ความคิดเห็นที่ 1 คุณเจ้ยพูดเรื่องจริงนี่นา ไม่เห็นต้องกลัวอะไร หรือว่า พวกเราไม่ยอมรับความจริง จากคุณ : แมวหนุ่มสุดซ่าส์ เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 15:23:08

ความคิดเห็นที่ 2 ดูเหมือนคุณเจ้ยจะติดใจมากๆกับเรื่องนี้เนาะ ทั้งๆที่ตัวเองก็ได้ไปครบตามจำนวนที่เสนอ แถมยังไม่ต้องใช้คืนอีก อย่างหนังอีกเรื่องเนี้ยเค้าต้องใช้คืนไม่ใช่หรอ รึเราเข้าใจผิด ใครก็ได้บอกที เอาแบบย่อๆนะ ^ ^ *เราไม่ได้อคติกับคุณเจ้ยเลยแม้แต่น้อยเพราะไม่ค่อยได้ติดตามหนังแนวอินดี้ ** เรื่องการเมืองเราก็ไม่ยุ่ง ยอมรับในความต่างค่ะ จากคุณ : เจ้าหญิงใบไผ่ เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 15:27:24

ความคิดเห็นที่ 3   ก็ต้องให้คุณเจ้ย แจงให้ได้ว่า มันไม่ถูกต้องยังไงครับ เพราะ ทางฝั่งผู้ถูกพาดพิง เข้าออกมาชี้แจง ขึ้นกระทู้แนะนำ  หลายสัปดาห์ก่อนไปแล้ว คุณเจ้ย ก็ต้องเอาข้อมูลมาค้านกันเลยครับ จากคุณ : The_Death_oF_Superman เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 15:28:33

ความคิดเห็นที่ 4 ตกลงคุณเจ้ย เขา้ต้องการอะไรครับ ได้น้อย หรือว่าอยากได้เพิ่ม ผมว่า คุณลองทำหนังโดยไม่ใช่ให้คนดูเฉพาะกลุ่มดูก่อนดีกว่าครับ ทำให้ได้ดีและคุ้มเงินที่เสีย ไ่ม่แน่ปีหน้า คุณอาจจะได้มากกว่าเดิมก้ได้ จากคุณ : mangwan เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 15:30:13

ความคิดเห็นที่ 5 เงินที่คุณเจ้ยเคยขอไม่ใช่ว่าปฏิเสธไม่รับแล้วเหรอคะ ? และ งบที่(จะ)ได้นั้นเป็นงบประชาสัมพันธ์ไม่ใช่งบสร้างฯ  ? หรือ เป็นอย่างอื่น ? ป.ล. อันนี้อ่านมาจากกระทู้อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ลอง search หาข่าวดูแต่ยังไม่เจอ จากคุณ : วรินทร์รตา เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 15:31:21

ความคิดเห็นที่ 6 เรื่องเก่าพูดกันมานานแล้วนะครับขอให้ข้อมูลประกอบ (บางส่วน) แล้วกันเผื่อลืมไปแล้ว เพราะจนถึงวันนี้เรื่องยังไม่จบ และถ้ากระทรวงวัฒนธรรมจริงใจก็ต้องทำตามที่พูดในที่ประชุม ไม่ใช่แค่ขอไปทีหรือ คุณเจ้ย พอได้รางวัลกลับมาก็จูบปากกับกระทรวงวัฒนธรรม สมรู้ร่วมคิด คนเราต้องมีจุดยืน! ......................... อนุกก.จัดสรรงบ100ล้าน "นเรศวร" ถกลับเครือข่ายผู้กำกับ ก่อนยอมเสนอกก.ชุดใหญ่ทบทวนมติ . "รัฐบาลต้องอุดหนุนหนังเชิงพาณิชย์เรื่องหนึ่ง ด้วยเงินเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ของทุนสร้างหนังทั้งหมดเชียวหรือ?" เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม เวลา 10 นาฬิกา ที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้มีการประชุมชี้แจงผลการพิจารณาจัดสรรเงินส่งเสริมการสร้างภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ตามโครงการส่งเสริมสนับสนุนภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 โดยคณะอนุกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสนับสนุนกิจกรรมหรือโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ซึ่งมีนายอภินันท์ โปษยานนท์ รองปลัดวธ. เป็นประธาน ภายหลังจากที่กลุ่มผู้กำกับภาพยนตร์อิสระได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกคัดค้านการที่คณะอนุกรรมการดังกล่าวเสนอให้จัดสรรงบประมาณอุดหนุนแก่ภาพยนตร์เรื่อง "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 3 และ 4" เป็นจำนวนเงิน 100 ล้านบาท จากงบประมาณที่ได้รับทั้งหมด 200 ล้านบาท เนื่องจากภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวได้รับงบประมาณจำนวน 330 ล้านบาท จากโครงการสร้างสรรค์ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย ใต้การดูแลของกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ไปแล้ว ในการประชุมวันนี้ มีผู้กำกับภาพยนตร์อิสระที่มีชื่อเสียงเข้าร่วมรับฟังคำชี้แจงด้วย อาทิเช่น นายอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล นายมานิต ศรีวานิชภูมิ และนายเป็นเอก รัตนเรือง โดยทางกระทรวงวัฒนธรรมไม่เปิดให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปร่วมรับฟังการแสดงความคิดเห็นในห้องประชุม แต่ให้รอรับฟังการแถลงข่าวภายหลังการประชุมเสร็จสิ้นแล้ว มีรายงานข่าวระบุว่าภายในที่ประชุม นายอภินันท์ได้เริ่มต้นอธิบายว่าคณะอนุกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสนับสนุนกิจกรรมหรือโคงการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ซึ่งจัดสรรงบประมาณ 100 ล้าน ให้แก่ภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวร ได้เริ่มดำเนินการประกาศรับโครงการภาพยนตร์และคัดเลือกโครงการที่จะได้รับการสนับสนุนตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยคณะอนุกรรมการชุดนี้เป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ที่มีนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการ ขณะที่ในวันที่ 9 มีนาคม คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณจำนวน 330 ล้านบาท ให้แก่โครงการสร้างสรรค์ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย ใต้การดูแลของกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ดังนั้น งบประมาณทั้งสองส่วนที่จัดสรรให้แก่ภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จึงมาจากคณะกรรมการคนละชุดกัน และระหว่างดำเนินการพิจารณาจัดสรรทุน คณะอนุกรรมการชุดที่มีตนเป็นประธานก็ไม่ทราบว่า โครงการสร้างสรรค์ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย ของกระทรวงพาณิชย์นั้น จะมุ่งให้งบประมาณอุดหนุนแก่ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวเช่นกัน จากนั้น นายมานิตได้แสดงความเห็นว่า รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณ 330 ล้านบาท ให้แก่ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ผ่านกระทรวงพาณิชย์ ในวันที่ 9 มีนาคม แล้วในวันที่ 26 มีนาคม คณะอนุกรรมการชุดนี้ก็ได้พิจารณาจัดสรรงบประมาณให้แก่หนังเรื่องดังกล่าวอีก 100 ล้านบาท ตนจึงอยากตั้งคำถามว่า กระทรวงวัฒนธรรมจะสามารถยกเลิกการจัดสรรงบประมาณในส่วน 100 ล้านบาทนี้ได้หรือไม่? ขณะที่นายอภิชาติพงศ์กล่าวว่า เมื่อทราบ "ข้อมูลใหม่" ว่าตำนานสมเด็จพระนเรศวรได้รับงบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐไปแล้ว 330 ล้านบาท และเมื่อพิจารณาจากข้อมูลของคณะอนุกรรมการที่ระบุว่าหนังเรื่องนี้มีทุนสร้าง 480 ล้านบาท ก็เท่ากับว่ารัฐสนับสนุนเงินให้แก่หนังถึง 430 ล้านบาท หรือคิดเป็น 89.58 เปอร์เซ็นต์ของทุนสร้างทั้งหมด จึงอยากตั้งคำถามว่าคณะอนุกรรมการจะทบทวนการให้งบประมาณ 100 ล้าน แก่ตำนานสมเด็จพระนเรศวรได้หรือไม่? "รัฐบาลต้องอุดหนุนหนังเชิงพาณิชย์เรื่องหนึ่ง ด้วยเงินเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ของทุนสร้างหนังทั้งหมดเชียวหรือ? นายทุนของหนังก็น่าจะมีความสามารถในการหาทุนสร้างเองได้" นายอภิชาติพงศ์กล่าว รายงานข่าวระบุว่า อนุกรรมการคนหนึ่งได้กล่าวชี้แจง โดยยืนยันว่า โครงการของอนุกรรมการนั้นได้ดำเนินการมาก่อนที่จะทราบเรื่องงบประมาณโครงการสร้างสรรค์ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย ของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเพิ่งประกาศเมื่อวันที่ 9 มีนาคม ดังนั้น คณะอนุกรรมการจึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบในการพิจารณาจัดสรรเงินทุนได้ เพราะมีกฎกติกาอยู่แล้ว จากนั้น นายอภิชาติพงศ์กล่าวว่า เท่าที่ตนทำหนังมาเป็นระยะเวลา 14 ปี และขอทุนจากต่างประเทศมาโดยตลอด พบว่าไม่มีประเทศไหนที่มอบทุนสนับสนุนในลักษณะอย่างที่คณะอนุกรรมการชุดนี้ทำคือ ให้ผู้สร้างจัดทำโครงการเสนอมาแล้วระบุจำนวนเงินประมาณที่ต้องการได้รับการสนับสนุนเท่านั้น เพราะในต่างประเทศ จะมีการจัดแบ่งประเภททุนออกเป็น ทุนในส่วนการเตรียมงานก่อนถ่ายทำ, ทุนที่ใช้ในการถ่ายทำ และทุนในการทำงานทางด้านเทคนิคหลังถ่ายทำเสร็จสิ้นแล้ว และจะมีการจำกัดงบประมาณเอาไว้ว่า การขอทุนสำหรับการทำงานในแต่ละส่วนจะได้รับเงินอุดหนุนไม่เกินจำนวนเท่าใด นอกจากนั้น รูปแบบการให้ทุนของคณะกรรมการชุดนี้ยังมีจุดบกพร่องตรงที่ไม่ได้ให้ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ซึ่งนำเสนอโครงการระบุเอาไว้ว่าจะมีวิธีการคืนทุนอย่างไร ด้านนายอภินันท์ได้ชี้แจงว่า สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้ให้คำแนะนำแก่คณะอนุกรรมการว่า หากจะให้งบประมาณอุดหนุนหนังตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในภาค 3 และ 4 ผู้สร้างก็จะต้องคืนรายได้กลับมาให้รัฐ "เมื่อคณะอนุกรรมการจะทำสัญญากับผู้สร้างตำนานสมเด็จพระนเรศวร ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ทำ ก็จะมีข้อตกลงว่าหนังต้องคืนรายได้ให้รัฐ 50 ล้านบาท หรือ 50 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณ 100 ล้านบาท ที่คณะอนุกรรมการเสนอให้จัดสรรสนับสนุน ขณะที่หนังเรื่องอื่นซึ่งได้รับทุนอุดหนุนจะยังไม่ต้องมีการคืนรายได้เหมือนกับกรณีตำนานสมเด็จพระนเรศวร" รองปลัดวธ. กล่าว จากนั้น อนุกรรมการอีกรายหนึ่งได้ร่วมชี้แจงว่า ในฐานะอนุกรรมการของคณะอนุกรรมการชุดนี้ เมื่อได้ทราบแล้วว่าตำนานสมเด็จพระนเรศวรจะได้รับงบประมาณจากรัฐรวมทั้งหมด 430 ล้านบาท จากทั้งกระทรวงพาณิชย์และคณะอนุกรรมการชุดนี้ ตนก็ตั้งคำถามว่าคณะอนุกรรมการจะสามารถทบทวนการตัดสินได้หรือไม่? เราจะแก้ไขอะไรได้ไหม? ถ้าสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณ  และถ้ามีการทบทวนการตัดสินใจ บริษัท พร้อมมิตรภาพยนตร์ ผู้สร้างตำนานสมเด็จพระนเรศวรจะฟ้องร้องสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยกระทรวงวัฒนธรรม หรือไม่? อนุกรรมการรายนี้ยังแสดงความเห็นด้วยว่า คณะอนุกรรมการคงต้องพิจารณาทบทวนว่า ต่อไปจะมีการสนับสนุนผู้สร้างหนังด้วยงบอุดหนุนแบบให้เปล่า หรืองบเพื่อการค้าที่ต้องมีการคืนทุน ซึ่งนายอภิชาติพงศ์ได้เสนอต่อว่า การได้มารับฟังคำชี้แจงในวันนี้ทำให้พบปัญหาว่าเงื่อนไขการให้ทุนของคณะอนุกรรมการมีความไม่ชัดเจน ว่าจะให้ฟรีหรือขอทุนคืน ตามความเห็นของตนนั้น อยากให้รัฐบาลมุ่งเน้นไปที่การมอบทุนอุดหนุนแบบให้เปล่า หรือ "ซี้ด ฟันด์" อันเปรียบได้กับการหว่านเมล็ดพันธุ์พืชให้แก่คนทำหนังเล็กๆ รุ่นใหม่ต่อไป รายงานข่าวระบุว่าจากนั้น ในเวลาประมาณ 12 นาฬิกา นายอภินันท์ ในฐานะประธานที่ประชุมได้เสนอปิดการประชุม และรับปากว่าในการประชุมคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติครั้งหน้า ตนเองในฐานะประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสนับสนุนกิจกรรมหรือโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ จะเข้าไปแจ้งให้คณะกรรมการชุดใหญ่ได้รับทราบว่า มีการยื่นจดหมายให้ทบทวนการจัดสรรงบประมาณให้แก่ภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช รวมทั้งขอความเห็นจากคณะกรรมการชุดใหญ่ว่าจะสามารถทบทวนเรื่องดังกล่าวได้หรือไม่ ภายหลังการประชุม ผู้เข้าร่วมประชุมได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยนายอภินันท์ระบุว่า งบประมาณในส่วนภาพยนตร์เรื่องยาวจำนวน 150 ล้านบาท ที่ทางคณะกรรมการได้พิจารณาจัดสรรไปแล้วนั้น จะมีการเสนอให้คณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติได้พิจารณาทบทวนในการประชุมวันที่ 30 พฤษภาคมนี้ ส่วนงบประมาณจำนวน 50 ล้านบาท ที่จัดสรรให้แก่ภาพยนตร์สั้น สารคดี ทดลอง และนอกกระแส,ภาพยนตร์ชุดหรือละครชุด, เกม และแอนิเมชันนั้น จะยังคงดำเนินการไปตามเดิม ด้านนายอภิชาติพงศ์ได้แถลงว่า แม้ตนเองจะได้รับเงินทุนสนับสนุนจากโครงการของอนุกรรมการชุดนี้ แต่ก็ต้องออกมาพูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้การสนับสนุนเงินทุนในการสร้างภาพยนตร์ของไทยมีมาตรฐานมากยิ่งขึ้นในอนาคต การพูดคุยในครั้งนี้ได้ประโยชน์เป็นอย่างมาก ทำให้ได้เรียนรู้มุมมองของแต่ละฝ่าย สิ่งที่เครือข่ายของตนสามารถทำได้ก็คือการชี้แนะให้คณะอนุกรรมการได้มองเห็นถึงข้อบกพร่องในการดำเนินโครงการ ขณะที่นายมานิตแถลงว่า ถ้าคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติยังยืนยันตามมติเดิม และมีการจัดสรรงบประมาณจำนวน 100 ล้านบาทให้แก่ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ตนเองก็จะดำเนินทางกฎหมายผ่านกลไกของศาลปกครองหรือสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช) ต่อไป โดยจะปรึกษาหารือกับที่ปรึกษาทางด้านกฎหมายของทางเครือข่ายผู้กำกับภาพยนตร์อิสระก่อน (ที่มา: 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 / มติชนออนไลน์) จากคุณ : alexkh เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 15:32:28

ความคิดเห็นที่ 7 ข้อบกพร่องของทุนสนับสนุนโครงการและกิจกรรมส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ โดย เครือข่ายผู้คัดค้านการพิจารณาจัดสรรเงินตามโครงการและกิจกรรมส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ 1. ความคลุมเครือของคำจำกัดความของประเภทของภาพยนตร์ ในใบสมัครเพื่อขอยื่นรับทุนสนับสนุนโครงการและกิจกรรมส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์นั้น มีการให้ผู้สมัครระบุประเภทของทุนที่จะขอรับการสนับสนุน โดยแบ่ง 5 ประเภท ดังนี้ (1) ประเภทภาพยนตร์เรื่องยาว และกิจกรรม แบ่งเป็น ก. ภาพยนตร์เรื่องยาว ข. กิจกรรม (2) ประเภทภาพยนตร์สั้น สารคดี ทดลอง และ นอกกระแส ก. ภาพยนตร์สั้น ข. ภาพยนตร์สารคดี ค. ภาพยนตร์ทดลอง ง. ภาพยนตร์นอกกระแส (3) ประเภทภาพยนตร์ชุดหรือละครชุด (4) ประเภทเกม (5) ประเภทอนิเมชั่น   โดยคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ไม่มีการให้คำจำกัดความของประเภทภาพยนตร์ต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดความสับสนของผู้สมัครโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของภาพยนตร์เรื่องยาว และ ภาพยนตร์นอกกระแส  มีผู้สมัครจำนวนหนึ่งเข้าใจว่า ภาพยนตร์เรื่องยาว เป็นประเภทที่ต้องมีเงี่อนไขในการคืนทุน ส่วนภาพยนตร์นอกกระแส เป็นการให้เปล่า ซึ่งผลออกมาไม่ได้เป็นเช่นนั้น  การที่ผู้สมัครเลือกประเภทของภาพยนตร์ผิด ก็อาจจะพลาดการได้รับทุนการสนับสนุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประเภทภาพยนตร์สั้น สารคดี ทดลอง และ นอกกระแสมีงบจำกัดเพียง 10 ล้านบาท 2. สัดส่วนของเงินทุนสนับสนุนของภาพยนตร์แต่ละประเภท ในขณะที่ทุนสนับสนุนโครงการและกิจกรรมส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย ซึ่งปัญหาหลักอย่างหนึ่งของวงการภาพยนตร์ไทย คือ การขาดความหลากหลาย ซึ่งความหลากหลายจะทำให้ผู้ชมภาพยนตร์ไทยได้มีทางเลือก และพัฒนาการเสพย์งานภาพยนตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาพยนตร์นอกกระแส ภาพยนตร์ทดลอง ภาพยนตร์สั้น และภาพยนตร์สารคดี ซึ่งเป็นประเภทภาพยนตร์ที่แทบจะไม่มีนายทุนให้ทุนสร้างภาพยนตร์เหล่านี้ ทั้งๆ ที่ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาพยนตร์เหล่านี้จะช่วยพัฒนารสนิยมการเสพย์งานภาพยนตร์ของผู้ชมภาพยนตร์ได้อย่างมาก แต่กลุ่มของภาพยนตร์เหล่านี้ ซึ่งมีผู้สมัครรับการสนับสนุนจำนวน 81 เรื่อง กลับได้รับการสนับสนุนเพียง 10 ล้านบาท เท่านั้น ในขณะที่ภาพยนตร์เรื่องยาว ซึ่งภาพยนตร์ส่วนใหญ่เป็นภาพยนตร์เชิงพาณิชย์ สามารถหานายทุนสนับสนุนได้ไม่ยาก มีผู้สมัครขอรับทุนสนับสนุนจำนวน 98 เรื่องกลับได้รับเงินสนับสนุนไปถึง 150 ล้านบาท   3. ไม่แบ่งประเภทการให้ทุนตามขั้นตอนของงานสร้าง ตามหลักของการให้ทุนภาพยนตร์ในแต่ละที่ อย่างเช่น การให้ทุนของ KOFIC หรือ ทุน Hubert Bal Fund จะมีการระบุทุนที่ให้อย่างชัดเจนว่า เป็นทุนที่ให้เพื่อขั้นตอนอะไรในการสร้าง เช่น ทุนพัฒนาบทภาพยนตร์ ทุนสร้างภาพยนตร์ หรือ ทุนโพสต์โปรดักชั่น ซึ่งการระบุเช่นนี้ จะเหมาะสมอย่างยิ่งในการตัดสินใจของคณะกรรมการ โดยเฉพาะในประเภทภาพยนตร์ขนาดยาว เนื่องจากปฏิเสธไม่ได้ว่าแต่ละขั้นตอนการสร้างภาพยนตร์คุณภาพเรื่องหนึ่ง จะต้องใช้ระยะเวลายาวนาน การทราบว่าภาพยนตร์อยู่ในขั้นตอนใดจะทำให้เห็นความเป็นได้ ว่าภาพยนตร์ที่สนับสนุนจะมีแนวโน้มที่จะเสร็จตามเวลาหรือไม่  ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับทุนที่มีกรอบด้านเวลาในการใช้เงินอย่างในโครงการนี้  และเป็นการสะดวกสำหรับคณะกรรมการฯ ที่จะตรวจสอบการใช้เงินทุน ของผู้สมัครแต่ละราย อีกด้วย 4. ไม่มีการระบุจำนวนเงินที่กระทรวงจะให้การสนับสนุนต่อเรื่องอย่างชัดเจน นอกจากการระบุถึงขั้นตอนการสร้างแล้ว โดยปกติทุนส่วนใหญ่จะระบุจำนวนเงินจำนวนสูงสุดที่ภาพยนตร์หนึ่งเรื่องสามารถขอได้ ซึ่งการระบุจำนวนเงินสูงสุดตรงนี้จะช่วยในเรื่องของการกระจายทุน ไม่ให้ตกไปอยู่ภาพยนตร์เรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไป หากเงินจำนวนสูงสุดที่จะให้นั้น ไม่ครอบคลุมงบประมาณทั้งหมด ผู้สมัครขอรับทุนจะต้องรับผิดชอบในการหาทุนจากแหล่งอื่นๆ ไม่ได้เพียงแต่รอรับความช่วยเหลือจากเงินทุนรัฐบาลอย่างเดียว หรือหากผู้สมัครขอรับทุนไม่ต้องการหาทุนจากที่อื่น ผู้สมัครก็จะต้องปรับลดสเกลการสร้างให้ลดลงเพื่อให้สอดคล้องกับทุนที่กำหนด นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ควรจะระบุ หลักเกณฑ์ในการพิจารณาอย่างชัดเจน ว่า โครงการภาพยนตร์ลักษณะใดที่จะได้รับเงินเต็มจำนวนที่ขอ ส่วนโครงการใดจะไม่ได้รับเงินตามจำนวนที่ขอ แต่จะถูกจัดแบ่งอย่างเหมาะสมแทน 5. การให้ผู้สนับสนุนเลือกที่จะระบุเงื่อนไขการส่งเสริม โดยปกติแล้ว การให้ทุนสนับสนุนภาพยนตร์นั้น จะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การให้เปล่า และ การให้อย่างมีเงื่อนไข ซึ่งสองประเภทนี้ ควรจะได้แยกขาดกันอย่างชัดเจน โดยการให้การสนับสนุนแบบให้เปล่า จะเหมาะสำหรับภาพยนตร์ที่ไม่เชิงพาณิชย์ แต่มีศักยภาพในด้านการสร้างสรรค์ความหลากหลาย และพัฒนารสนิยมผู้เสพย์งาน รวมทั้งกิจกรรมที่พัฒนารสนิยมให้กว้างและหลากหลายมากขึ้น ส่วนการให้การสนับสนุนแบบมีเงื่อนไข จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อนายทุนสร้างภาพยนตร์ ที่จะลงทุนสร้างภาพยนตร์ที่อาจจะมีโอกาสทางการตลาด หรือ การสร้างภาพยนตร์ที่ใช้ทุนสร้างสูง โดยควรจะทำกองทุนนี้ให้ออกมาเป็นกองทุนกู้ยืมสำหรับโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์อย่างชัดเจน ซึ่งอาจจะเป็นให้ทุนกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ หรือ ทุนกู้ยืมไม่มีดอกเบี้ย ส่วนผลตอบแทนอาจเป็นการคืนเงินต้น หรือ แลกกับการเปอร์เซ็นต์ของการรายได้จากการฉายภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ 6. เกณฑ์การให้คะแนนภาพยนตร์แต่ละประเภท จากข้อมูลเว็บไซต์ http://www.thaicinema.org มีเกณฑ์การให้คะแนน 4 หัวข้อหลัก คือ (1) ส่วนของเนื้อหา (2) ส่วนของการบริหารโครงการ (3) ส่วนของผลประโยชน์ และผลกระทบ (4) ส่วนของคุณค่าทางศิลปะ เป็นที่น่าสังเกตว่า ทำไม ในส่วนของภาพยนตร์สารคดี จึง เป็นประเภทเดียวไม่มีการใช้เกณฑ์การให้คะแนนในส่วนของการบริหารโครงการ  ซึ่งทำให้เกณฑ์การให้คะแนนดูมีความลักลั่น ในขณะเดียวกัน  เกณฑ์บางเกณฑ์  อย่างเช่น คุณค่าทางศิลปะ เป็นสิ่งที่ยากจะตัดสินผ่านทางหน้ากระดาษ เช่นเดียวกับ ส่วนของผลประโยชน์และผลกระทบ ล้วนแต่เป็นที่สิ่งคาดเดาได้ยากกลับกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่นำมาตัดสินใจ   7. คุณสมบัติของคณะกรรมการที่พิจารณาให้ทุนสนับสนุน อันเนื่องมาจากวงการภาพยนตร์ไทยเป็นวงการที่ค่อนข้างเล็ก และมีคณะกรรมการหลายๆ ท่าน มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับบริษัทเอกชน แต่กระนั้น การจะไม่อนุญาตให้คนในวงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์เข้าไปเป็นคณะกรรมการฯ หรือ  คณะอนุกรรมการฯ ก็คงเป็นไปได้ยาก ในทางปฏิบัติ ดังนั้น จึงควรต้องระบุให้ชัดเจนในกฎระเบียบว่า หากกรรมการท่านใดก็ตามมีส่วนได้ส่วนเสีย หรือ มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด กับผู้สมัครยื่นรับการสนับสนุนโครงการและกิจกรรมใดๆ ก็ตาม กรรมการท่านนั้นจะต้องออกจากที่ประชุม หรือ ไม่มีสิทธิ์ในการลงคะแนน ที่เกี่ยวกับโครงการหรือกิจกรรมนั้นๆ ทั้งนี้เพื่อความเป็นธรรมในการพิจารณาทุนดังกล่าว นอกจากนี้ ควรพิจารณาว่า จำนวนข้าราชการต่างๆ ที่มารับหน้าที่เป็นกรรมการฯ นั้น เหมาะสมเพียงใด เพราะหลายๆ ท่าน อาจจะไม่ได้ทำงานเกี่ยวข้องภาพยนตร์ แต่ต้องมารับหน้าที่เป็นกรรมการอันเนื่องมาจากตำแหน่ง ในบรรดาคณะกรรมการ 22 ท่าน มีผู้ที่เป็นข้าราชการถึง 14 ท่าน  ซึ่งอาจมีผลต่อการทำให้ผลการตัดสินเป็นที่ยอมรับ 8. การไม่ระบุช่วงเวลาของการใช้ทุนให้ชัดเจน หลังจากมีการชี้แจงรายละเอียดให้ผู้รับทุนได้ฟังแล้ว ผู้รับทุนพบว่าจะต้องทำโครงการแล้วเสร็จก่อนเดือนกันยายน เพราะจะต้องเบิกเงินที่ได้ให้ออกไปจากรัฐก่อนปิดปีงบประมาณ ซึ่งข้อจำกัดเรื่องกรอบเวลานี้ เป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก ที่กระทรวงฯ ควรจะต้องแจ้งให้ทางผู้สมัครขอรับทุนได้รับทราบก่อนล่วงหน้า เพื่อให้ผู้รับทุนได้เตรียมนำเสนอโครงการที่เหมาะสม   (ที่มา : มติชนออนไลน์ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2553) แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 53 15:41:33 จากคุณ : alexkh เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 15:33:37

ความคิดเห็นที่ 8 ว่าจะสนับสนุนหนังเจ้ย แต่ทำตัวแบบนี้หลายทีแล้ว น่ารำคาญ ไงไม่รู้ เดี๋ยวท่านมุ้ย ทำฟิล์ม-บอร์ด สำเร็จเมื่อไรนะ จะได้รู้แน่ว่าใคร มองแต่ตัวเอง หรือ ใครที่จะผลักดัน คนทำหนังหน้าใหม่  ******* จากคุณ : Panda-baker เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 15:41:42

ความคิดเห็นที่ 9   ก็เรื่องจริงนิ เรื่องเดียวรับไปร้อยล้าน ส่วนที่เหลือก็ไปหารกัน แล้วก็จะมีคนมาเถียงว่า ต้องให้หนังระดับตำนานสิ จะไปให้หนังอื่นๆ สั่วๆ ได้ไง ดีหรือป่าวก็ไม่รู้ เสียดายเงิน คือ ตีค่าคนที่เขายังไม่ทันจะได้ทำหนังไปแล้วว่า ต้องห่วยกว่า หนังเทพ แน่ๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำ ตรรกะของคนประเทศนี้ไง ชอบคือถูกต้อง ไม่ชอบคือผิด จากคุณ : แตนด์แหลลอ เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 15:44:13 A:58.8.136.213 X: TicketID:268709

ความคิดเห็นที่ 10   เรื่องมากเหมือนกันนะตัวเธอ ก็ใจเขาตั้งแต่ต้นไม่คิดทำหนังให้คนไทยดูอยู่แล้วนี่ครับ ไม่ชอบที่ให้สัมพากษ์มาก ๆ สงสัยเกลียดประเทศไทยจัดโจมตีทุกครั้งที่มีโอกาส แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 53 15:56:56 แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 53 15:55:58 จากคุณ : jowa เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 15:50:14

ความคิดเห็นที่ 11 สงสารเจ้ย คงอยากจะพูดเยอะกว่านี้ แต่พูดได้ไม่ค่อยเต็มปาก เพราะกลัวพวกมาเฟียจะกระอักเลือด จากคุณ : Jitara เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 15:54:21

ความคิดเห็นที่ 12 ตกลง งบ 200 นี่ ให้เปล่า หรือต้องใช้คืน ? จากคุณ : Panda-baker เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 15:58:16

ความคิดเห็นที่ 13   ตามมาตอบ เรื่องนี้เห็นด้วยกับคุณเจ้ย มีงบ 200 ล้าน ให้ 100 ล้านกับคนที่มีโอกาสมากที่สุด มีพาวเวอร์ในการหาทุนที่สุด เหลืออีก 100 ล้าน หารกัน 50 คน ซึ่งเป็นคนที่หาทุนได้ยาก วัตถุประสงค์ของเงินนี้คืออะไร???????? เงินนี้มีเพื่อช่วยสนับสนุนภาพยนต์ไทย"ในภาพรวม"ไม่ใช่หรือ เเละภาพยนต์ไทยไม่ได้มีแค่หนังประวัติศาสตร์อย่างเดียว รายเดียว พูดตรงๆ  เราว่าหนังท่านมุ๊ยก็มีสุริโยทัยเรื่องเดียวที่ดูน่าตื่นเต้นด้วยความใหม่ หลังจากนั้นก็เฝือแล้ว  ให้โอกาสปลาซิวปลาสร้อยบ้าง จากคุณ : crazii.angier เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 15:58:52

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบอก เห้น คคห 6-7 ที่โพสให้อ่านแล้ว ผมข้ามทันที คิคิ เยอะมาก ใครก็ได้ช่วยสรุปสั้นๆง่ายๆให้ทีเถอะ เจอข้อมูลแบบ คคห6-7 ทีเดียว ใครจะตีกะใคร ใครจะด่าใคร ใครจะทะเลาะกะใคร ก็ตามสบายเลย ขี้เกียจอ่าน ห้าๆๆๆ จากคุณ : infernaldevilking เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 16:02:33

ความคิดเห็นที่ 15 ความจริงมันไม่หวานหู ก็เท่านั้น ที่เค้าพูดทั้งๆที่เค้าได้เกือบเต็มจำนวน ก็น่าจะบอกอะไรบ้างแล้วนะ แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 53 16:05:50 จากคุณ : สุกี้นายกอง เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 16:03:36

ความคิดเห็นที่ 16 คนมีสิทธิพูด และก็ควรมีการตรวจสอบได้ แต่ผลจะเป็นยังไงก็ว่ากันไป จากคุณ : มังกรใจเย็น เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 16:04:14

ความคิดเห็นที่ 17   แบบนี้ละครับ บ้านเรายังมีเรื่องที่พูดไม่ได้อีกเยอะ จากคุณ : Avatar of TonyMao_NK51 (2) เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 16:08:32 A:61.90.123.51 X: TicketID:246102

ความคิดเห็นที่ 18   เอาง่ายๆเลย แบบที่ทำอยู่เนี่ย คิดว่ามัน พัฒนา อุตสาหกรรมหนังมั้ย หรือพัฒนาเท่าที่ควรมั้ย หรือต้องให้ มีใครได้รางวัล ถึงจะมีสิทธิ์ พูด แสดงความคิดเห็น จากคุณ : ทำดีดีละกัน 1-2 จาหลับเอา เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 16:19:55 A:10.0.0.190 X:125.27.48.228 TicketID:253282

ความคิดเห็นที่ 19 ไม่ขอออกความคิดเห็น รอท่านมุ้ยมาตอบดีกว่า จากคุณ : north_shine เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 16:21:36

ความคิดเห็นที่ 20 ทำหนังออกมาแล้วขายได้แต่คนไทย แต่ไม่ยอมให้ต่างประเทศเอาไปฉายถ้าต้องตัดต่อให้กระชับ แล้วจะสร้างไปทำไม? ถ้าทำหนังไม่ออกมาเป็นสากลแต่ได้เงินไปสร้างหนังที่นั่งดูไปหาวไป แถมส่งเสริมให้พม่ามันหาเรื่องด่าคนไทยได้อีก คนที่เขามองมุมอื่นเขาจะโวยวายมันก็สมควรแล้วไม่ใช่เรอะ? จากคุณ : Delclaw เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 16:27:35

ความคิดเห็นที่ 21 เราว่าทัศนคติทางการเมืองของเค้าพอจะเป็นคำตอบได้แล้วอ่ะ จากคุณ : เมษาพาเพลิน เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 16:34:21

ความคิดเห็นที่ 22   เจ้ย IQ สูง EQ ต่ำ จากคุณ : jojo1803 เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 16:43:46

ความคิดเห็นที่ 23   คุณเจ้ยคงไม่ได้พูดเพื่อตัวเองคนเดียว แต่เพื่อนๆร่วมวงการอีกหลายคน เพราะงบมันไปกองอยู่ที่หนังเรื่องเดียว แล้วคนทำหนังอีกมากมายต้องเอาไปหารแบ่งกัน เหลืองบให้รายอื่น รายละไม่เท่าไรเอง มันมีความเหลื่อมล้ำสูงมากจริงๆนะ จากคุณ : นะ เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 16:48:21 A:58.136.98.23 X: TicketID:162223

ความคิดเห็นที่ 24 เรื่องนี้เราเห็นด้วยกะเจ้ยนะ เราว่าถ้าอยากสนับสนุนวงการภาพยนตร์ไทยจริง ๆ ควรกระจายงบให้ทั่ว ๆ ไม่ใช่เรื่องนึงได้ไปถึงห้าสิบเปอร์เซนต์ของทั้งหมด เราว่ามากเกินไป เห็นด้วยกับ ความเห็นที่ 13 เป็นอย่างมาก แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 53 17:00:35 จากคุณ : เกาเหลาไม่ใส่เส้น เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 16:55:09

ความคิดเห็นที่ 25   ต้นฉบับ http://www.hollywoodreporter.com/hr/content_display/asia/news/e3i6478fc41cf5464a55943f3ff6da955da แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 53 16:58:19 แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 53 16:56:39 จากคุณ : jojo1803 เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 16:56:04

ความคิดเห็นที่ 26 อ่านกระทู้นี้แล้วชักอยากไปหาหนังเรื่องนเรศวรมาดูบ้างว่าจะเป็นยังไง จากคุณ : MaMa,PaPi เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 16:59:19

ความคิดเห็นที่ 27 สรุป... รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณ 330 ล้านบาท ให้แก่ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ผ่านกระทรวงพาณิชย์ ในวันที่ 9 มีนาคม แล้วในวันที่ 26 มีนาคม คณะอนุกรรมการชุดนี้ ก็ได้พิจารณาจัดสรรงบประมาณให้แก่หนังเรื่องดังกล่าวอีก 100 ล้านบาท ก็เท่ากับว่ารัฐสนับสนุนเงินให้แก่หนังถึง 430 ล้านบาท หรือคิดเป็น 89.58 เปอร์เซ็นต์ของทุนสร้างทั้งหมด จึงอยากตั้งคำถามว่าคณะอนุกรรมการจะทบทวนการให้ งบประมาณ 100 ล้าน แก่ตำนานสมเด็จพระนเรศวรได้หรือไม่? "รัฐบาลต้องอุดหนุนหนังเชิงพาณิชย์เรื่องหนึ่ง ด้วยเงินเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ของทุนสร้างหนังทั้งหมดเชียวหรือ? นายทุนของหนัง ก็น่าจะมีความสามารถในการหาทุนสร้างเองได้" นายอภิชาติพงศ์กล่าว จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 17:01:29

ความคิดเห็นที่ 28   อยากถามเจ้ยเหมือนกันว่า ดังระดับโลกแล้วนี่ หาทุนไม่น่าจะมีปัญหา แล้วมาขอ งบรัฐบาลทำไม หนังที่สร้างก็สร้างให้พวกต่างชาติดูอยู่แล้ว ตัวเองก็ไปแย่งโอกาสผู้กำกับคนอื่นที่ไม่ดังเหมือนกันล่ะ ทำไมไม่เสียสล่ะให้คนอืนบ้างล่ะแค่ 3 ล้านห้าก็จะเอา ส่วนที่บอกจะคืนเงินก็แค่แก้เกี้ยวเพราะว่าจะประท้วงรัฐบาลเท่านั้น จริงๆไม่ควรขอตั้งแต่แรก ดังนั้นก่อนประท้วงก็หัดดูตัวเองซะก่อน แย่งทุนชาวบ้านเหมือนกันทั้งที่ตัวเองมีโอกาสหาทุนที่อื่นเยอะแยะ แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 53 17:05:49 จากคุณ : jojo1803 เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 17:04:41

ความคิดเห็นที่ 29 คิดว่าคุณเจ้ยเองคงไม่ต้องมาหาทุนจากรัฐบาลไทย ไม่ทำเพื่อตัวเอง ทำเพื่อวงการหนังไทยมากกว่านะ จากคุณ : bigboom เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 17:05:24

ความคิดเห็นที่ 30   เราก้อไม่ค่อยดูหนังเท่าไรนะ แต่เรามีความรู้สึกว่าหนังท่านมุ้ยลงทุนสูงอ่ะ ส่วนหนังคุณเจ้ยเราไม่เคยดู ถ้าพูดไม่เข้าหูใครขอโทษด้วย เพราะพูดตามความรู้สึกจริงๆ จากคุณ : รักเมืองไทยค่ะ เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 17:06:39 A:58.8.124.136 X: TicketID:216170

ความคิดเห็นที่ 31   ความคิดเห็นที่ 28 ^ ^ มันเป็นสิทธิ์ของเขา ในเมื่อมันเป็นงบสำหรับสนับสนุนวงการหนังไทย...........คุณเจ้ยเขาก็เป็นคนหนึ่งในวงการ เขากล้าออกมาเป็นกระบอกเสียงแทนคนอื่นๆที่เชื่อว่าหลายคนก็อยากจะพูดเหมือนกัน แต่เสียงของพวกเขาคงดังไม่พอ...........บังเอิญคุณเจ้ยพอจะมีชื่อเสียงระดับนานาชาติอยู่...........ก็น่าจะเป็นเรื่องดี สำหรับเพื่อนร่วมวงการ ที่มีใครบางคนกล้าออกมาแสดงความคิดเห็น จากคุณ : นะ เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 17:12:30 A:58.136.98.23 X: TicketID:162223

ความคิดเห็นที่ 32 เป็นคนที่ใช้พื้นที่สื่อได้ดีคนหนึ่ง จากคุณ : ruralcrue เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 17:13:23

ความคิดเห็นที่ 33 ^ ^ ^ แล้วถ้าสมมุติท่านมุ้ยได้งบสนับสนุนรวม 430 ล้านนี้ไปจริงๆ เวลาหนังเข้าฉาย คนดูอย่างพวกเรายังต้องจ่ายค่าตั๋วเต็มราคาอีกรึเปล่า? ที่ผ่านมาหนังท่านมุ้ยเข้าฉาย โรงหนังก็ขึ้นราคาตํ๋ว บอกว่าหนังทุนสูงต้องเก็บแพง ทั้งๆที่หนังไทยบางเรื่องทุนโคตรต่ำ ไม่เห็นลดราคาให้มั่งเลย งบจากรบ. ไม่ว่าใครจะได้ไปในสัดส่วนเท่าไหร่ ประชาชนคนดูจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง??? จากคุณ : ต้นน้ำลำธารท้องฟ้า เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 17:14:31

ความคิดเห็นที่ 34 เห็นตอนบนเวทีที่รับรางวัลก็มีพูดเหน็บๆนะ เรื่องแกสร้างหนังด้วยเงินน้อยมากๆไรแบบนี้ ผมชอบเจ้ยนะ แต่ก็นะ  ไม่ใช่ว่าท่านมุ้ยไม่เคยทำหนังแบบงบน้อยๆ หนังแบบสะท้อนชีวิตรากหญ้าแกก็ทำมาหลายเรื่อง และที่สำคัญ เป็นหนังที่ดีมากแทบทั้งนั้น ในความคิดผม..... จากคุณ : ความตายสีชมพู เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 17:14:48

ความคิดเห็นที่ 35 ขอบคุณ คุณเจ้ยที่กล้าออกมาเป็นปากเป็นเสียงให้กับคนทำหนังตัวเล็กๆคนอื่น ที่ไม่มีโอกาสได้พูดผ่านสื่อค่ะ งบที่คุณเจ้ยขอ สามล้านห้า นั้นเป็นงบ โพสต์โปรดักชั่นค่ะ ตัวหนังเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว และเท่าที่ทราบ คุณเจ้ยจะคืนงบส่วนนี้เพื่อให้ กระทรวงพิจารณาใหม่ทั้งหมดนะคะ คนที่เหน็บว่าคุณเจ้ยไม่มีสิทธิ์มาขอนี่เอาอะไรมาเหน็บคะ คุณเจ้ยก็เป็นคนไทย แล้วงบนี้ก็มาจากภาษีคนไทย ทำไมคุณเจ้ยจึงไม่มีสิทธิ์มาขอคะ จากคุณ : smooth night เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 17:28:32

ความคิดเห็นที่ 36 1. พี่เจ้ยขอรับทุนจริง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายบางส่วนของหนังลุงบุญมี (ในส่วนของ postproduction และประชาสัมพันธ์) ซึ่งได้รับอนุมัติตามที่ขอ แต่เมื่อเห็นงบอนุมัติให้หนังเรื่องอื่นๆ เขามองว่าไม่ยุติธรรมต่อผู้สร้างหนังรายเล็กๆ จึงปฏิเสธการรับทุนไปแล้ว 2. งบประมาณในรอบนี้เทไปให้หนังพระนเรศวรกว่าครึ่งของงบทั้งหมด รวมกับงบอื่นๆที่มาจากรัฐที่พระนเรศวรเคยได้รับ มันแทบจะเท่าทุนสร้างของหนัง และหนังที่ออกมา ก็ยังมีชื่อสหมงคลฟิล์มเป็นนายทุน เป็นเจ้าของหนัง เป็นผู้จัดจำหน่ายเช่นเดิม ซึ่งการเทงบไปหนังเรื่องหนึ่งๆเรื่องเดียว มันไม่ได้กระจายเม็ดเงินสู่วงกว้างเท่าที่วัตถุประสงค์ของงบนี้ที่ตั้งไว้ 3. การที่ระบุว่าพระนเรศวรจะต้องมีการคืนเงิน อันนี้พูดง่ายๆคือรัฐให้ยืมเงินไปก่อน ซึ่งก็ยืมได้ แต่ต้องชัดเจนว่าสนับสนุนเท่าไร ให้ยืมเท่าไร ดอกเบี้ยเท่าไร และที่ควรเป็น เงินยืมควรแยกออกมาจากงบไทยเข้มแข็ง ไม่ใช่คิดรวมไปในงบเดียวกัน เพราะมันไปตัดโอกาสหนังเรื่องอื่นๆ เช่น รัฐบาลบอกว่ามีงบ 200 ล้าน ให้พระนเรศวรไป 100 ล้าน โดยพระนเรศวรต้องคืนเงินมา 50 ล้าน หลังออกฉาย ดังนั้น หนังเรื่องอื่นๆ เอา 100 ล้านที่เหลือไปเฉลี่ย (ตัวเลขสมมุติ) ทั้งที่ความจริง ควรจะต้องบอกว่ารัฐบาลมีงบ 200 ล้าน ให้พระนเรศวร 50 ล้าน หนังเรื่องอื่นๆเอา 150 ล้านไปเฉลี่ย และรัฐจัดสรรงบพิเศษอีก 50 ล้าน เพื่อให้พระนเรศวรยืมไปใช้ก่อน ซึ่งต้องคืนภายหลัง ซึ่งถ้าเป็นแบบหลังจะยุติธรรมมากขึ้น จากคุณ : I'm wu เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 17:42:17

ความคิดเห็นที่ 37   เขาพูดถึงหนังไทยตั้งหลายๆด้าน ปัญหาการสร้าง  อุตสาหกรรมหนังไทยไม่ก้าวหน้า ว่าเขาพยายามต่อสู้เพื่ออุตสาหกรรมหนังไทย จากคุณ : popyim เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 18:15:33

ความคิดเห็นที่ 38 ผมเห็นด้วยกะพี่เจ้ย เอาเงินไปอุดหนุนหนังเรื่องเดียวแทนที่จะเฉลี่ยให้หนังหลายๆเรื่่อง จากคุณ : bigwores เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 18:23:45

ความคิดเห็นที่ 39   ผมเห็นด้วยกับที่คุณเจ้ยพูดนะ ส่วนตัวผมเข้าใจว่าเค้าไม่ได้พูดเพื่ออยากได้ทุนตรงนี้หรอกครับ เค้าพูดในฐานะผู้กำกับที่อยากพัฒนาวงการภาพยนตร์ไทยมากกว่า จากคุณ : Spirited Away G เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 18:36:03

ความคิดเห็นที่ 40 เห็นด้วยกับพี่เจ้ยครับ ประเทศไทยปกครองโดยกลุ่มมาเฟียจริง ๆ และหมั่นใส้คนทีตอบว่า พี่เจ้ยไม่ได้สร้างหนังให้คนไทยดู ไม่รู้อะไรแล้วอย่ามาพูดดีกว่า จากคุณ : แมวหนุ่มสุดซ่าส์ เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 18:36:35

ความคิดเห็นที่ 41 กลุ่มมาเฟียเหรอ... สมองคิดได้แค่นี้??? จากคุณ : zenzen เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 19:05:41

ความคิดเห็นที่ 42 อยากให้เข้าไปอ่านใน Thaicine ดูครับ ผมได้อ่านเมื่อวาน ทำให้เข้าใจแจ่มแจ้ง อยากจะเอาประเด็นนี้มาพูดอีกซักรอบเหมือนกัน ทุนหนังไทยนเรศวร 430 ล้าน http://thaicinema.org/news53_tff5.asp ส่วนตัวผมเห็นด้วยกับคุณเจ้ยทั้งหมดครับ แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 53 19:26:30 แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 53 19:26:05 จากคุณ : ชายกลาง (mytohn) เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 19:24:06

ความคิดเห็นที่ 43   เห็นด้วยกับคุณเจ้ยทั้งหมด การใช้เงิน แจกเงินดูจะไม่น่าเหมาะสม จากคุณ : *-* เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 19:58:47 A:58.8.213.30 X: TicketID:157520

ความคิดเห็นที่ 44   คุณเจ้ย อย่างเท่ห์  ดีจังที่เค้าได้รางวัลกลับมา  เสียงของเค้า คงจะมีพาวเวอร์มากขึ้นอีก ปกติ ใครจะอยากหาเรื่องใส่ตัว ออกมาพูด ก็โดนโจมตี ซึ่งบางคนก็มามั่วด่า โดยที่ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร มาออกหน้า เพื่อความถูกต้อง ทั้งที่กระแสคลั่งชาติรุนแรงขนาดนี้ จากคุณ : keekaikung เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 19:59:03

ความคิดเห็นที่ 45 เวลาคนเขาด่าเจ้ย ก็บอกว่านิสัยไม่ดีไปเเขวะเขา   เเต่ตอนนี้ก็ดัีนไปเเขวะเขาว่าเป็นมาเฟีย อ้อ แบบนี้หรือนิสัยดีๆเขากระทำกันเเบบนี้.. ปล. เจ้ยจะสร้างหนังให้ใครดูผมไม่่รู้  เเต่ผมคาดโดน"ความเชื่อส่วนตัวว่า" หนังประวัติศาสตร์ที่เจ้ยเเขวะ  ที่ผมก็คิดว่าใช่  น่าจะมีคนอยากดูมากกว่าหนังของเจ้ย จากคุณ : An.mkII เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 20:00:36

ความคิดเห็นที่ 46   เท่าที่รู้  เกณฑ์คนไปดูก็เยอะนะ จากคุณ : keekaikung เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 20:10:53

ความคิดเห็นที่ 47   ความคิดเห็นที่ 45 เวลาคนเขาด่าเจ้ย ก็บอกว่านิสัยไม่ดีไปเเขวะเขา เเต่ตอนนี้ก็ดัีนไปเเขวะเขาว่าเป็นมาเฟีย อ้อ แบบนี้หรือนิสัยดีๆเขากระทำกันเเบบนี้.. ปล. เจ้ยจะสร้างหนังให้ใครดูผมไม่่รู้ เเต่ผมคาดโดน"ความเชื่อส่วนตัวว่า" หนังประวัติศาสตร์ที่เจ้ยเเขวะ ที่ผมก็คิดว่าใช่ น่าจะมีคนอยากดูมากกว่าหนังของเจ้ย จากคุณ : An.mkII เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 20:00:36 ^^ หนังของหม่ำ จ๊กม๊ก ก็มีคนอยากดูมากกว่าหนังเจ้ย............ปริมาณคนดูไม่ได้หมายความว่าหนังเรื่องนั้นจะต้องได้อภิสิทธิ์เหนือไปกว่าหนังเรื่องอื่น ปริมาณคนอยากดูมากกว่า......ไม่ได้หมายความว่า หนังเรื่องนั้นจะต้องเป็นหนังคุณภาพเสมอไปนี่ บางคนอยากดูเพราะชอบพระเอก นางเอก บางคนอยากรู้เพราะชอบแรงโปรโมท เพราะกระแส............บางคนอย่างดูเพราะทุนสร้างอลังการ เพราะถ้ากำหนดหลักเกณฑ์ว่า หนังที่จะได้รับเงินสนับสนุนเยอะต้องเป็นหนังที่คนอยากดู............หนังของหม่ำก็คงน่าจะได้เงินสนับสนุนจากรัฐบาลซัก 80 ล้านขั้นต่ำๆนะ จากคุณ : ว่าไม๊ เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 20:17:01 A:58.136.98.23 X: TicketID:162223

ความคิดเห็นที่ 48 วงการไหนไม่มีมาเฟียล่ะ  ทุกที่มีผู้ทรงอิทธิพลทั้งนั้น  เจ้ย  สู้ๆๆๆดีใจด้วยที่ได้รางวัลนะ จากคุณ : นิกิตา เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 20:19:43

ความคิดเห็นที่ 49 เราอยากดูหนังของเจ้ยมากกว่านะ จากคุณ : น้องจุ่น เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 20:24:06

ความคิดเห็นที่ 50 เจ้ยจะสร้างหนังให้ใครดูผมไม่่รู้  เเต่ผมคาดโดน"ความ เชื่อส่วนตัวว่า" หนังประวัติศาสตร์ที่เจ้ยเเขวะ  ที่ผมก็คิดว่าใช่  น่าจะมีคนอยากดูมากกว่าหนังของเจ้ย ....... หนังที่คนอยากดูมากกว่า แปลว่าสมควรได้รับเงินทุนมากกว่าหนังเรื่องอื่นๆ (หลายๆ เท่าด้วย) เหรอ? จากคุณ : อับลาฮัมมีบุตร 7 คน (อับลาฮัมมีบุตร 7 คน) เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 20:28:03

ความคิดเห็นที่ 51 ถ้าทุกคนยอมรับในหลักการ โดยไม่คิดว่าเป็นหนังของ "ใคร" มันก็ไม่สมควร จากคุณ : dumper เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 20:32:06

ความคิดเห็นที่ 52 เงินสนับสนุนวงการหนัง ก็ควรจะใช้ทำให้วงการมีหนังหลากหลาย ไม่เกี่ยวกับหนังเรื่องไหนมีใครอยากดูไม่อยากดู ทุกเรื่อง ทุกแนว มีกลุ่มคนดูของตัวเองค่ะ จากคุณ : smooth night เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 20:33:51

ความคิดเห็นที่ 53 An.mkII ครับคิดผิดคิดใหม่นะครับหนังที่มีคนดูมากไม่จำเป็นเป็นหนังดีมีคุณภาพ เสมอไปหรอกนะครับ ผมว่าหอแต๋วแตกก็ยังมีคนเข้าไปดูมากกว่าหนังพี่เจ้ยอีกนะครับ จากคุณ : แมวหนุ่มสุดซ่าส์ เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 20:41:16

ความคิดเห็นที่ 54   ครอบครัวคุณเจ้ยเลี้ยงลูกได้น่ายกย่องมากๆ คุณเจ้ยกล้าพูดและกล้าชนเรื่องนี้กับรัฐบาลก่อนหน้าที่ตัวเองจะได้รับรางวัลสูงสุดของเวทีที่เป็นที่สุดของโลกเวทีหนึ่งเสียอีก ความกล้าหาญกล้าคิดกล้าทำและกล้าทวงถามความยุติธรรมกับรัฐที่มีกลุ่มมาเฟียที่มองไม่เห็นร่วมบริหารบ้านเมือง เรื่องแบบนี้ที่ถ้าไม่ใช่คนดีมีศีลธรรมและมีน้ำใจอันประเสริฐโดยพื้นฐานแล้ว ไม่มีทางที่จะลงมาเล่นให้เปลืองตัวหรอก นี่เป็นตัวอย่างที่จับต้องได้จริงๆของคนดีมีจริยธรรมของแท้ ไม่ใช่ดีเทียมที่ปากบอกว่าดีมีจริยธรรมไม่โกงไม่กินแต่เอาเข้าจริงก็หมกเม็ดและ สั่งฆ่าคนได้อย่างไม่สะทกสะท้าน จากคุณ : ใครว่าคนดีคนเก่ง ไม่มีจริง? เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 20:45:39 A:114.181.224.153 X: TicketID:254591

ความคิดเห็นที่ 55   คนที่บอกคุณเจ้ยน่าจะหาทุนทำหนังได้เอง ทำไมคุณไม่คิดว่าท่านมุ้ยก็สามารถหาทุนทำหนังได้เองบ้าง ทั้งตลาดที่จะขายหนังท่านมุ้ยก็ชัดเจนกว่าคุณเจ้ย จากคุณ : tamhapan เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 20:49:38 A:125.25.9.49 X: TicketID:262447

ความคิดเห็นที่ 56 ใครว่าหนังของเจ้ยสร้างให้คนต่างชาติดู ผมว่าเขาตั้งใจทำให้คนไทยดูโดยเฉพาะนะครับ หนังมีความเป็นไทย บรรยาการแบบไทย(แบบเรียบๆพื้นๆ ธรรมดา)และเกี่ยวกับสังคมไทยมาก ส่วนเจ้ยจะIQ สูง EQต่ำ อันนี้ผมก็ไม่รู้ครับ แต่หนังของเขาผมว่าต้องใช้EQ หรือสุนทรียะ ถึงจะเข้าถึงนะครับ จากคุณ : lomocat เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 21:09:34

ความคิดเห็นที่ 57   ว่าแต่หนังเรื่องที่เอาเงินไปครึ่งหนึ่งเนี่ยเรื่องอะไรเหรอครับ ไม่เคยดูอ่ะ แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 53 21:13:16 จากคุณ : LaserBullet เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 21:11:04

ความคิดเห็นที่ 58 ไม่เคยบอกเลยว่า หนังที่คนดูมากต้องเป็นหนังดี  ตรงไหนที่ผมบอกครับ..!?   ผมบอกเพียงความเชื่อของผมเท่านั้น.. ส่วนประเด็นการที่เอามาเทียบกะหนังตลกเเนวนั้นผมก็คิดว่ามันออกจะเป็นการเทียบที่สุดโต่งเกินไปนะครับ. และผมก็ไม่รู้ว่าเขากำหนดกันอย่างไร ดังนั้นอย่าเอาความคิดผมนั้นไปโจมตีทางคณะกรรมการเขาหรือใคร. ที่พยายามจับเเพะชนเเกะเเล้วโยงกันไปทั่วเพื่อหาเรื่องด่าใครเขา แบบนี้ผมว่ามันออกจะดูมั่วๆไปซักนิดนะครับ เพราะผมก็บอกไปแล้วเน้นไปเเล้ว ว่า มันเป็นความเชื่อโดยส่วนตัวผม และผมก็ไม่เคยบอกว่าความเชื่อผมมันถูกมันเป็นศูนย์กลางของโลกนี้นะครับ แต่ผมก็เพียงเเสดงความคิดเห็นไปตามความคิดผมเท่านั้น ซึ่งมันก็เป็นสิทธิ์ที่ผมจะคิดมิใช่หรือ  เเละก็เฉกเช่นกันคุณๆก็มีสิทธิ์ที่จะเห็นต่างจากผม แต่ผมว่าการที่ใครจะเอาความคิดผมไปโยงหาเรื่องด่าใคร ผมว่ามันไม่เหมาะสมเเละออกะดูมั่วๆไปซักนิด.. ขอชี้เเจง จากคุณ : An.mkII เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 21:31:38

ความคิดเห็นที่ 59   กระทรวงลองให้เต็มๆสักทีเถอะอยากรู้เหมือนกันว่าจะทำได้ดีแค่ไหน คิดว่าจากนี้ต่อไปคงมาอีกเป็นระลอก ออ ส่วนตัวก็ไม่ได้ปลื้มหนังท่านมุ้ยเป็นพิเศษหรอกนะ แต่ชักรำคาญพ่อ ผกก ปาล์มทอง จากคุณ : กิ้งก่าได้ทอง เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 21:41:09 A:115.67.112.61 X: TicketID:254250

ความคิดเห็นที่ 60 วงการภาพยนตร์ก็น่าจะมีกลุ่มมาเฟียเหมือนกันนะ... วงการภาพยนตร์ต่างประเทศ...เราก็คิดว่ามี! แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 53 22:16:16 จากคุณ : ruralcrue เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 22:15:01

ความคิดเห็นที่ 61 โทษนะครับ คุณ An.mkII ถ้าคุณคิดแบบนี้ ผมว่าคุณออกจะแนวขอแถมากกว่านะครับ คุณปฎิเสธไม่ได้หรอกนะครับว่าคุณกำลังแสดงความคิดเห็นในมุมมองของคุณ กับการจิกกัดผู้กำกับคนหนึ่งที่เค้าออกมาตีโพยตีพายเรียกร้องสิทธิ์ ด้วยการบอกว่า เวลาคนเขาด่าเจ้ย ก็บอกว่านิสัยไม่ดีไปเเขวะเขา   เเต่ตอนนี้ก็ดัีนไปเเขวะเขาว่าเป็นมาเฟีย อ้อ แบบนี้หรือนิสัยดีๆเขากระทำกันเเบบนี้.. (ณ ตอนนี้คุณกำลังแขวะเค้าอยู่เช่นกันด้วยอคติ) ปล. เจ้ยจะสร้างหนังให้ใครดูผมไม่่รู้  เเต่ผมคาดโดน"ความเชื่อส่วนตัวว่า" หนังประวัติศาสตร์ที่เจ้ยเเขวะ  ที่ผมก็คิดว่าใช่  น่าจะมีคนอยากดูมากกว่าหนังของเจ้ย ( ณ ตรงนี้ คุณพูดให้เกิดการเปรียบเทียบ เมื่อดูบริบทจากเนื้อความกระทู้ คุณกำลังหมายความเป็นนัยยะว่า เห็นด้วย ที่หนังประวัติศาสตร์สมควรได้งบ เพราะคาดว่าน่าจะมีคนอยากดูมากกว่าหนังของคุณเจ้ยยย ) ในขณะที่ความเห็นอื่นๆ เค้าก็บอกให้ฟังถึงความเป็นจริงต่างๆ ว่ามันก็เป็นสิทธิ์ของเค้าที่จะกระทำได้  คุณก็น่าจะยอมรับว่าคุณได้พลาดที่จะแสดงความเห็นในเชิงให้เกิดการเปรียบเทียบระหว่างหนังสองเรื่อง ซึ่งแน่นอนมันก็ต้องวัดกันที่เหตุผลที่สมควร แต่การที่คุณมาอ้างสิทธิ์ ว่าชาวบ้านเค้าเอาความคิดใครไปโยงด่าใครต่อใครจากความคิดเห็นส่วนตัวของคุณนั้น ผมว่าประเด็นมันคนละเรื่องกันครับ เค้าไม่ได้อ้างหรอกครับ แต่เกิดการแตกประเด็นจากการยกมาเปรียบเทียบของคุณมากกว่า  อันที่จริงเค้ากำลังตำหนิ ความคิดแขวะของคุณอยู่ต่างหาก (ขอโทษที่พูดตรงๆ) ผมว่ายอมรับไปเหอะครับ ว่าผิด แล้วกลับไปอ่านความเห็นข้างบนดีๆ คุณก็จะจับประเด็นได้ว่า การสร้างหนังในแนวทางใหม่ (อาจจะไม่ใช่หนังกระแส หนังตลาด) จะก่อให้เกิดการพัฒนาของระดับทางรสนิยม และสติปัญญาได้ ยิ่งไปกว่านั้น คุณเจ้ยเค้ากำลังเรียกร้องให้รัฐควรจะให้ความสำัคัญและสนับสนุนให้เกิดผู้สร้างหนังหน้าใหม่ๆ อย่างเป็นรูปธรรม (นั่นคือการจัดสรรเงินทุนให้ยุติธรรมและแพร่หลาย) เพื่อให้วงการหนังพัฒนาต่อไป ไม่ใช่แนวทางที่ดำเนินอยู่ จากคุณ : kitachi (kitachi) เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 22:25:45

ความคิดเห็นที่ 62   ถ่อมตัวหน่อยก็ดีนะ หนังที่ไม่มีคนดู มันเป็นหนังดียังไง ทำหนังประกวดเป็นอาชีพ ดูไม่ดูกรูไม่สน จากคุณ : งงทั้งงาน..อะไรฟะ เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 23:13:34 A:115.87.74.160 X: TicketID:256834

ความคิดเห็นที่ 63 พี่เจ้ยเขาไม่ได้เรียกร้อง 'เพื่อตัวเอง' แต่เพื่อ 'วงการหนังไทย' ทั้งหมดครับ มีอย่างที่ไหน จัดทุนให้หนังเรื่องเดียวกว่า 50% ทั้งๆ ที่เป็นหนังเก็งกำไรอยู่แล้ว และที่พี่เจ้ยโวย ก็โวยคณะกรรมการตัดสิน มิได้โวยตัวหนังที่ได้สิทธ์พิเศษแต่อย่างไร จากคุณ : Merlinz เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 53 01:02:14

ความคิดเห็นที่ 64 เห็นด้วยกับคุณเจ้ย จากคุณ : วี เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 53 01:23:44

ความคิดเห็นที่ 65 . พี่เจ้ย แกตั้งใจมาตั้งแต่ก่อตั้ง kice the machine แล้วนิ ครับ ว่าอยากให้ผู้กำกับรุ่นใหม่เกิดขึ้นมากๆ และวงการ หนังไทยเดินหน้าไปได้สู่สากล จำได้ตอนที่พี่เจ้ยตั้งเวป kice the machine ขึ้นมา ก็รวบรวมหนังสั้นของรุ่นน้องทั้ง ที่เรียนฟิลม์และไม่เรียนฟิลม์เอาไว้ เพื่อเอาไปเสนอให้เวที โลกได้ดูกันเสมอ เป็นความตั้งใจของพี่เขาตั้งนานแล้ว วันนี้เป็นโอกาสที่ดี ที่รัฐบาลให้การสนับสนุนใน "งบ ประมาณ" เพื่อให้นักทำหนังรุ่นใหม่ๆเกิดขึ้นมา และเป็น ช่องทางที่จะพัฒนาวงการไปได้ไกลสู่เวทีโลก ซึ่งเรื่องนี้ ผมขอชื่นชม ในแนวทางนี้ ของรัฐบาลครับ ผมขอสนับ สนุน...สุดตัว ซึ่งมาถึงตรงนี้ เราก็น่าจะเห็นชัดแล้วว่า ทั้ง 2 ฝ่าย(รัฐบาล และ พี่เจ้ย) มีความหวังดีต่อวงการหนังไทยของเรา เพียง แต่ยังมีแค่บางประเด็นเท่านั้น ที่ก็ต้องมาคุยกัน "ประเด็น" ตกมาที่หนังของท่านมุ้ย ซึ่งถ้ามองกัน ถึงความใหญ่โต ของตัวหนังแล้วนั้น "มหากาฬ" มาก จึงตามมาด้วยทุน สร้างที่ "มหากาฬ" ด้วยเช่นกัน ปัญหาจึงเกิดขึ้นตามที่พี่ เจ้ย ตั้งขอสังเกต ว่างบกว่าร้อยล้าน จะทุ่มไปให้ "นเรศวร" จริงๆหรือ หากนำมาแยกย่อย อาจนำไปสู่การเกิดขึ้นของ "นักทำหนังหน้าใหม่" อีกมากมาย ซึ่งก็เป็นความ ตั้งใจ ของพี่เขามาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ส่วนรวมล้วนๆ และมามองทางด้านภาครัฐ เจตนาก็อยากให้มีหนังที่ เทิดทูนไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตรย์ไทย และหนัง "นเรศวร" ก็ตอบโจทย์ในข้อนี้ รัฐบาลจึงเลือกให้การสนับ สนุน มาถึงตรงนี้ผมก็ยังไม่เห็นว่า จะมีใครเจตนาร้าย ต่อ "ประโยชน์" ส่วนรวมของประเทศเลยครับ หนังสูตรสำเร็จ(นเรศวร)กับหนังทางเลือกใหม่(หนัง เฮ้าท์)ทั้ง 2 ควรจะมีอยู่ในโรงภาพยนตร์ให้คนดูได้เลือก เสพครับ เพียงแต่ ความแตกต่างของงบประมาณ มันอาจดูเหลื่อม ล้ำ กันมากไปนิด (100 - 10 ล้าน) ก็ค่อยๆคุยกันไปครับ แต่อย่าให้ถึงกับเดินต่อกันไม่ได้เลย เสียความตั้งใจของ ทั้ง 2 ฝ่ายเปล่าๆ ขอให้เกิดขึ้นให้ได้ครับ แนวทางนี้... "ผมเชียร์" จากคุณ : Milan Sheva เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 53 02:01:02

ความคิดเห็นที่ 66 เข้าใจเหตุผลของทั้งคู่เลยครับ อยากหันหน้าคุยกันมากกว่าที่จะมาตั้งแง่กันครับ อย่าลืมว่ามันเป็นปีแรกที่เริ่มอะครับ มันยังไม่ลงตัวหรอกครับ ค่อย ๆปรับกันไป - ฝ่ายรัฐ ก็ต้องกลับมาทบทวนข้อโต้แย้ง และปรับเปลี่ยนแบบแผนให้เหมาะสม เพราะหลาย ๆอย่างก็ไม่มีเกณฑ์ที่ชัดเจนอย่างที่เจ้ย/มานิตว่ามาครับ อาจระงับทุนไปก่อนก็ได้ถ้ามันไม่เป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ (อาจใช้การลงคะแนนโหวตจากผู้เกี่ยวข้อง) - ฝ่ายเจ้ย-มานิต ก็ควรลดอัตตาลงบ้าง ควรมองที่ภาพรวมมากกว่า ไม่ใช่จะมาดึงดันแค่เรื่องเดียว เพราะอย่าลืมว่าเงินสนับสนุนมันเป็นคนละส่วนคนละองค์กรกัน     (ลองดูอย่าง เกษตรกร ,นักศึกษา ,นักกีฬา ,โครงการวิจัยต่าง ๆ  ฯลฯ ก็มีหลายคน/โครงการ ที่ได้รับการสนับสนุนจากหลาย ๆองค์กรของรัฐเพื่อการพาณิชย์เหมือนกันอะครับ) - อีกอย่างมันจริงหรือที่ว่า หนังเรื่องนี้ เป็นหนังเน้นเชิงพาณิชย์เป็นหลัก ผมมองว่าคุณค่าของมันมีอีกหลากหลายครับ ทางด้านประวิติศาสตร์ ,ศิลปะต่าง ๆในยุคนั้น ,ประเพณีวัฒนธรรม ฯลฯ (ส่วนตัวกลับมองว่าเรื่องนี้ไม่ตอบโจทย์เชิงพาณิชย์ด้วยซ้ำอะครับ ผมดูแล้วเหมือนดูซีรีย์มากกว่าภาพยนตร์อะเน้อ) และที่สำคัญ อย่าลืมว่ายังมีอีกหลาย ๆคนหลาย ๆส่วน ที่อาจมองว่างบประมาณตั้ง 200 ล้าน น่าจะเอาไปทำประโยชน์อื่น ๆดีกว่าที่จะมาให้เปล่ากับเรื่องอย่างนี้ก็น่าจะมีอีกเยอะนะครับ สุดท้าย ถ้าความขัดแย้งมันบานปลาย หรือตกลงกันไม่ได้จริง ๆ ผมเสนอว่า รัฐสนับสนุนเป็นเงินกู้ปลอดดอกเบี้ย/ดอกเบี้ยต่ำ เหมือนพวกกองทุนหมู่บ้าน ,กองทุนกู้ยืมเรียน ,ธกส.  ฯลฯ อะไรพวกนี้แทนน่าจะง่ายกว่ากันเยอะครับ หมดข้อครหาไปหลายเรื่องด้วยครับ รอให้วงการภาพยนตร์บ้านเราเติบโตหลากหลายกว่านี้ก่อน (ทั้งคนดูและผู้สร้าง) แล้วค่อยกลับมาว่ากันใหม่น่าจะดีกว่าครับ จากคุณ : Ethan_Ko เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 53 04:42:33

ความคิดเห็นที่ 67   ผมว่าเจ้ยควรทำหนังสเกลใหญ่ๆดูนะครับ แล้วยื่นขอทุน เอาโปรดักชั่นอลังการซักสองร้อยล้าน ถ้าได้มาแค่สองล้าน ใช่ครับ ถึงตอนนั้นมันก็จะเป็นเรื่องซับซ้อนและยากที่จะอธิบายจริงๆครับ แต่นี่มันไม่ใช่อะเจ้ย(ทำเสียงแบบแหยมด้วยนะครับ) ห่วงนักทำหนังหน้าใหม่ๆนี่ดีครับ แต่ไม่ต้องมาไฟท์กับกระทรวงเพื่อให้เงินมันกระจายหรอกครับ เด๋วนักทำหนังหน้าใหม่จะมัวแต่คิดว่าต้องพึ่งกระทรวง โอกาสให้ไปหากันเองครับ เพราะถ้าเก่งจริงก็ต้องถีบตัวเองขึ้นมาได้ มีความพยายาม แล้วก็สง่างามแบบเจ้ยตอนนี้น่ะครับ จากคุณ : Wilmersdorfer เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 53 08:25:00

ความคิดเห็นที่ 68   หนังสเกลใหญ่ สเกลเล็ก ไม่ใช่ประเด็นหลักในการให้ทุนสนับสนุน ในอัตราส่วนที่เหลื่อมล้ำมหาศาลอย่างนั้น ถ้าเอาสเกลของหนังมาเป็นตัวกำหนดจำนวนเงินสนับสนุน แล้วหนังสเกลใหญ่จะได้เงินในอัตราส่วนที่มากกว่าหลายเท่าตัว.............ผู้สร้างหนังหลายคนคงเสนอตัวทำหนังสเกลใหญ่จะเยอะมากแน่ๆ เพราะรัฐให้ความสำคัญและเม็ดเงินมากกว่า จากคุณ : นะ เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 53 11:09:25 A:58.136.98.23 X: TicketID:162223

ความคิดเห็นที่ 69 อย่าไปมัวแต่คิดกันที่ปลายเหตุเลยครับ ต้นเหตุคือ รัฐบาลใช้เงินไม่เป็น แต่เรื่องกู้น่ะถนัด กู้มาแล้วใช้มันสเปะไปหมดและรีบร้อนแบบลวกๆ รู้ครับว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ไปกระตุ้นเฉพาะที่ ไม่กระจาย ก็แค่เรื่องหนังที่เราพูดกันอยู่นี่ก็กระจุกแล้วครับ คนที่ได้ประโยชน์จากการใช้เงินของรัฐบาลนี้ก็เลยมีเป็นกระจุก (ใครกัน) พวกคุณไม่ได้รับผลไม่รู้ซึ้งหรอกครับ จากคุณ : Try2Brightman เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 53 11:52:25

ความคิดเห็นที่ 70 ผมว่าไม่ควรให้งบเกิน50%ของแต่ละเรื่องด้วยซ้ำไป จากคุณ : F-MISSILE เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 53 12:57:24

ความคิดเห็นที่ 71 ไปด่าคุณเจ้ยทำไม  นี่แหละตัวจริงเสียงจริง ที่สนับสนุนวงการหนังของไทยให้เจริญก้าวหน้าขึ้นได้ในอนาคต พวกที่ด่าๆเค้าเนี่ย คิดหรือว่า ถ้าวันนึงตัวเองได้ลงทุนสร้างหนัง จะไม่ได้ไต่เต้าจากหนังทุนเล็กๆ แต่กระโดดไปหนังประมาณ นเรศวรเลย จากคุณ : หวานตาลเฉาะ เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 53 15:51:10

ความคิดเห็นที่ 72 หั่นงบฯ "นเรศวร" จาก 100 ล้าน เหลือ 46 ล้าน เตรียมจัดสรรเงินที่ถูกปรับลดให้หนังพลาดโอกาส จากคุณ : Milan Sheva เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 53 20:48:41

ความคิดเห็นที่ 73 คุณเจ้ย พิสูจน์ตัวเองแล้วในระดับหนึ่ง.. แต่ท่านมุ้ย พิสูจน์มาตัวเองมาแล้วตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ของผมยังเป็นเด็ก.. ผมยังไม่เคยดูหนังของเจ้ย แต่ผมดูสุริโยทัย และนเรศวรแล้ว... เลยไม่รู้จะตัดสินใจว่าเรื่องไหนดีกว่ากัน.. ถึงดูหนังของเจ้ย ผมก็ไม่อาจเอื้อมไปตัดสิน เพราะ การยกเอาตัวเองเป็นกลุ่มประชากร มันเป็นเผด็จการเกินไป... ถ้าผมสรุปว่า หนังของท่านมุ้ย สมควรได้ทุนมากกว่า เพราะ กลุ่มประชากรที่ดูหนังท่านมุ้ย มีมากกว่า ไม่ทราบว่า ท่านอื่นจะว่าประการใด... ขอให้มองตรรกะตรงนี้... ยกตัวอย่างเช่น ผมบอกว่า ผมนี่แหละ เก่งคณิตขั้นเทพ รัฐบาลต้องส่งผมไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่พอ รัฐบาลไม่ให้ผมไป โดนผมมีใบรับรองจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ว่าผมจบมาได้เกรด 4.00 ผมก็ตีโพยตีพายว่าไม่ยุติธรรม......   เป็นเช่นนั้นหรือ..... ในทางกลับกัน คนที่เก่งคณิตอาจจะเก่งมากกว่าหรือน้อยกว่าหรือเท่ากับผม แต่ทำงานในระดับหัวกะทิของกระทรวงเทคโนโลยี ซึ่งมีความพร้อมที่จะกลับมาทำงานเพื่อรับใช้รัฐ ควรหรือไม่ที่จะได้รับการส่งเสริมมากกว่าผม... คิดซักนิด... อาจอ่านแล้ว งงๆ แต่ พยายามอธิบาย หวังว่า คงเข้าใจประเด็นของผมครับ จากคุณ : zenzen เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 53 20:56:28

ความคิดเห็นที่ 74 ปล. ถ้ารัฐช่วยเหลือในความเก่งของผมให้ได้ทุน แทนที่จะไป ยุโรป หรือ อเมริกา แต่ไปเรียนอินเดีย โอเค ผมยอม... ในฐานะที่ ผมเป็นคนที่พร้อมจะพิสูจน์ตัวเองเมื่อได้เรียนจบกลับมา... จากคุณ : zenzen เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 53 21:01:54

ความคิดเห็นที่ 75   เห็นด้วยทีควรแบ่งงบประมาณ ให้ผู้กำกับหน้าใหม่(ได้เกิดบ้าง)ไม่ใช่ทุ่มให้กับหนัง(ที่รู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ไม่มีทางเจ๊งแน่นอน) เพียงเรื่องเดียว ปล.ส่วนตัวผมชอบหนังท่านมุ้ยสมัยก่อนๆมากกว่านะ (เขาชื่อกานต์ ครูสมศรีฯ) แม้ว่าฉากเฉิกจะไม่อู้ฟู่แบบหนังท่านมุ้ยในปัจจุบัน แต่ตัวหนังสามารถสื่อสารกับผู้ชมอย่างตรงไปตรงมา้ และดูเป็นธรรมชาติกว่า จากคุณ : เดาเอาเอง เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 53 23:36:46 A:124.122.246.171 X: TicketID:254111

ความคิดเห็นที่ 76 หนังท่านมุ้ยสมัยก่อนดีกว่าหนังปัจจุบันเยอะแยะครับ จากคุณ : หัตถาครองพิภพ เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 53 02:53:45

ความคิดเห็นที่ 77 การทำหนังศิลปะที่มีสไตล์เป็นของตนเอง แต่กลับตีความว่าไม่ได้ทำหนังให้คนไทยดู? อย่างน้อยสิ่งที่คุณเจ้ยทำ ก็เป็นแรงบันดาลใจให้เด็กรุ่นใหม่ๆได้มากมาย ได้ข่าวมาว่า คุณเจ้ยต้องจ่ายเองทั้งหมดสำหรับค่าใช้จ่ายในการไปคานส์ ในขณะที่โควต้าที่กระทรวงได้รับมาจากคณะผู้จัดงานทุกปี ถูกนำไปให้แต่บรรดาพี่เบิ้มในวงการอาทิสหมงคลฟิลม์ฯลฯ อยากรู้ว่าในที่สุดโควต้าเหล่านั้นมีชื่อใครได้ไปมั่ง? จากคุณ : adidasist เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 53 07:27:06

ความคิดเห็นที่ 78 อยากเห็นท่าน cinephile ออกมาวิจารณ์ และ ยินดีกับเจ้ยครับ และวิจารณ์งานตัวเองด้วยว่า จุดหมายการทำหนังของตัวเองเพื่ออะไร ทำเอาคนดูบันเทิง หรือทำเอารางวัล ทำเพื่ออะไรก็แล้วแต่ ไปถึงจุดหมายหรือยัง ถ้ายังทำไมถึงยังไปไม่ถึง แล้วพูดถึงเรื่องเงินอุดหนุนด้วยก็จะดี ยิ่งถ้ามี spirit ผมว่าคืนเขาไปบางส่วนจะดีกว่า เพราะตอนที่ผมจ่ายภาษีไปนั้น ไม่ได้มีเจตนาที่อยากจะอุดหนุน หนังพีเรียด ที่กระเดียดออกไปเป็น พรอพากานดา อย่างหนังของท่าน แม้แต่น้อยเลยครับ จากคุณ : GSP1 เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 53 13:36:52

ความคิดเห็นที่ 79 หนังใครอ่า จากคุณ : masternui0 เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 53 16:40:08

ความคิดเห็นที่ 80 ทำเพื่อตัวเอง เพื่อพรรคพวกตัวเอง....    กับ ทำเพื่อส่วนรวมมาสามสิบกว่าปี  ทำเพื่ออนาคตของเด็กรุ่นหลัง... คิดกันเองละกัน...  !? จากคุณ : ฟาฬ เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 53 10:39:48

ความคิดเห็นที่ 81   ^ ^ ทำคนเดียวหรอ คนอื่นเค้าไม่ได้ทำเลยใช่ไหม แหมทวงบุญคุณ เอ๊ะตั้งแต่เกิดก็ไม่เคยดูหนังฟรีนะ จากคุณ : Simply.Thought เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 53 22:06:11

ความคิดเห็นที่ 82 ไม่มีใครทำคนเดียวหรอกครับ  ผมแค่ขอให้พิจารณาตามที่บอก ทำเพื่อตัวเอง และพวกของตัวเองในวันนี้ปัจจุบันนี้ โดยไม่ได้มองไปถึงองค์รวม อนาคตของเด็กรุ่นหลัง... แล้วไม่มีใครกล้าไปทวงบุญคุณอะไรกับคุณหรอกครับ ไม่ได้มีบุญมีคุณกันมาขนาดนั้น แค่ขอให้ใช้สมองพิจารณาบ้าง เท่านั้น ส่วนผลจะออกมาเป็นยังไง ผมเชื่อว่า คนสร้างคงไม่สนแล้วหรอกครับ  ขอตังค์มาสามสิบกว่าปี   จนถึงบัดนี้ ยังไม่ได้เห็นตัวเงินสักบาท จากคุณ : ฟาฬ เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 53 09:21:59

ความคิดเห็นที่ 83 วงการนี้ไม่มีกระจก หรือยังไง ลงทุนเพื่อเอากล่อง หรือลงทุนเพื่อเอากำไร ชอบเป้ย ครับ :D จากคุณ : Moviegangs เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 53 18:15:31