่เค้าบอกหมดเขตเลย คือผมอาย ผมไม่เอาอยู่แล้ว ผมไม่กล้า แม่บังคับให้เขียนก็เขียนไป ตอนไปคัด ก็ไม่ได้เตรียมอะไรเลย แต่พอไปถึงตรงนั้น ผมคิดว่า 'เราเดินมาถึงตรงนี้แล้ว ลองทำอะไรที่มันบ้า ๆ ดู มันอาจจะเปลี่ยนชีวิตของเรา'"
นั่นก็คือปฐมบทแห่งความเปลี่ยนแปลง ของเด็กหนุ่มที่ชื่อนัท รายการนี้เปลี่ยนเขาจากหน้ามิอเป็นหลังมือ จากเด็กหนุ่มขี้อาย เขาก็กลายมาเป็นชายหนุ่มที่กล้าพูด กล้าจาขึ้นเยอะ ขี้เล่น มีคนรู้จักเขาเยอะขึ้น ถึงขนาดเขาเปรยออกมาว่า "ถ้าไม่มีรายการนี้ ก็คงจะยังเป็นเด็กเรียบ ๆ มาตลอดชีวิตมั้ง"
การทำงานวันแรก นัทเล่าให้ฟังว่า "อัดรายการตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน" นั่นเป็นเพราะหลาย ๆ อย่างยังใหม่ มีหลายปัจจัยที่ทำให้ผิด ไม่ว่าจะเป็นตัวพิธีกรเอง ไปจนถึงมุมกล้อง แม้กระทั่งเสียงดนตรีที่ดังมาจากการซ้อม 7 สี คอนเสิร์ตก็ตาม แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี "วันแรกที่ออกอากาศ ผมไม่กล้าดูเลย นอนคลุมโปรงดู" นัทบอก
แล้วการที่ได้มาทำงานนี้ให้อะไรกับเขาและเธอ บ้าง แนนอาสาตอบคำถามนี้ "ได้รู้ธรรมชาติของเด็กค่ะ การที่เค้าเขียนจดหมายเข้ามา ประดิษฐ์ของส่งเข้ามานี่ ตอนเราเป็นเด็กยังทำไม่ได้เท่านี้เลย เด็กสมัยนี้มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะ" ที่สำคัญทำให้เธอเข้าใจถึงสำนวน "เด็กเหมือนกับผ้าขาว" ด้วย
"ที่เค้าบอกว่าเด็กเหมือนกับผ้าขาว ผู้ใหญ่จะเป็นคนแต้มสีลงไป ฟังตอนเด็ก ๆ ก็เอ๊! จะมาแต้มยังไง แต่พอมาอยู่ตรงนี้ก็เข้าใจ คือเราพูดอะไรกับเค้าไป บอกน้องคะ น้องอย่าลืมทำการบ้านนะคะ น้องต้องตั้งใจเรียนนะคะ เค้าจะทำตามที่เราพูด การวางตัวของเรานั้น มันเลยเป็นไปโดยปริยายว่าต้องเป็นตัวอย่างให้เค้า" แนนอธิบาย
เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงจะมีช่วงเวลาที่ติดการ์ตูนกันงอมแงมบ้างในวัยเด็ก นัทก็เป็นเช่นนั้น แต่กับแนนแล้วไม่ "เด็ก ๆ แนนไม่อ่านการ์ตูนเลย ไม่ดูการ์ตูนด้วย คือพยายามดูแล้วแต่ดูไม่รู้เรื่อง ส่วนการอ่านการ์ตูน แนนก็งงค่ะ ไม่รู้ว่าต้องอ่านช่องไหนแล้วต่อด้วยช่องไหน ลงล่างก่อนหรือไปทางขวาก่อน งง เลยไม่อ่าน" แนนสารภาพ
ส่วนนัทนั้น วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ จะตื่นแต่เช้าเพื่อมาดูการ์ตูนทีวี แล้วหลังจากนั้นพ่อ-แม่จะพาไปไหนก็ค่อยาว่ากัน "แต่ก่อนหน้านั้นต้องอยู่บ้านก่อนนะ ขอดูการ์ตูนก่อน" นัทเล่าด้วยเสียงหัวเราะ อย่างไรก็ตามทั้งคู่เห็นพ้องต้องกันว่า "การ์ตูน" นี่แหละที่มีอิทธิพลต่อเด็กมาก ๆ
"ถ้าทำออกมาดี ผมว่าเด็ก ๆ ก็จะได้อะไรที่ดีกลับไปด้วย อย่างการ์ตูนของ Disney ผมว่ามันเป็นการ์ตูนที่ไม่มีพิษไม่มีภัยนะ มันมีประเด็นที่ทำให้เด็กเอากลับไปคิดน่ะ" นัทแสดงความเห็น โดยแนนเพิ่มเติมว่า "ผู้ใหญ่จะบอกว่าเด็ก ๆ ดูการ์ตูนนี่เสียเวลา มันไม่ใช่เลย แนนว่ามันเป็นส่วนที่ช่วยเสริมชีวิตของเค้า ได้เรียนรู้ ได้ใช้จินตนาการ"
ตอนที่เริ่มทำรายการกันใหม่ ๆ นัทอายุ 17 ปี แนนอายุ 14 ปี จะว่าไปทั้งคู่ก็ยังถือว่า "เด็ก" อยู่ แต่การเป็นที่รู้จักของเด็ก ๆ มันทำให้ทั้ง 2 ต้องรู้จักวางตัวให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นเพื่อเป็นตัวอย่างแก่เด็ก ๆ ที่ติดตามเขาและเธออยู่ จุดนี้น่าสนใจว่าทั้งนัทและแนนต้องทำตัวเป็น "ผู้ใหญ่" เร็วเกินไปหรือเปล่า?
"ไม่นะ ที่จริงผมก็มีความคิดแบบเด็ก ๆ อยู่ แต่การทำตัว เราต้องทำให้เป็นตัวอย่างกับเด็ก อย่างน้อยผมก็ไม่สูบบุหรี่ ผมไม่กินเหล้า ไม่เที่ยวกลางคืนด้วย ผมว่าตรงนั้นมันเป็นความรับผิดชอบมากกว่า เด็กที่ดีก็ควรจะมีความรับผิดชอบด้วย คือผมรู้สึกเสมอว่ามีคนมองอยู่ โดยเฉพาะเด็ก ๆ ก็อยากให้เด็ก ๆ เป็นเหมือนผมนะ"
"นิสัยส่วนตัวของ แนน เป็นคนที่ไม่เที่ยวอยู่แล้ว การวางตัวตรงนี้ก็เป็นปรกติในชีวิตประจำวันของเราอยู่แล้ว คือเราสอนน้อง ๆ ตลอดเวลา แล้วถ้าเค้าโตขึ้นมาเห็นเรานั่งกินเหล้าอยู่ในผับ เค้าอาจจะคิดไหนพี่แนนบอกว่าทานเหล้าไม่ดี แล้วทำไมพี่แนนมากินเอง ตรงนี้สำคัญมาก" แนนแสดงความเห็นออกมาบ้าง
ถึงวันนี้รายการ Disney Club มีการเปลี่ยนพิธีกรมาได้เกือบ 2 ปีแล้ว นัทกับแนนในวันนี้ก็ดูไม่เหมือนกับวันเก่าที่ยังดำเนินรายการอยู่ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนพิธีกร ทั้งคู่ก็รู้อยู่แก่ใจดีแล้วว่า "โตขึ้น" ทั้งคู่ไม่ใช่ "เด็ก" อย่างตอนที่เข้ามาทำวันแรกอีกแล้ว
"ผมรู้สึกตลอด เวลา ตั้งแต่ก่อนเปลี่ยนแล้วว่า ผมน่ะผู้ใหญ่กว่าที่จะมาทำรายการนี้ ผมทำมานานไง คนก็อาจจะดูเราตัวใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ผมว่าที่เปลี่ยนไปมาก ๆ ก็คือความคิดที่เริ่มใหญ่ขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น ตอนที่ทำงานกับเด็ก เราก็มีความสนุกสนานไปกับเด็ก แต่เวลาเราออกมาทำงาน มันค่อนข้างจะเครียดกว่า" นัทออกความเห็น
ใน ขณะที่แนนนั้น เธอบอกว่า "รู้สึกว่าโตมาตั้งนานแล้ว แต่ใจเราเป็นเด็กอยู่ มาถึงวันนี้สิ่งที่เปลี่ยนไปคืออาจจะไม่ขี้เล่นเหมือนเมื่อก่อน คงเป็นเพราะทำงานด้วย บุคลิกก็อาจจะเปลี่ยนไปนิดนึงเพราะตำแหน่งที่ทำก็ต้องสร้างความน่าเชื่อถือ บ้าง ถ้าจะมาแบบ 'น้อง ๆ ฟังนะคะ พี่จะมาสอน (เสียงเล็ก ๆ)' เค้าก็คงไม่เชื่อถือเท่าไหร่"
แล้วทั้งคู่มองว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนไป อย่างไรบ้าง? "สำหรับแนนที่ดูเปลี่ยนไป อาจจะเป็นความคิด คือเป็นพิธีกรด้วยกันก็มีความคิดเด็ก ๆ ทั้งคู่ แต่พอถึงวันที่เราออกไปทำงานของตัวเอง เราก็โตขึ้นตามวัยน่ะครับ" นัทเป็นฝ่ายออกความเห็นก่อน
"อ้วนค่ะ" แนนมองความเปลี่ยนแปลงของนัทบ้าง "แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือยังเป็นพี่ชายที่แสนดีของแนนเหมือนเดิม คือแนนเป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่ ไม่มีน้อง พี่นัทก็มีพี่น้อง 2 คนเป็นผู้ชายทั้งคู่ เค้าไม่มีน้องสาว มันเหมือนกับว่ามาคบกัน แนนก็มีพี่ชาย พี่นัทก็มีน้องสาวเพิ่มขึ้นมาอีกคนนึง" นั่นคือความผูกพันที่เกิดขึ้นจากการรู้จักกันมา 9 ปี
แม้ทั้งคู่จะ ดูเป็น "ผู้ใหญ่" ขึ้น แต่มันก็ยังมีบางจุดที่ทั้งคู่มองว่ายังไม่โตขึ้นเลย "บางอย่าง ผมก็ยังเป็นเด็กอยู่นะ ไม่อยากลบตรงนั้นออกไป ทุกวันนี้ผมยังดูการ์ตูนอยู่เลย ว่าง ๆ ก็ยังเล่นอะไรแบบเด็ก ๆ อยู่" นั่นคือของนัท ส่วนของแนนนั้น "เรื่องนิสัยค่ะ เวลาจะเอาอะไร จะทำอะไรก็จะอ้อน ยังมีลักษณะของการพูดจาแบบเด็ก ๆ อยู่"
วันเวลาผ่าน ไป เด็กรุ่นหนึ่งก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ วันนี้ทั้งพี่นัทและพี่แนนของน้อง ๆ ก็เป็นผู้ใหญ่แล้วแหละ สิ่งที่ทั้งคู่อยากจะฝากบอกกับเด็ก ๆ สมัยนี้ก็คือ "อย่าทำให้คุณพ่อ-คุณแม่เสียใจก็พอ ทำในสิ่งที่เราคิดว่าจะไม่มีใครต้องเสียใจกับเราด้วย กล้าคิด กล้าทำในสิ่งที่ดี แต่อยู่ในขอบเขต" นัทสอนน้องรุ่นหลัง
"กีฬาเป็น สิ่งที่สำคัญ ถ้ามีเวลาว่างอยากจะแนะนำว่าเล่นกีฬาดีกว่า ส่วนการเรียนก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน มันคือพื้นฐานของการที่เราจะเติบโตต่อไปในอนาคต แล้วก็อยากฝากบอกถึงพ่อ-แม่ด้วย ถ้าน้อง ๆ ตั้งใจเรียน ทำตัวดีแล้ว น่าจะให้กำลังใจด้วย อนาคตเราจะได้มีเด็กที่เติบโตมาจากพื้นฐานครอบครัวที่ดี" แนนฝากข้อคิด
วันเวลาก้าวเดินไปอย่างรวดเร็วควบคู่ไปกับการเติบใหญ่ของเด็ก ๆ อยู่เสมอ ความสุข ความทรงจำในวัยเด็กของแต่ละคนนั้นคงไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่สำคัญน่าจะอยู่ตรงที่ว่าเด็ก ๆ เหล่านั้นจะก้าวข้ามวัยไปอย่างไรมากกว่า เพื่อที่จะเป็นคนที่มีคุณภาพ ดำรงชีวิตอย่างเป็นสุขในสังคม...อย่างเช่นพี่นัทและพี่แนนของน้อง ๆ นั่นเอง
**ขอขอบคุณเครดิตบทความทั้งหมดจาก "เว็บไซต์ เด็กดีดอทคอม" ครับ ^_^**
(May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน
จากคุณ |
:
เจไดหนุ่ม
|
เขียนเมื่อ |
:
14 พ.ค. 53 15:22:07
|
|
|
|
|