 |
ความคิดเห็นที่ 1 |
|
นอกจากบทประพันธ์จากนักเขียนใหญ่กลุ่มหนึ่งที่นิยมซื้อลิขสิทธิ์ซ้ำเพื่อทำละครรีเมก ยังมีงานใหม่ๆ ของนักเขียนในรุ่นกลางที่ทางคณะละครก็ดี ทางสถานีก็ดี นิยมซื้อลิขสิทธิ์มาทำเป็นละครเช่นกัน นักเขียนรุ่นนี้หลายคนพยายามลดความวิจิตรพิสดารทางภาษาอย่างนักประพันธ์รุ่นพี่ลงมา ให้เป็นนวนิยายมีเรื่องราว เนื้อหา และภาษาที่อ่านง่าย เข้าใจง่าย และหลายเรื่องก็มีเหตุจูงใจในการวางพล็อต เพื่อให้ง่ายที่จะโน้มเอียงไปในทางจัดสร้างเป็นละคร แม้ว่า นักเขียนจะเป็นอิสระ ไม่มีค่าย ไม่มีสังกัด แต่สายสัมพันธ์ที่เชื่อมร้อยจากธุรกิจที่ต้องทำร่วมกัน ก็ทำให้นักเขียนบางคนมีช่องทางในการเสนองานกับช่องนั้นๆได้ถี่กว่านักเขียนคนอื่น เนื่องจากมีงานก่อนหน้านี้เป็นเครื่องการันตี ... ราคาลิขสิทธิ์ ย้อนหลังกลับไปเมื่อ 10 15 ปี ราคาค่าลิขสิทธิ์ ประมาณ 30,000 80,000 บาท เป็นที่รับรู้ว่าทุกๆ 3-5 ปีราคาจะขยับขึ้นเล็กน้อย ราคาและข้อตกลงเป็นข้อตกลงเฉพาะระหว่างนักเขียนกับช่อง แม้จะมีมาตรฐานรองรับอยู่ระดับหนึ่ง แต่ก็สามารถพลิกแพลงได้ เช่น บทประพันธ์เรื่องนี้ ยืดอายุลิขสิทธิ์ให้เป็นกรณีพิเศษ มากกว่า 5 ปี เนื่องจากมีการเหมาซื้อบทประพันธ์กันเป็นล็อต 5-10 เรื่อง ของนักเขียนคนเดียวกัน เป็นต้น ณ วันนี้ ราคาเริ่มต้นสำหรับนักเขียนหน้าใหม่ถอดด้าม จะอยู่ที่ 3-5 หมื่นบาทเท่านั้น แต่ราคามาตรฐานที่ใช้กันอยู่จริงๆโดยเฉพาะนักเขียนที่มีชื่อเสียงติดตลาดแล้วซึ่งจะอยู่ในราคา 100,000 150,000 บาท ทว่า บางเรื่อง บางเงื่อนไขสำหรับนักเขียนรุ่นใหญ่ที่เป็นมือระดับขั้นเทพเท่านั้นที่เคยไต่ราคาสูงสุดถึง 3 แสนบาทต่อเรื่อง! แต่ก็มีน้อยคน ซึ่งก็คือ "ว" "ท" "ก" เป็นต้น นอกจากขายเรื่องแล้ว ปัจจุบันยังมีการขายพล็อต (เรื่องย่อแบบสั้นขนาดยาวประมาณไม่เกิน 10แผ่นกระดาษ A4) ราคาขายอยู่ที่ 10,000 บาท แต่นักเขียนใหญ่ท่านหนึ่งที่เคยอยู่ในวงการน้ำหมึกมานาน เคยขายพล็อตเพียง 10 บรรทัด ราคาเท่ากับบทประพันธ์ 1 เรื่องก็เคยปรากฏมาแล้ว การลงรายละเอียดกับพล็อต เป็นหน้าที่ของผู้เขียนบทโทรทัศน์ ซึ่งตัวนักประพันธ์มีสิทธิ์นำพล็อตนั้นไปเขียนนวนิยายได้ แต่ไม่เกี่ยวข้องกัน ทางสถานีและค่ายละครไม่แคร์ว่ารายละเอียดของของนวนิยายจะต่างกับบทโทรทัศน์ ในกรณีที่นักเขียนนำพล็อตนั้นไปเขียนนวนิยายและเสร็จก่อนบทโทรทัศน์ การให้นวนิยายกับสถานีถือเป็นน้ำใจในการแบ่งเบาภารกิจของนักเขียนบทโทรทัศน์เท่านั้นเอง และไม่มีสิทธิ์มาทวงหรือขอค่าลิขสิทธิ์เพิ่มแต่อย่างไร ... กรณีที่เคยเกิดขึ้นในปฏิบัติการซื้อ-ขาย 1. เปิดช่องทางให้ขึ้นค่าลิขสิทธิ์-สมมติว่า ตัวแทนของสถานีโทรทัศน์ไปติดต่อกับนักเขียนท่านหนึ่งซึ่งอาจจะคุ้นเคยหรือไม่คุ้นเคยก็ตาม การเปิดโอกาสให้นักเขียนขึ้นค่าลิขสิทธิ์ เป็นหนทางหนึ่งที่ทำให้นักเขียนสามารถตัดสินใจได้เร็วขึ้น ตัวแทนช่อง : ตอนนี้ค่าลิขสิทธิ์เท่าไหร่คะ? นักเขียน : หนึ่งแสนบาท ตัวแทนช่อง : ราคายังไม่ขึ้นนะคะ นักเขียน ขึ้นก็ได้ค่ะ เป็นแสนห้าแล้วกัน !? เมื่อบทประพันธ์เรื่องหนึ่ง ทางสถานีหนึ่งจ่ายค่าลิขสิทธิ์ในราคา "แสนห้า" ส่งผลให้บทประพันธ์เรื่องอื่นๆ และสถานีอื่นต้องจ่ายในราคาเดียวกัน เพราะโดนฝ่ายตรงข้ามใส่ไข่ ตีผงฟู แถมยังปาดหน้าเค้กไปกินอย่างเอร็ดอร่อย เงินค่าลิขสิทธิ์นี้ ช่อง 7 สีจะบวกภาษี ณ ที่จ่ายเพิ่มให้ ส่งผลให้นักเขียนได้รับค่าลิขสิทธิ์เต็มจำนวน แต่ช่อง 3 ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย และเป็นอัตราภาษีก้าวหน้าอีกด้วย นี่คือ อีกความต่าง !! กรณีที่ช่อง 7 สีบวกเพิ่มให้น่าจะมาจากกการที่สุรางค์ เปรมปรีดิ์มีเพื่อนนักเขียนมาตั้งแต่ในยุคนั่งบริหารนิตยสาร "สตรีสาร" ก่อนที่จะมาทำงานให้ที่ช่อง 7 สี 2. นักเขียนปั่นราคา - ในบางกรณี นักเขียนบางคนจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวเองด้วยข้ออ้างว่า อีกคณะหนึ่งกำลังเจรจาอยู่ ส่งผลให้สถานีต้องเร่งซื้อบทประพันธ์ตัดหน้า ในบางกรณีทางสถานีอาจจะต้องขยับราคาค่าลิขสิทธิ์ให้เป็นกรณีพิเศษ ทั้งๆที่เรื่องกำลังเจราจากับ "คณะละครอื่น" อยู่ จริงหรือไม่ ไม่มีใครรู้ !? จิตวิทยา เรื่องนี้ได้ผลมาก เพราะทันทีที่หูแว่วว่า สถานีคู่แข่งสนใจ อีกสถานีหนึ่งจะพยายามหาทางซื้อตัดหน้าทันที นี่คือเรื่องจริง โดยเฉพาะกรณีนี้ มักจะเกิดขึ้นกับนักเขียนหน้าใหม่ที่อยากดังเร็วแทบทั้งสิ้น ขณะที่นักเขียนที่เคยค้าขายกันมานานปีนั้น แค่มองหน้าก็รู้กันแล้ว 3. นักเขียนรุ่นใหญ่ขอวางตัวดารานำ - นี่เป็นอีกปรากฏการณ์หนึ่ง เกิดขึ้นจากผู้จัดละครที่ชอบ "นำเสนอ" เรื่องโน่น นี่ นั่น จูงใจแถมให้กับนักเขียน โดยเฉพาะนักเขียนรุ่นใหญ่บางคน เช่น ถามว่า บทนี้ใครเหมาะที่จะเป็นพระเอก นางเอก กรณีนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้เจ้าของบทประพันธ์พึงพอใจ และเก็บงานไว้ให้ค่ายและสถานีตน ตัวอย่างนี้ มักจะถูกนักเขียนเอาไปอ้างกับสถานีและค่ายคู่แข่งว่า ค่ายโน้นให้ตนวางตัวละครเป็นต้น ส่งผลให้เกิดการกำหนดตัวละครหลักมาพร้อมกับการเช่าซื้อลิขสิทธิ์ กรณีที่จะกล่าวถึงนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับนักเขียน!! คราวหนึ่งช่อง 7 สี และช่อง 3 หมายตา "เรือนมยุรา" ของ "แก้วเก้า" เหมือนกัน โดยทั้ง 2 ช่องบังเอิญใจตรงกันอีกว่า คนที่จะมารับบท "มยุรา" ต้องเป็น แหม่ม คัทลียา แมคอินทอช ที่กำลังฮอตสุดขีด เท่านั้น ครั้นเมื่อทั้ง 2 ช่องได้ขอเช่าซื้อโดยระบุตัวนางเอกเช่นนั้น เจ้าของบทประพันธ์ถึงขั้นออกอาการหนักใจ แต่ได้ร่วมกันลงฉันทามติ กับ 2 ช่องไว้ว่า ถ้าหากใครได้ "แหม่ม" คัทลียา แมคอินทอช มาเป็นนางเอก ลิขสิทธิ์บทประพันธ์จะเป็นของช่องนั้น เชื่อหรือไม่ว่า เป็นครั้งแรกที่ สุรางค์ เปรมปรีดิ์ และ นักเขียนบท ศัลยา สุขะนิวัตติ์ ต้องเดินทางไปพบกับแหม่ม คัทลียา แมคอินทอชที่ RCA.! เนื่องจากวันนั้น แหม่มต้องไปเป็นแขกรับเชิญในงานหนึ่งบริเวณนั้น แม้จะยังไม่บรรลุข้อตกลงและแนวโน้มที่ ช่อง 7 ทำท่าจะได้ลิขสิทธิ์ กลับตาลปัตร เนื่องจากตอนนั้นผู้จัด ไก่ วรายุธ มิลินทจินดา เป็นคนถือคิวของ "วิลลี่ แมคอินทอช" และได้ให้พี่ชายไปเกลี้ยกล่อมน้องสาว สุดท้ายไทยทีวีสีช่อง 3 ได้ลิขสิทธิ์บทประพันธ์นี้ ตามข้อกำหนดร่วมกัน เป็นต้น 4.สกัดคู่แข่ง แค่ซื้อเก็บไว้เล่นๆ จนถึงวันนี้ 15 ปีแล้วที่นวนิยายเรื่อง "ฟ้าจรดทราย" ของโสภาค สุวรรณ ถูกช่อง 7 สีเช่าช่วงลิขสิทธิ์มาเก็บไว้ ดาราวิดีโอ เคยลงทุนด้วยเงินร่วมล้านบาทเพื่อซื้อต้นปาล์มและทรายหลายตันมาลงไว้ที่โรงถ่ายลาดหลุมแก้ว เพื่อเตรียมสำหรับถ่ายทำละครเรื่องนี้ แต่โครงการนี้ก็พับไป ในหลายข้ออ้างว่า บทละครไม่เสร็จ, วางตัวพระ นางไม่ได้ , ทุนสูงไม่คุ้มค่า นางเอกที่เคยระบุไว้มีหลายคน เช่น ชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ต (ปัจจุบันย้ายไปอยู่สังกัดที่ช่อง 3 แล้ว) , แคทรียา อิงลิช, ปู ไปรยา สวนดอกไม้, พิ้งกี้ สาวิกา ไชยเดช , อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ จนมาถึง ขวัญ อุษามณี ไวทยานนท์ แต่เหตุผลจริงๆ น่าจะอยู่ที่ 1. ซื้อบทประพันธ์เก็บไว้เพื่อสกัดฝ่ายตรงข้าม และ 2 . เนื่องจากนวนิยายเรื่องนี้เกี่ยวข้องอยู่กับการเมือง ศาสนาของอิสลาม ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากซึ่งดาราวิดีโอ เคยได้รับบทเรียนมาหลายครั้ง เช่น เมื่อตอนที่ทำละครเรื่อง "นวลนางข้างเขียง" ชาวอิสลามที่อยู่กันมากในแถบโรงถ่ายลาดหลุมแก้ว มาบอกว่า ต้องงดดูละครเรื่องนี้ !? ครั้งถามว่า ทำไม คำตอบคือ "มันมีเขียงหมูในละครด้วย"!! หรือในกรณีที่ละครเรื่อง "ตองหนึ่ง" ให้ผู้ร้ายซึ่งเป็นแขกอิสลามกินเหล้า ปรากฏว่า ได้รับการต่อว่าจากผู้นับถือศาสนาอิสลาม เรื่องใหญ่โตถึงขนาดวันรุ่งขึ้นต้องขึ้นข้อความขอโทษชาวอิสลามในตอนใหม่ทันที เหล่านี้คือสิ่งคณะผู้จัดรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นต้น เหล่านี้นี่คือเรื่องราวเพียงเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของปฏิบัติการลับซื้อบทประพันธ์มาทำเป็นละคร ให้เราๆ ท่านๆ ได้ชมกัน (ติดตามอ่านตอนที่ 2 : อักษรโลดแล่นเป็นตัวละคร ทำความรู้จักกับ โสภี พรรณราย, วัตตรา และพงศกร) ... หมายเหตุ 1. ส่วนหนึ่งของบทประพันธ์ที่ช่อง 3 และช่อง 7 ครองลิขสิทธิ์อยู่ 2. ส้มหวาน น้ำตาลเปรี้ยว (ก้อง สหรัถ สังขปรีชา และปิยธิดา วรมุสิก)เป็นละครของค่ายมีเดีย ออฟ มีเดียส์ ดำเนินงานโดยชาลอต โทณวณิก ดำเนินการซื้อบทและลงทุนเองทั้งหมดโดยไม่เกี่ยวกับสถานี ละครในล็อตเดียวกันนี้ มี "คุ้มผาคำ" (บทประพันธ์ของ นิดา) ที่ศิริลักษณ์ ผ่องโชค เล่นประกบครั้งแรกกับจิรนันท์ มะโนแจ่ม อีกด้วย 3. ละครพล็อตของช่อง 7 สี ที่ยังพอมีอยู่บ้าง เช่น รักแท้แก้ได้ (ดาราวิดีโอ) และ ธิดาวานร 2 (ดีด้า) เฉพาะธิดาวานรนี้ได้รับเรตติ้งดีมากเมื่อเป็นละครเย็น จึงถูกปรับให้เป็นมาเป็นละครหลังข่าว ส่วนรุกฆาตก็ถือเป็นละครพล็อตเช่นกัน คมแฝกซึ่งถือเป็นภาคแรกนั้น นำมาจากบทประพันธ์ของเสนีย์ บุษปะเกศ พ่อของ คฑาหัสต์ ซึ่งเป็นคนเขียนบทละครโทรทัศน์ด้วย รวมทั้งเพลิงพระนาง ที่เคยเป็นละครพล็อตที่โด่งดังจากช่อง 5 และกันตนาจะกลับมารีเมกใหม่ที่ช่อง 7 นี้ โดยใช้เจ้าของบทประพันธ์และบทโทรทัศน์คนเดียวกัน คือ แรเงา กลับมาเขียนใหม่โดยเฉพาะบทโทรทัศน์ที่จะไม่เหมือนเก่า
จากคุณ |
:
รับล้วงเป้า เล่าเรื่องลับ
|
เขียนเมื่อ |
:
23 พ.ค. 53 22:32:21
A:125.25.222.77 X: TicketID:232663
|
|
|
|
 |