'นอนเกาไข่อยู่ที่บ้านดีกว่า' : เการักที่เกาหลี/อภินันท์/วิจารณ์หนัง
|
|
ว่าจะไม่ดูก็อดใจไม่ได้ เพราะเคยเจ็บมาหลายครั้งเหลือเกินกับหนังของคุณพจน์ อานนท์ แต่สุดท้ายก็ยังไปดู ก่อนจะกลับมานั่งปลงสังเวชว่า กรูหนอกรู เจ็บแล้วไม่จำ อยู่ดีไม่ว่าดี เอาตังค์ไปทิ้งที่โรงหนังซะงั้น ใจจริงผมล่ะ อยากจะให้มีวันแบบนั้นจริงๆ เลยครับ คือวันที่เจ๊พจน์แกตื่นนอนมาตอนเช้าแล้วลืมว่าตัวเองเป็นผู้กำกับหนัง หรือไม่ก็จดจำวิธีการสร้างภาพยนตร์ไม่ได้ไปเลยยิ่งดี เพราะมันน่าจะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเซฟเงินในกระเป๋าของเราๆ ท่านๆ ได้อีกอย่างน้อยก็เกือบๆ สองร้อยบาท แต่ประทานโทษเถอะครับ ผมคิดว่าวันแบบนั้นมันคงไม่มีหรอก เพราะจริงๆ ผมว่า คุณพจน์ อานนท์ แกน่าจะเป็นคนที่ไม่คิดมาก อย่างทำหนังก็ไม่เห็นต้อง มีความคิด อะไรมากให้ยุ่งยากซับซ้อน คนที่ใช้ชีวิตแบบไม่คิดอะไรมาก ไม่ได้ใช้สมองในการครุ่นคิดอะไรมากแบบนี้ สติสตังค์หรือความจงความจำอะไร ผมว่ามันไม่น่าจะสึกหรอง่ายๆ หรอก จริงไหมครับ ยังไงก็ตาม ความจริงที่จริงยิ่งกว่าก็คือว่า คนเรานั้น ถ้าหมั่นใช้ความคิดหรือใช้สมองบ่อยๆ มันก็จะยิ่งช่วยสร้างเซลล์แห่งปัญญาไปด้วยในตัว ขณะที่คนซึ่งวันๆ ไม่คิดอะไรเลย ก็คงเป็นได้แค่บัวใต้ตมอยู่เช่นนั้น พูดแบบนี้ ไม่ได้บอกว่าเจ๊พจน์แกโง่นะครับ เพราะคนโง่ไม่มีวันทำหนังมาได้นับสิบๆ เรื่องอย่างนี้แน่นอน จริงไหม? (แต่ใครจะแย้งว่าการทำหนังไทยเดี๋ยวนี้มันไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสติปัญญาอะไรมาก นั่นก็อีกเรื่อง) และเหนืออื่นใด ที่ผมพูดมา 3-4 ย่อหน้าข้างต้น อย่าคิดว่าคุณพจน์ อานนท์ แกจะโกรธนะครับ ยังจำกันได้ไหม ครั้งหนึ่ง เคยมีคนด่าแกเสียๆ หายๆ ว่าเป็นคนทำให้หนังไทยตกต่ำ แกยังไม่แสดงโมโหโทโสตีโพยตีพายอะไรออกมาเลย ขณะเดียวกัน ก็ไม่เคยคุยโวโอ้อวดว่าหนังตัวเองดีอย่างงั้น ดีอย่างงี้ แกก็แค่สร้างงานออกมา พ้นไปจากนั้น ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนดูผู้ชมที่จะ รู้สึก อย่างไรกับมัน ผมชื่นชมคุณพจน์ อานนท์ ก็ตรงนี้แหละครับ ศิลปินที่แท้ ใช่หรือไม่ว่า ต่อให้ฟ้าจะถล่ม ดินจะทลาย หรือแม้ใครต่อใครจะ:-)เสลดถ่มน้ำลายรดผลงานของเขา เขาก็จะไม่แสดงอาการหวั่นไหวแม้เพียงปลายก้อยให้ผู้ใดได้เห็นเป็นเด็ดขาด ช่างมุ่งมั่นดีแท้ คุณพจน์ อานนท์!!! และก็คงเป็นเพราะเลือดศิลปินที่ยังคงคุโชนซึ่งมีอยู่ในตัวแกนี่มั้งครับ ที่ทำให้แกยังคงยืนหยัดผลิตภาพยนตร์ออกมาอย่างต่อเนื่อง นับถึงเรื่องนี้ เการักที่เกาหลี (ซอรี่ ซารางเฮโย) ก็เป็นเรื่องที่ 14 เข้าไปแล้ว มันคือหนังที่ทำให้ผมงุนงงสงสัยตั้งแต่แรกพบว่า ชื่อ บ้าอะไรเนี่ย ตีลังกาสามตลบแล้วเขกกะบาลตัวเองอีก 3 ครั้ง ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า คำว่า เการัก คำนี้มันมีความหมายอะไรยังไง ถ้าเกาอย่างอื่น ผมพอจะเข้าใจได้ครับ อย่างเกาหัวหรือว่าเกาขี้กลาก แต่ เการัก นี่ ผมไม่เข้าใจและเข้าไม่ถึงจริงๆ ช่างลึกล้ำจริงๆ ครับ ให้ทักษิณเครื่องบินตกตายเลย พับผ่าสิ!! เท่านั้นยังไม่พอ คุณพี่ยังอุตส่าห์ถ่อสังขารไปเกาซะถึงประเทศเกาหลี เรื่องนี้แปลกแต่จริง เพราะคันที่เมืองไทย แต่ดันไปเกาไกลถึงเกาหลี ไม่รู้ว่าที่เกาหลีมีวิธีการเกาที่สุดยอดอย่างไร จึงต้องเดินทางไกลไปเกาถึงที่นั่น แต่เอาเถอะ จะเกาอะไรก็เกากันไป และหนังเรื่องนี้ไม่ได้โชว์การเกาอะไรให้ใครดูทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเกาในที่โล่ง(แจ้ง)หรือเกาในที่ลับ(หูลับตา) แต่มันเล่าถึงคุณน้อง คะน้า (ฮารุ ยามากูชิ) เด็กสาวคนหนึ่งซึ่งหลงใหลคลั่งไคล้หนุ่มนักร้องเกาหลีอย่าง อาจู เอามากๆ ถึงขนาดที่ห้องนอนของเธอ มองไปทางไหนก็เห็นแต่รูปหนุ่มนักร้องคนนั้น (นี่ถ้าสามารถเก็บกระดูกเขามาใส่โกฐแทนโคตรเหง้าเหล่ากอตัวเองได้ ผมคิดว่าเธอคงทำไปแล้ว) อย่างไรก็ดี ในที่สุด ความฝันอันเพริศพริ้งของหญิงสาวตัวน้อยๆ ก็เป็นจริงขึ้นมา เมื่อแม่ของคะน้าที่ก็บ้าเกาหลีพอๆ กัน พาเธอเดินทางสู่เมืองกิมจิ พร้อมกับพี่สาวอีกคนที่คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การไปในครั้งนี้จะช่วย เคาะและทุบใบหน้า ของเธอให้สวยๆๆๆ... คุณผู้อ่านเคยรู้สึกว่าวันเวลามันช่างเนิ่นนานหรือเปล่าครับ ใครบางคนที่ฉลาดกว่าผมเคยพูดไว้ว่า เวลาคนเรามีความทุกข์ เราจะรู้สึกว่าเวลามันช่างผ่านไปช้าเหลือเกิน นั่นล่ะใช่เลยสำหรับผมผู้นั่งดูหนังเรื่องนี้ของพจน์ อานนท์ ผมรู้สึกว่า ความรู้สึกนึกคิดของตัวเองแทบไม่ได้อยู่กับหนังเลย ไม่ใช่เพราะผมทะเลาะกับกิ๊กก่อนไปดูจนทำให้ลมปราณแตกซ่านหรือสูญเสียสมาธิอะไรนะครับ แต่หนังมันไม่ทำให้เรารู้สึกอยากจะอยู่ร่วมกับมันเลย ด้วยเนื้อเรื่องที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าสาวไทยคนหนึ่งซึ่งไปเที่ยวต่างประเทศ และแทนที่จะใช้โอกาสนั้นไปท่องเที่ยวดูสถานที่หรือวัฒนธรรมของประเทศเค้า แต่อีนี่ คิดอย่างเดียว กรูจะไปหาผัว แล้วบทหนังก็ตอบสนองกิเลสตัณหาของเธอแบบเต็มที่ ด้วยการเขียนบทให้หนุ่มเกาหลีที่เป็นนักร้องดังได้มาใช้ชีวิตด้วยกัน 2-3 วันกับสาวโนเนมจากเมืองไทย มันทั้งเพ้อฝัน ทั้งหลอกเด็ก นี่ถ้าความจริงเป็นแบบที่คุณต่อพงษ์ เศวตามร์ ว่าไว้ คุณน้องคะน้าผู้โนเนะของเรา คงโดนผู้จัดการของไอ้หนุ่มอาจูตบหัวทิ่มไปแล้วล่ะครับ โทษฐานที่มาเกาะแกะนักร้องดังจนทำให้เสียการเสียงาน (ในหนังนั้น มันทำให้งานเสียจริงๆ นะครับ ถึงแม้ส่วนหนึ่ง นักร้องหนุ่มจะมีส่วนรับผิดชอบด้วยก็ตามที) ถ้าจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเรามักจะได้เห็นเสมอๆ ในงานของเจ๊พจน์ และผมคิดว่ามันเป็น คาแร็กเตอร์ แบบหนึ่งของแกไปแล้วก็คือ แกมักจะชอบหยิบเอาสถานการณ์ความจริงมาเหน็บแนมเสียดสี ซึ่งในหนังเรื่องนี้ ก็อย่างที่เห็น อินาแท จอมลวงโลก นั้นไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นคนคนเดียวกันกับที่เคยแหลป่วนโลกเมื่อปีก่อน ผู้ดังขึ้นมาพร้อมๆ กับหนังเรื่อง The Prince of Red Shoes (เรื่องจิกกัดผู้คนใน สปีชี่ส์ เดียวกันนี่ เจ๊พจน์แกเชี่ยวชาญนักล่ะ) แต่หนังพจน์ อานนท์ ยังไงก็ยังเป็นหนังพจน์ อานนท์ ภาพของตลกเจ็บตัว ตลกสังขาร หรือกะเทยดัดจริตสะดีดสะดิ้ง คือสิ่งที่ขาดไม่ได้ในงานของเขา ถ้าคุณพร้อมที่จะหัวเราะกับอะไรทำนองนี้ คุณก็อาจจะแฮปปี้กับ ซอรี่ ซารางเฮโย แต่ถ้าไม่อยากเสี่ยง ผมแนะนำว่า ทางที่ดี นอนเกาพุงหรือเกาหลังให้แฟนอยู่ที่บ้าน น่าจะบันเทิงเริงใจกว่ากันมากมาย... นอนเกาไข่อยู่ที่บ้านดีกว่าพี่ รุ่นน้องบางคนที่ออฟฟิศ พูดสิ่งที่ผมคิด แต่ไม่อยากพูดออกมา?!?!
http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9530000097788
จากคุณ |
:
รู้ไหม...ทำไม
|
เขียนเมื่อ |
:
16 ก.ค. 53 08:32:38
A:110.164.169.23 X: TicketID:248256
|
|
|
|