 |
ความคิดเห็นที่ 19 |
|
ของผมคงมีดังนี้ครับ
5. War of The World (2005), จำได้ว่าตอนออกฉาย มีทั้งกระแสที่เกลียดและชื่นชมหนังเรื่องนี้ไปพร้อมๆกัน จนกระทั่งเพื่อนผมบางคนเขายังมาทะเลาะกันก็เพราะหนังเรื่องนี้ในสมัยนั้น แต่ตัวผมคิดว่า นี่เป็นมากกว่าหนังหายนะ หรือหนังเอเลี่ยนที่เราคุ้นเคยกันทั่วไป และผมว่ามันดูแตกต่างกว่าต้นฉบับไปเยอะทีเดียว คือชอบตรงที่ หนังเน้นสถานการณ์ของกลุ่มคนที่พยายามจะเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์ที่ไม่มีใครเตรียมพร้อมว่ามันจะเกิดขึ้น มากกว่าจะเป็นหนังที่เน้นเล่าเรื่องถึงนักวิทยาศาสตร์ บุคคลสำคัญ หรือเหล่ากองกำลังทหาร ที่พยายามจะหาทางเอาชนะสิ่งลี้ลับจากโลกอื่น, เขาเป็นพ่อที่ไม่เคยรู้จักถึงหน้าที่และใช้ชีวิตอย่างผ่านไปเพียงวันๆ แต่เมื่อสถานการณ์ไม่เต็มใจมันเลยเป็นสัญญาณเตือนเขาแล้วว่า มันถึงเวลาที่จะทำหน้าที่ได้แล้ว และ หนังเน้นคนกลุ่มน้อยๆ แค่พ่อลูก 3 คน ในท่ามกลางสถานการณ์ที่โลกกำลังวุ่นวาย ผมชอบตรงที่ว่าสปิลเบิร์กพยายามจะฉีกแนวรูปแบบการทำหนังที่คนดูคุ้นเคย และพยายามแฝงอะไรบางอย่างที่นอกเหนือจากความบันเทิง
4. Catch Me If You Can (2002), ไม่เคยคิดว่า ระหว่าง ลีโอนาร์โด ดิคาร์ปิโอ และ ทอม แฮงค์ จะสามารถอยู่ในหนังเรื่องเดียวกันได้ แต่สปิลเบิร์กจำพวกเขาทั้งคู่ มาอยู่ในหนังเรื่องเดียวกันได้สำเร็จ ผมว่านี่คงเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ของลีโอให้คนส่วนใหญ่ได้รู้ให้เห็นว่า เขาไม่ใช่นักแสดงที่มีดีแค่หน้าตาอันหล่อเหลาอย่างเดียว แต่ยังเต็มไปด้วยการแสดงที่มีพลังและสามารถคุมตัวหนังได้อย่างอยู่หมัด เสียดายคือมันเป็นหนังที่ได้รับการพูดถึงน้อยตอนงานประกาศรางวัลต่างๆ ทั้งๆที่ผมคิดว่ามันเป็นหนังที่ดีทีเดียว ด้วยเรื่องราวเด็กน้อยคนนึงที่ผันตัวจากการเป็นเด็กที่เคยมีความอบอุ่น จนสุดท้ายกลายเป็นมิจฉาชีพในที่สุด มันเลยเหมือนเป็นเรื่อง "พ่อแม่รังแกฉัน" และ "แมวไล่หนู" ภายในเรื่องเดียวเลย นี่จึงเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่า สปีลเบิร์กสามารถทำหนังดราม่าดีๆออกมาไม่แพ้กับหนังที่เน้นซีจีอลังการงานสร้าง
3. A.I. (2001), ผมว่านี่อาจเป็นหนึ่งในหนังของสปีลเบิร์กที่ดูเหมือนว่าจะ "Underrated" สุดๆ เพราะว่าเป็นหนึ่งในหนังของเขาที่ปัจจุบันก็ไม่ค่อยได้ถูกรับการพูดถึงมากนักเท่าไหร่ ซึ่งก็น่าจะมาจากตอนออกฉายคนดูค่อนข้างคาดหวังมากเลยทีเดียว และเนื่องด้วยนี่เป็นหนังที่สปิลเบิร์กสร้างอุทิศเพื่อสแตนลี่ย์ ครูบริคจนไม่แปลกใจว่าทำไมคนดูถึงคาดหวังกันมากมายขนาดนั้น อย่างไรก็ตามตอนออกฉายกระแสคล้ายๆกับตอน War of The World แต่ที่ยิ่งแย่หนักไปกว่านั้น ก็คงเห็นจะเป็นการทำรายได้ของหนังเรื่องนี้ที่ดูเหมือนต่ำกว่าคาดการณ์ไว้ทีเดียว ซึ่งถึงแม้ว่าหนังไม่ทำเงินและกระแสตอบรับเหมือนไม่ค่อยดีเท่ากับหนังสปีลเบิร์กในทศวรรษ 00 เรื่องอื่นๆ แต่ผมว่าเรื่องนี้มันมีคุณค่าของมัน และสปีลเบิร์กทำได้ออกมาอย่างถูกต้องเพื่ออุทิศแก่ครูบริคจริงๆ นี่เหมือนเป็นการดัดแปลงเรื่องพินอคคิโอในรูปแบบวิทยาศาสตร์แต่ดาร์กกว่าได้อย่างลงตัว เป็นที่สะท้อนมุมมองหุ่นยนตร์ได้ออกมาอย่างลึกล้ำและเศร้าใจไปพร้อมๆกัน ที่อดจะสงสารเหล่าหุ่นยนตร์ในหนังเรื่องนี้ไม่ได้ และด้วยตอนจบที่หลายๆคนมองว่า มันมองโลกแง่ดีเกินไป ผมว่านั่นคือตอนจบที่ถูกต้องสุดและตัวสุดของหนังอ่ะครับ คือไม่ใช่ว่าผมชอบตอนจบแบบนั้น แต่ผมว่าตอนจบมันค่อนข้างรับรองกับเหตุผลทั้งหมดที่หนังได้ตั้งคำถามแก่คนดูมาก่อนหน้านั้น แล้วผมว่านี่เป็นหนังทศวรรษ 00 ของสปิลเบิร์กเรื่องเดียวที่ทำเอาซึ้งน้ำตาแตกจนพูดไม่ออกจริงๆ
2. Minority Report (2002), นี่คือหนังที่สปิลเบิร์กพยายามอย่างมากจะสร้างออกมาให้มันเป็นหนังวิทยศาสตร์อีกเรื่องที่ทำออกมาได้น่าจดจำแบบเดียวคล้ายๆกับ Blade Runner ถึงแม้ว่าตอนหนังออกฉายหนังเจอสถานการณ์แบบเดียวกับ Blade Runner เมื่อไม่ประสบความสำเร็จเรื่องรายได้นัก แต่กระนั้นทั้ง Blade Runner กับ Minority Report ก็ได้รับการถูกพูดถึงมากมายหลังจากเวลาผ่านไปหลายปี Minority Report ถือว่าเป็นหนังที่วิทยศาสตร์ที่มีความซับซ้อนสุดๆอีกเรื่องที่โลกภาพยนตร์ได้สร้างมา ด้วยประเด็นเรื่องอนาคตสามารถจับอาชญากรรมก่อเกิดเหตุการณ์จริง หรือประเด็นเรื่องจรรยาบรรณมนุษย์บางมุมได้หายไป เมื่อมีเครื่องมือมาช่วยทำให้อาชญากรรมลดน้อยไปจากสังคมมากกว่าเดิม แถมด้วยความบันเทิงของหนังที่ยังใส่ฉากแอ๊คชั่นและฉากไล่ล่าลุ้นระทึกประกอบเข้ากับเรื่องราว มันจึงงานของสปีลเบิร์กที่สร้างออกมาได้อย่างครบสูตร และไม่เพียงเท่านั้น ยังมีอะไรให้คนดูได้กลับไปคิดต่อหลังหนังจบอีกด้วย
1. Munich (2005), ผมว่านี่คือหนังหดหู่อีกเรื่องที่สปีลเบิร์กได้สร้างมานับตั้งแต่ Schindler's List เพียงแต่เรื่องนี้ไม่ได้ให้ความหวังแก่คนดูเท่าไหร่ เพราะมันพูดถึงด้านมืดของมนุษย์ที่ลึกกว่า และความจริงของการใช้ความรุนแรงของมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งสปีลเบิร์กถ่ายทอดออกมาได้ตรึงใจและหักเหความรู้สึกคนดูจนไม่เชื่อในสิ่งที่สปิลเบิร์กพยายามจะถ่ายทอดโลดแล่นออกมาเป็นหนังคนเล่นได้! ผมอึ้งกับสิ่งที่ผมเห็น กับมุมมองการมองโลกในแง่ร้ายของสปิลเบิร์กที่ไม่คิดว่าจะกล่าได้ขนาดนี้ แต่อย่างไรก็ตามความโหดร้ายในหนังสะท้อนให้คนดูได้รับรู้อย่างอยู่หมัด ถึงเรื่องอาจไม่เกิดความสันติบนโลกเรา หากใครซัดคนจะหยุดนำน้ำมันไปราดไฟ ซึ่งผมชื่นชมผลงานอันสุดทรงพลังของสปิลเบิร์กเรื่องนี้ว่า กล้า และเยี่ยมยอดที่นำเสนอออกมา แล้วยังได้ข้อคิดอะไรกลับไปอีกด้วย แถมการแสดงของ อีริค บาน่า ทำให้ตัวหนังมีพลังหนักแน่นยิ่งขึ้น และเป็นตูโรงของเรื่องได้สำเร็จ ถึงแม้ผมจะรู้มาว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เร่งการทำภายในปี 2005 เพื่อออกฉายในปลายปี 2005 แต่นี่เป็นหนึ่งในหนังที่ผมสปิลเบิร์กสร้างออกมาได้ปราณีตมากที่สุดในทศวรรษ 00
นอกนั้น: The Terminal ผมว่าตัวหนังโดยรวมดูบันเทิงดี แล้วก็การแสดงของ ทอม แฮงค์ ก็ยังเป็นสูตรสำเร็จให้หนังออกมาสมบูรณ์อีกเรื่อง แต่ผมรู้สึกว่าในบรรดาหนังสปิลเบิร์กในทศวรรษ 00 เรื่องนี้เหมือนไม่ค่อยให้อะไรกับมากเท่ากับเรื่องอื่นๆเท่าไหร่ ตัวละครในเรื่องส่วนใหญ่สร้างออกมาได้น่าใจ ภาบใต้สถานการณ์ในสถานที่อันคับแคบ แต่ดูเหมือนว่า มันเหมือนแค่ดูเพื่อความสบายเท่านั้น โดยรวมคือโอเค แต่เรื่องอื่นโดนใจกว่า และ Indy 4 ผมว่าเป็นการกลับมาของอินดี้น่าประทับใจดี แต่ก็รู้สึกว่ามันไม่หนำใจเท่าภาค 1 และ 3 เท่าไหร่นัก
http://twitter.com/Matt_McPhee รักเพื่อนบ้านเสมอ
จากคุณ |
:
McPhee มีเธอ มีฉัน มีเราตลอดไป
|
เขียนเมื่อ |
:
19 มิ.ย. 53 23:38:16
|
|
|
|
 |