 |
-ขอเป็นกำลังใจให้คุณ..นันทา ตันสัจจา...เจ้าของโรงหนังสยาม // "คนทำธุรกิจที่ใช้คุณธรรมนำการค้า"
|
|
รื้อค้นอยู่หลายวัน เพิ่งจะเจอหนังสือ happening ฉบับที่ ๒๙ JULY 2009 หน้าปกหนัง "ตามหากาลิเลโอ" ...ไปดูในเว็บของหนังสือ ไม่มีบทสัมภาษณ์ที่ออนบอร์ดนะครับ ป๋อหลิน ก็เลยขออนุญาต "พิมพ์" มาให้อ่านกัน ตัวเล็กมาก แต่จะพยายามพิมพ์ให้อ่านแบบเต็ม ๆ เลย ในคอลัมน์ "สมองสองซีก" both brains! ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
"เราทำแค่นี้พอแล้วล่ะ เพราะเราแค่อยากทำ ให้คนดูมีความสุขในการมาดูหนัง แล้วมีหนังที่มีอะไรดี ๆ กลับไปให้เขา ...ใช่ การทำการค้าก็ต้องคิดถึงตัวเงิน แต่จริง ๆ แล้วในตัวเงิน มันก็จะต้องมี..คุณธรรมด้วย"
-นันทา ตันสัจจา เจ้าของและผู้บริหารโรงภาพยนตร์ในเครือ APEX
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เอ่ยชื่อ นันทา ตันสัจจา อาจไม่เป็นที่คุ้นหูของมวลชนมากนัก...แต่ถ้าบอกว่า เธอคือ เจ้าของและผู้บริหารของโรงภาพยนตร์ในเครือ Apex อันประกอบไปด้วยโรงหนังใหญ่ 3 โรงย่านสยามสแควร์อย่าง สยาม ลิโด และ สกาล่า
เชื่อว่า ชื่อนี้น่าจะสะดุดความสนใจของคอหนังตัวจริงอยู่ไม่น้อย
ตระกูลตันสัจจา ประกอบธุรกิจโรงหนังมาตั้งแต่ยุคศาลาเฉลิมไทย(อีกกิจการหนึ่งของครอบครัวนี้ที่รู้จักกันดี คือ สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง ..สวนนงนุช) ก่อนที่จะมาริเริ่มบุกเบิกโรงหนังที่ย่านสยามสแควร์ตั้งแต่ที่นี่ยังเป็นเพียงพื้นที่โล่ง ๆ เมื่อ 43 ปีก่อน
เริ่มจากการเปิดโรงหนังสยาม ในปี พ.ศ. 2509 โดยเป็นโรงภาพยนตร์ 800 ที่นั่งแห่งแรกที่มีบันไดเลื่อนอยู่หน้าโรง ต่อด้วยโรงหนังลิโด ที่มีขนาดที่นั่ง 1,000 ที่นั่ง ในปี พ.ศ. 2511 และสกาล่า ในปี พ.ศ. 2512 ซึ่งก็มีขนาด 1,000 ที่นั่ง และยังมีการออกแบบตกแต่งสวยงามอลังการ ซึ่งอัตราการเติบ โตนี้ เป็นการบอกถึงความรุ่งเรืองของธุรกิจภาพยนตร์ในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี
จากวันนั้นถึงวันนี้ โรงภาพยนตร์ในเครือ Apex ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย ทั้งภาพความทรงจำที่มีค่าของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในบ้านเรา ทั้งการผ่านมรสุมในช่วงที่มีหนังต่างประเทศบอยคอตประเทศไทย ทั้งการปรับตัวเพื่อเพิ่มความประทับใจให้กับลูกค้าและเพื่อต่อสู้กับคู่แข่งที่มากขึ้น ทั้งการริเริ่มเอาหนัง...นอกกระแส..มาฉายในโรงใหญ่ จนกลายเป็น "ขวัญใจ" ของคนรักหนัง
ปัจจุบันพูดได้เต็มปากว่า โรงหนังทั้ง 3 โรงนี้ เป็นโรงขนาดใหญ่ที่ยังคงยืนอยู่ได้ในธุรกิจอันดุเดือดนี้ และยังมีอุดมการณ์ในการนำหนังคุณภาพมาให้คอหนังได้ชมอยู่เสมอ ๆ
นั่น คือ เรื่องราวแบบย่นย่อของ Apex จากสายตาของคนภายนอก
ส่วนนับจากบรรทัดนี้ไป เป็นเรื่องราวจากสายตาของ..นันทา ตันสัจจา..ผู้ที่อยู่กับโรงภาพยนตร์ทั้ง 3 โรงนี้มาตั้งแต่วินาทีแรก
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Left
ถามตรง ๆ ว่า ปัจจุบันสถานการณ์ของโรงหนังขนาดใหญ่อย่างสกาล่าหรือสยาม เป็นอย่างไร ?
คนก็น้อยลงเยอะ เพราะมาร์เก็ตแชร์มันเยอะมาก เราก็ไม่รู้นะว่า เรามีความคิดโบราณหรือเปล่า ? แต่เรามีความรู้สึกว่า เราชอบโรงใหญ่ อย่างคุณถ้าเป็นแฟนพันธุ์แท้ของการดูหนัง ถ้าหนังเรื่องเดียวกัน ถ้าฉายสกาล่านี่ มาดูเถอะ คุณจะได้ทั้งซาวด์ทั้งอะไร แต่เราอาจจะโฆษณาน้อยไปหน่อยมั้ง
จริง ๆ แล้ว เราก็ไม่ได้น้อยหน้าคนอื่น เราอาจจะไม่ได้บอกใคร เพราะว่า จริง ๆ เราก็นำเขามาอยู่เรื่อย ๆ นั่นแหละ พอเราทำระบบเสียงอะไรเสร็จแล้วขึ้นป้ายปุ๊บ คนอื่นก็เอาตามเลยนะ
แสดงว่า ที่นี่ก็มีการปรับปรุงระบบตลอดเวลา ?
เราทำของเราอยู่ตลอดเวลา เพราะว่า เรามีความรู้สึกว่า เราอยากจะให้อะไรกับคนดู ไม่ใช่ว่า จะเอาตังค์คุณอย่างเดียว แล้วราคาตั๋วเราก็ไม่ได้แพงมาก เพราะว่า อยากให้เด็กนักเรียนได้ดู แต่ก็แปลกนะ เด็ก ๆ กลับชอบดูแพง ๆ ไม่รู้เขาเอาตังค์จากไหนมา หรือความคิดเราอาจจะผิดที่ทำให้ราคาถูกหน่อย สมมติเดือนหนึ่งเขาได้ดูเรื่องเดียว ถ้าไปดูแพง ๆ แต่เราอยากให้แบ่งเงินให้มันดูได้ 2 เรื่องก็ยังดี แต่ไม่ค่อยเวิร์กมั้ง เด็กสมัยนี้รวย(หัวเราะ)
การบริหารยุคก่อนนี้กับในยุคปัจจุบันแตกต่างกันในแง่ไหนบ้าง ?
สมัยนี้ เรามีเครื่องทุ่นแรงเข้ามา ก็ทำให้เราทำอะไรได้เร็วขึ้น อย่างสมัยก่อนเราแมนนวล (Manual) หมด แต่เราก็ยังรักษาเอกลักษณ์อันนี้ไว้ คุณจะเห็นว่า สกาล่าเราไม่ยอมเปลี่ยนเลยนะ จริง ๆ เราเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้ แต่มีความรู้สึกว่า ไม่อยากเปลี่ยน อยากเก็บเอาไว้อย่างนี้ อย่างเรื่องตั๋ว เมื่อก่อนเป็นกระดาษยังไงก็เป็นอย่างนั้นแหละ แล้วคุณรู้ไหม มันเร็วนะ แทนที่คุณจะมานั่งคีย์ นี่เขียน ๆ แล้วไปเลย แล้วคนพวกนี้เห็นเขาตอกบัตรติ๊ก ๆ แล้วไปเลยนะ คนพวกนี้ไม่พลาดด้วย แล้วจริง ๆ ตอนนี้คนดูเราน้อย มันเลยไปได้อย่างนี้
สังเกตว่า ที่นี่มีพนักงานสูงอายุหลายคน ทำไม ? ถึงเป็นเช่นนั้น
ก็เขาให้เรามาทั้งชีวิตนะ...มีบางคนเขาอายุมากก็จริง แต่เขายังหัดคอมพิวเตอร์ คือ ทุกคนพยายามใช้ชีวิตของเขา ใช้จิตใจของเขา ทุ่มลงไปให้เราเห็น เรายืนดูแล้ว เราเห็นเลยว่า เขาให้เราจริง ๆ เขาพยายามจริง ๆ เราไปบอกเขาว่า.."อยู่บ้านเถอะ เป็นห่วง เวลามานั่งรถเมล์เดี๋ยวแย่"...เขาก็บอก .."ไม่เอา ขอทำงาน"...เราจะให้เขาทำงานอาทิตย์ละ 2-3 วัน ก็ไม่เอาอีก แล้วผลสุดท้าย คือ เขาก็มีลูกสาวทำงานอยู่ด้วย ปรากฎว่า ตอนบ่ายต้องให้ลูกสาวจูงพ่อกลับบ้าน ขืนบอกว่า ให้อยู่บ้านนี่ไม่ได้เลยนะ เพราะชีวิตเขาต้องมา ต้องอยู่กับโรงหนัง เพราะตื่นมาเขาอยากมาโรงหนัง เขาเป็นอย่างนั้นจริง ๆ
ตอนนี้มีพนักงานทั้งหมดกี่คน
ตอนนี้น้อยลงไปเยอะนะ เพราะเรามีอยู่ไม่มาก รวม ๆ ก็โรงละ 20 กว่าคนมั้ง เราก็ยังถือว่า ใช้คนเยอะ เพราะฉะนั้นค่าใช้จ่ายเราเยอะ จริง ๆ ก็ทำไม่คุ้มเหนื่อยนะตอนนี้ แต่ว่า ..ก็ยังทำด้วยใจรัก (อ่านต่อในความเห็นถัดไปครับ )
[ CHEER UP] เป็นกำลังใจให้คุณ..นันทา ตันสัจจา...เจ้าของโรงหนังสยาม // "คนทำธุรกิจที่ใช้คุณธรรมนำการค้า" ขอบคุณนะครับ http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A9288748/A9288748.html
แก้ไขเมื่อ 24 พ.ค. 53 18:13:49
จากคุณ |
:
ป๋อหลิน
|
เขียนเมื่อ |
:
24 พ.ค. 53 18:06:56
|
|
|
|  |