 |
The Good, the Bad, and the Ugly ... ดูแล้วอยากแชร์ความรู้สึก(ฉบับสุขสันต์วันเกิดปู่ Clint)
|
|
ด้วยความที่วันนี้ วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคมเป็นวันเกิดของปู่ Clint Eastwood นักแสดงรุ่นเก๋า ปูชนียบุคคลแห่งวงการฮอลลีวู้ดขวัญใจใครหลายๆคนที่ตอนนี้อายุครบ80ปีพอดีเป๊ะแล้วครับ
(เพิ่งรู้จากกระทู้นี้ >>> http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A9311702/A9311702.html ขอบคุณคุณ Huapor Deknarok มากครับ)
จึงขอเขียนถึงหนังเรื่องซักหน่อย เป็นการรำลึก...
The Good, the Bad, and the Ugly (ขอเรียกสั้นๆว่า GBU) คือหนังคาวบอยที่ผมชอบที่สุดตลอดกาลครับ และยังควบตำแหน่งหนังของปู่ Clint Eastwood (ในฐานะนักแสดง)ที่ผมชอบที่สุดอีกด้วย(ถ้าในฐานะผกก. ผมชอบ Unforgiven มากที่สุด)
GBU เป็นผลงานการกำกับของ Sergio Leone ผกก.ระดับตำนานชาวอิตาเลี่ยน เจ้าของผลงานหนังคาวบอยสปาเก็ตตี้มากมาย(เช่นไตรภาค The Dollars Trilogy (A Fistful of Dollars ,For a Few Dollars More, GBU), Once Upon a Time in the West ฯลฯ) และหนังแก๊งสเตอร์ระดับมาสเตอร์พีซที่ได้ Robert De Niro มาแสดงนำอย่าง Once Upon a Time in America
ซึ่ง GBU เป็นหนังภาคที่สามจากไตรภาคหนังคาวบอยสปาเก็ตตี้ (The Dollars Trilogy) ที่มีปู่ Clint Eastwood แสดงนำ (ความจริงแล้วเนื้อเรื่องของหนังแต่ละภาคไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใดหรอกครับ เพียงแต่มีตัวเอกเป็นคาวบอยนิรนามที่แสดงโดยปู่ Clint Eastwood เหมือนกัน,ผกก.คนเดียวกันก็เท่านั้น)
เนื้อเรื่องของ GBU ว่าด้วยเรื่องของชายสามคนที่ออกตามล่าขุมทองท่ามกลางสมรภูมิของสงครามกลางเมืองสหรัฐ
โดยทั้งสามคนมีชายคนหนึ่งเป็นคาวบอยนิรนามผู้มีฝีมือการยิงปืนแม่นราวจับวาง (Clint Eastwood) อีกคนหนึ่งเป็นโจรกระจอกผู้ไม่สนใจสิ่งใดทั้งนั้นนอกจากการตามหาขุมทอง (Eli Wallace) และอีกคนหนึ่งเป็นนักล่าค่าหัวผู้โหดเหี้ยมที่ต้องการเก็บอีกสองคนนั้นแล้วฮุบทองคำทั้งหมดเอาไว้คนเดียว (Lee Van Cleef)
พวกเขาจะต้องเจอกับอะไรบ้าง? และสุดท้ายใครจะได้ขุมทรัพย์อันมหาศาลนี้ไปครอบครอง? ติดตามต่อได้ใน "ไอ้เก่ง(The Good,) ไอ้เลว(the Bad,) และไอ้อัปลักษณ์(and the Ugly)"...
ในส่วนของนักแสดง เริ่มด้วยพระเอกของเรื่อง ปู่ Clint Eastwood สมัยยังหนุ่มฟ้อ(แต่อาจจะไม่หล่อเฟี้ยว)ในบทคาวบอยนิรนาม
สั้นๆง่ายๆเลย...ปู่ Clint ก็ยังคงเป็นปู่ Clint อยู่วันยันค่ำ(เหมือนที่ Jim Carrey ก็ยังคงเป็น Jim Carrey หรือ Arnold Swarzenegger ก็ยังคงเป็น Arnold Swarzenegger)
คือสมัยยังหนุ่มๆ ปู่ Clint แกไม่ว่าจะเล่นเรื่องไหนก็แอ็คติ้งเหมือนกันไปหมดน่ะแหละครับ คือเน้นขายความเท่อย่างเดียว การแสดงอารมณ์อิริยาบถอื่นๆไม่จำเป็น(ถ้าเป็นสมัยนี้คงหาว่าแกเล่นแข็งไม่ก็ขี้เก๊กอ่ะนะ แต่ก็เพราะอย่างนี้แหละที่ทำให้ปู่แกเจ๋ง) กับ GBU ก็เหมือนกัน แค่ปู่แกยืนสูบซิการ์เฉยๆออร่าความเท่ก็ฟุ้งกระจายแล้วครับ
Lee Van Cleef ในบทตัวร้ายของเรื่อง Angel Eyes แม้จะเป็นคนที่บทน้อยที่สุดในบรรดานักแสดงนำทั้งสามคน แต่ปู่แกก็เล่นดีไม่แพ้อีกสองคนนั้นหรอกครับ ดูแค่หน้าอย่างเดียวก็รู้แล้วว่าตัวร้ายชัดๆ
สาเหตุที่ผมชมว่าเล่นดีอีกอย่างนึงก็เพราะว่าปู่ Cleef แกเคยรับบทเป็นตัวละครผู้พันคนดีมาก่อนในหนังคาวบอยสปาเก็ตตี้ภาคสอง (For a Few Dollars More) พอได้มาเล่นเรื่องนี้ปู่แกกลับพลิกบทเป็นตัวร้ายได้อย่างสนิทใจ มาดคนดีในภาคที่แล้วไม่มีเหลือ เลยชมไงครับ(ใครเคยดูทั้งสองเรื่องลองเอามาเปรียบเทียบกันดูสิครับ หยั่งกะเป็นคนละคนกัน)
และคนสุดท้าย...คนที่เด่นที่สุดในเรื่อง(เด่นกว่าปู่ Clint อีก ขอบอก) และเป็นคนที่(ผมว่า)เล่นดีที่สุดในเรื่อง และเป็นตัวขโมยซีนของจริงของเรื่อง... Eli Wallach ในบทไอ้โจรกระจอก Tuco
หากไม่เว่อร์เกิน ผมคิดว่าปู่ Wallach แกสมควรได้ออสการ์จากบทบาทการแสดงในเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ ปู่แกเล่นได้กวนตรีนมวากกกกกก~ เป็นตัวขโมยซีนคนแรกๆของวงการเลยก็ว่าได้(เหมือนที่ปู่ Clint เป็น Anti-Hero คนแรกๆของวงการ)
ถ้าใครดูเรื่องนี้แล้วไม่ชอบหรือไม่ประทับใจในความกวนของปู่ Wallach นะ ผมจะ...ยอมแพ้ ไม่รู้จะโน้มน้าวใจยังไงแล้ว( )
นอกจากสามนักแสดงนำแมนๆเท่ๆชั่วๆ(และกวนๆ)กับผกก.ที่การันตีคุณภาพงานได้แล้ว ดนตรีประกอบก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เกื้อหนุนและส่งให้ GBU เป็นหนังคลาสสิกขึ้นหิ้งมาจนถึงทุกวันนี้
ดนตรีประกอบ(ซาวด์แทร็ค)ของ GBU แต่งโดย Ennio Morricone นักประพันธ์เพลงผู้แต่งดนตรีประกอบหนังเรื่องต่างๆมามากกว่า500เรื่อง!!(จริงๆ) ผลงานของเขาที่หลายๆคนน่าจะคุ้นหูมากที่สุดคงเป็นดนตรีประกอบหนังเรื่อง Cinema Paradiso
แต่สำหรับผม ผลงานของเขาที่ผมชอบที่สุดก็ต้อง แน่นอน...ดนตรีประกอบของ GBU นั่นเอง(อืม...แต่จะว่าไป ทำนอ'ของเพลงนี้ก็เป็นที่รู้จักกันอยู่นี่นา? โดยเฉพาะท่อน"แอ~แอ้~แอ~แอ้~แอ~~~~"น่ะ)
ด้วยความที่หนังเรื่องนี้เป็นหนังคาวบอยสปาเก็ตตี้ที่ทุนหนาที่สุดในบรรดาทั้งสามภาค ผกก. Leone จึงเนรมิตฉากการรบระหว่างกองทัพฝ่ายเหนือ-ฝ่ายใต้ได้อย่างอลังการงานสร้าง(สำหรับสมัยนั้น) นอกจากฉากรบที่ว่ามา GBU ก็มีฉากอื่นๆอีกมากมายที่โดดเด่นเป็นที่จดจำของแฟนนานุแฟนหนัง
เช่นฉาก"จะยิงก็ยิง อย่าเอาแต่พล่าม"(ที่ยังมีการหยิบเอามาล้อเลียนหรือเลียนแบบกันจนถึงทุกวันนี้),ฉากระเบิดสะพาน,ฉากที่คาวบอยนิรนามยื้นซิการ์ให้นายทหารที่ใกล้ตายได้สูบ(เป็นฉากที่ผมชอบที่สุดในเรื่อง ปู่ Clint แมนโคตรและโคตรแมน),ฉากที่ Tuco วิ่งหาป้ายหลุมศพที่เป็นที่ซ้อนขุมทอง,ฉากดวลปืนกลางสุสาน เป็นต้น
สารสาระของ GBU โดยส่วนตัวแล้วผมพอจะตีความ(เข้าข้างตัวเอง)ได้ว่าเป็นเรื่องของผู้คนที่แก่งแย่งชิงดีกันในยุคสมัยแห่งโกลาหลไม่ต่างอะไรกับยุคปัจจุบันนี้ที่เป็นยุคทุนนิยมครองเมือง(ตอนที่หนังเรื่องนี้เข้าฉายใหม่ๆในปีค.ศ. 1966 คงยังไม่มีใครตีความแบบนี้เพราะสังคมทุนนิยมสมัยนั้นยังไม่เข้มเท่าสมัยนี้),
เรื่องของความโลภของมนุษย์ที่บางครั้งคนเรายอมทำทุกอย่างเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์(เช่นเพื่ออำนาจ,เพื่อเงิน),สารสาระว่าด้วยการต่อต้านสงครามที่ตัวหนังพยายามบ่งบอกคนดูอยู่ผ่านฉากต่างๆ(อย่างที่บอก GBU ดำเนินเรื่องในช่วงยุคสงครามกลางเมืองสหรัฐ)ตลอดทั้งเรื่องว่า"สงครามเป็นเพียงแค่เรื่องไร้สาระ"
แนะนำให้ลองไปอ่านในบล็อกของท่านนี้ดูครับ >>> http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pap-faize&month=04-2007&date=24&group=1&gblog=15 วิเคราะห์ตรงส่วนสารสาระของหนังได้ละเอียดใช้ได้เลยทีเดียว
โอ้ย...เหนื่อย พิมพ์จนมึนไปหมดแล้ว *-*
สุดท้ายนี้ GBU คือหนังคาวบอยระดับตำนานที่คนที่ชอบดูหนังแนวนี้,ชอบดูหนังคลาสสิก,ชอบปู่ Clint ควรหามาดูสักครั้งครับ
หนังได้คะแนน 9.0/10 และติดอันดับที่ 4 จาก 250 หนังที่ได้รับคะแนนโหวตสูงที่สุดของเว็บ IMDb (เป็นรองแค่ The Shawshank Redemption กับ The Godfather ทั้งสองภาค) และยังได้รับการยกย่องจาก(เฮีย)ผกก. Quentin Tarantino ว่า"เป็นหนังที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างมา"
แล้วคุณล่ะครับ? รู้สึกยังไงกับหนังเรื่องนี้บ้าง? หลังจากผมแชร์จนหมดเปลือกหมดไส้หมดพุงไปแล้ว *-* คุณๆท่านๆก็เข้ามาแชร์กันบ้างสิครับ...
แก้ไขเมื่อ 01 มิ.ย. 53 08:34:14
แก้ไขเมื่อ 31 พ.ค. 53 19:15:10
แก้ไขเมื่อ 31 พ.ค. 53 19:12:49
แก้ไขเมื่อ 31 พ.ค. 53 16:04:23
แก้ไขเมื่อ 31 พ.ค. 53 15:57:24
จากคุณ |
:
Apple101
|
เขียนเมื่อ |
:
31 พ.ค. 53 14:39:45
|
|
|
|  |