Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
แม้แต่ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ยังไม่ยอมตกขบวนรถไฟสายฟิล์มและแอนนี่เลย(มุมมองสอนใจหญิง)  

http://www.manager.co.th/home/
เซ็กซ์ก่อนสมรส ในชีวิตจริงไม่ง่ายเหมือนในหนัง 
โดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง

กรณีของนักร้อง-นักแสดงชื่อดัง“ฟิล์ม - รัฐภูมิ โตคงทรัพย์” กับนักแสดงสาว “แอนนี่ - รุ่งนภา บรู๊ค” กลายเป็นเรื่องที่ชาวบ้านหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกันทั่วบ้านทั่วเมือง (Talk of the town)
       
       น่าเสียดาย... วงสนทนาจำนวนไม่น้อย มักพูดคุยโดยมีอคติเป็นตัวชี้นำ โดยเฉพาะอคติเกี่ยวกับเรื่องเพศ และความรู้สึกส่วนตัวที่ชอบหรือไม่ชอบนักแสดงทั้งสอง มากกว่าจะใช้เหตุผล ข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของความเห็นอกเห็นใจในชะตากรรมของเพื่อนมนุษย์ พิเคราะห์เพื่อเรียนรู้ว่า วิกฤติชีวิตของคนคู่นี้น่าจะช่วยให้บทเรียนอะไรกับเด็ก เยาวชน และคนหนุ่มสาวสมัยนี้บ้าง
       
       ข้อเท็จจริง
       
       เท่าที่ติดตามจากคำให้สัมภาษณ์ และการแถลงข่าวของทั้งสองฝ่าย พอจะจับประเด็นที่น่าจะเป็นข้อเท็จจริง ซึ่งยังไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดออกมาปฏิเสธ ดังนี้
       
       1) หนุ่มสาวทั้งสองคน เป็นนักแสดงที่ถือว่าเป็นบุคคลสาธารณะ ยังไม่ได้แต่งงานกัน ไม่ได้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันอย่างเปิดเผย
       
       2) ฝ่ายหญิงมีเพศสัมพันธ์ ตั้งครรภ์ อุ้มท้อง ไม่ทำแท้ง กระทั่งคลอดออกมาเป็นเด็กผู้ชาย ปัจจุบัน อายุ 3 เดือน
       
       ฝ่ายหญิงเล่าว่า “พอท้องได้ 4 เดือน แอนนี่เป็นคนเสนอเขาเองว่า ไปตรวจดีเอ็นเอกันไหม เรารู้มาว่าเจาะน้ำคร่ำก็ตรวจได้แล้ว คือตอนนั้นเราปิดให้ทุกอย่างเงียบ ไม่มีข่าวออกไป ไม่มีใครรับรู้ ถ้าเราไปตรวจก็เพื่อให้เขาและครอบครัวเขาสบายใจว่า เป็นลูกและหลานของเขา…
       
       ...ตอนที่ท้อง เราปิดทุกคน ญาติพี่น้อง พ่อแม่เราไม่มีใครรู้สักคน เราก็กลัว อยู่ในบ้านคนเดียวเหงา เราท้อแท้ เหนื่อย กลัวไปหมด จะกินจะนอน ก็แมสเซจหาเขาบ่อยๆ เขาก็มีโทรมาบ้าง...
       
       …หลังเขาหายไป 2 เดือน เราก็ตัดสินใจเลยว่าไม่เป็นไร ลูกคนเดียวแม่เลี้ยงได้ แม่ดูแลเอง ไม่มีพ่อไม่เป็นไร (ร้องไห้) อย่างน้อยแม่ทำผิดครั้งหนึ่งแล้ว ผิดพลาดที่ไม่ดูแลตัวเอง แต่จะไม่ผิดซ้ำสอง ทำแท้งเด็ดขาด จะไม่ฆ่าเลือดเนื้อของเราเอง เราจะไม่เอาเขาออก มีคนอื่นมาพูดว่าทำไมไม่ทำแท้ง เอาออก เราอนาคตไกลทำงานได้อีกเยอะ ถ้ามีลูกจะไม่มีงานอนาคตดับ แต่เราไม่ทำ เราตั้งใจจะปิดเป็นความลับและเลี้ยงลูกเอง...”

       
       3) ฝ่ายชายยังไม่ยอมรับว่าตนเป็นพ่อของเด็ก แต่ไม่ปฏิเสธว่าเคยมีเพศสัมพันธ์กับฝ่ายหญิง
       
       ฝ่ายชายบอกว่า “ทางเขามั่นใจว่า ผมเป็นพ่อของลูกเขา ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน สำหรับผมถามว่าไม่ปักใจเชื่อใช่ไหมว่าเป็นลูก คือ ผมก็งงเหมือนกัน แต่เราต้องรีบเข้าไปช่วยก่อน ที่พูดได้ ณ เวลานี้ ผมต้องรอการพิสูจน์อย่างเดียว ตอนนี้เพิ่งเริ่มดำเนินการ น่าจะไปตรวจเลือดเร็วๆ นี้ ซึ่งถ้าผลตรวจออกมาว่าใช่ลูกผมจริง ผมก็ยินดี สิ่งที่ผมทำผมยินดีรับ ส่วนเรื่องแต่งงานและเลี้ยงดูเขาเป็นเรื่องของอนาคต มันเป็นเรื่องที่เซ้นซิทีฟมากๆ ระหว่างผมด้วย และผู้หญิงด้วย”
       
       จากถ้อยแถลงข้างต้น ทำให้เข้าใจว่า ฝ่ายชายยอมรับว่าตนมีเพศสัมพันธ์กับฝ่ายหญิงจริง เพียงแต่ไม่คิดว่าจะท้อง และเมื่อทราบว่าฝ่ายหญิงท้อง ก็ยังไม่มั่นใจว่าเป็นลูกของตนหรือไม่ แสดงว่า ไม่วางใจว่าฝ่ายหญิงได้ไปมีเพศสัมพันธ์กับชายอื่นด้วยหรือไม่นอกจากตน
       
       4) ปัจจุบัน ยังไม่ได้มีการตรวจดีเอ็นเอของเด็ก ว่าเป็นลูกของฝ่ายชายจริงหรือไม่
       
       ข้อคิด ข้อเรียนรู้
       
       1) การมีเพศสัมพันธ์ก่อนจะแต่งงานกัน เป็นเรื่องที่จะต้องคิดตัดสินใจให้รอบคอบ ไม่อาจปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามอารมณ์ความรู้สึก เพราะผลลัพธ์ที่ตามมา อาจนำมาสู่จุดพลิกผันของชีวิต
       
       2) กรณีนี้ เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกัน
       
       ดังที่ฝ่ายหญิงเล่าว่า “...เลิกงานก็เจอกัน ก็ไม่ได้ถี่มาก ประมาณหนึ่ง จนมีความรู้สึกว่าเขาจริงใจจริงจัง รู้สึกว่าเขารักเรา และที่ไม่ป้องกันคือเราก็ไม่ใช่อายุน้อยๆ แล้ว ที่จริงเราก็ไม่อยากท้องไม่มีพ่อ หรือเป็นซิงเกิ้ลมัม ผู้หญิงทุกคนก็อยากแต่งงาน แต่ด้วยความที่เราเชื่อใจกันและกัน เราถามกันแล้วว่าเชื่อใจ เขาไม่มีคนอื่น เราไม่มีคนอื่นแน่นอน มันก็ไม่มีอะไรต้องป้องกัน”
       
       การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เป็นความเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง
       
       ถ้าไม่ติดโรค ก็อาจจะตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์

       
       3) การที่ฝ่ายหญิงทราบว่าตนตั้งครรภ์ ตกอยู่ในภาวะกดดัน เครียด รู้สึกไม่แน่นอน แต่ก็ตัดสินใจที่จะไม่ทำแท้ง ตามเหตุผลที่แจ้งแก่สาธารณชนว่า
       
       “..เราก็ตัดสินใจเลยว่าไม่เป็นไร ลูกคนเดียวแม่เลี้ยงได้ แม่ดูแลเอง ไม่มีพ่อไม่เป็นไร (ร้องไห้) อย่างน้อยแม่ทำผิดครั้งหนึ่งแล้ว ผิดพลาดที่ไม่ดูแลตัวเอง แต่จะไม่ผิดซ้ำสอง ทำแท้งเด็ดขาด จะไม่ฆ่าเลือดเนื้อของเราเอง เราจะไม่เอาเขาออก”

       
       นับเป็นการให้เหตุผลที่น่าเห็นใจ และสะท้อนความเสียเปรียบของผู้หญิงในสังคมไทย
       
       เพราะเมื่อไม่ทำแท้ง และฝ่ายชายยังไม่ยอมรับ ฝ่ายหญิงในสังคมไทยก็ต้องแบกรับภาระการตั้งครรภ์ทั้งปวง รวมทั้งต้องเผชิญกับภาวะที่ต้องถูกสังคมมองว่า “ท้องไม่มีพ่อ”

       
       แต่กรณีนี้ อย่างน้อยที่สุด ฝ่ายหญิงยอมรับว่าตนเองได้เคยทำผิดพลาดไปแล้ว จากการที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เมื่อเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา และตัดสินใจไม่ทำแท้ง ก็ไม่ควรถูกเยาะเย้ยถากถาง หรือซ้ำเติม แต่ควรได้รับโอกาสจากสังคม ให้กำลังใจให้เธอเป็นแม่ที่ดี และสามารถเลี้ยงลูกให้เติบโตไปเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมต่อไป
       
       4) เมื่อปรากฏข่าวใหญ่โตต่อสาธารณะ ปรากฏว่า ฝ่ายชายเรียกร้องขอให้มีการตรวจดีเอ็นเอของเด็ก เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นลูกของตนจริงหรือไม่
       
       แสดงว่า ฝ่ายชายไม่มั่นใจว่าฝ่ายหญิงได้ไปมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันกับคนอื่นนอกจากตนเองอีกหรือไม่
       
       กรณีนี้ สะท้อนเป็นบทเรียนสำหรับผู้หญิงในสังคมไทยได้เป็นอย่างดี
       
       เพราะสะท้อนว่า ผู้ชาย จะให้ค่าของผู้หญิงก่อนที่ตนเองจะได้มีเพศสัมพันธ์มากกว่าหลังจากที่ตนเองได้มีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงคนนั้นแล้ว
       
       ก่อนจะได้มีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงคนใด ผู้ชายมักจะมองข้ามจุดด้อย จุดบกพร่อง รายละเอียด หรือข้อด่างพร้อยของผู้หญิงคนนั้น โดยไม่สนใจว่าเธอจะมีผู้ชายกี่คน เคยผ่านผู้ชายมากี่คน แต่ให้พร้อมจะมองผ่านไป เพื่อให้ได้มีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง แต่เมื่อได้ร่วมเพศแล้ว ก็มักจะเห็นคุณค่าของผู้หญิงลดน้อยลง แล้วจะเริ่มมองหารายละเอียดที่เป็นข้อจุกจิก ข้อบกพร่อง ข้อด่างพร้อยในภายหลัง เช่น เกิดความรู้สึกว่า เมื่อยอมมีอะไรกับเราง่ายๆ แล้วจะยอมคนอื่นด้วยหรือไม่, หรือรู้สึกว่าผู้หญิงที่เคยผ่านคนอื่นมาก่อนตน เริ่มจะไม่ค่อยมีค่าในสายตาของตน เป็นต้น
       
       เพราะฉะนั้น ลูกผู้หญิงในสังคมไทย ก่อนจะยอมมีเพศสัมพันธ์กับชายใด ต้องตระหนักถึง “สันดานผู้ชาย” ให้ถ่องแท้เสียก่อน
       
       5) เด็กสาวในสังคมไทย มักมีปัญหาว่า จะหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ก่อนสมรสกับชายหนุ่มที่ตนเองรักได้อย่างไร
       
       ข้อแรก อย่าเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงที่จะถูกรุกเร้าขอมีเพศสัมพันธ์ หรือถูกล่วงเกินเลยเถิดไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ เช่น สถานที่ลับตาคน หรืออยู่กันในห้องส่วนตัวสองต่อสอง หรือเสพของมึนเมาที่จะทำให้สภาพร่างกายและจิตใจไม่ปกติ เพราะนี่คือก้าวแรกของการเดินเข้าไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย
       
       ข้อสอง เมื่อถึงคราวคับขัน ถูกรุกเร้าโดยชายคนรัก ก็จะต้องหาทางปฏิเสธอย่าง “เด็ดขาด” ขึงขัง ชัดถ้อยชัดคำ
       
       โดยคำปฏิเสธที่หยิบยกเอาเหตุผลขึ้นมาอ้าง เช่น กลัวคนอื่นเขามาเห็น หรือกลัวท้อง หรือถ้าท้องแล้วจะรับผิดชอบไหม ฯลฯ มักจะไม่ได้ผล เพราะฝ่ายชายที่อยู่ในอารมณ์ก็จะหาคำตอบที่อ้างเหตุผลขึ้นมาหักล้างได้เสมอ เช่น
       
       อ้างว่า เราอยู่กันสองคน ใครจะรู้จะเห็น
       
       อ้างว่า มีวิธีป้องกันมิให้ท้อง
       
       อ้างว่า พร้อมรับผิดชอบทุกอย่าง เป็นต้น
       
       คำปฏิเสธที่ได้ผล มักจะเป็นการหยิบยกเอาเงื่อนไขในเชิงค่านิยม คุณค่า หรือการยอมรับของครอบครัว ขึ้นมายืนยันกับฝ่ายชายอย่างหนักแน่น เด็ดขาด และจริงจัง เช่น มองตาฝ่ายชายอย่างดุๆ พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า เราและครอบครัวของเรารับไม่ได้กับการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน ถ้าทำอย่างนี้ แสดงว่า ไม่รักเราจริงใช่ไหม เป็นต้น
       
       หรืออาจจะต้องถึงขั้นยื่นคำขาดว่า “ถ้าทำอย่างนี้ แสดงว่าไม่ให้เกียรติเรา ไม่รักเราจริง เราเลิกกัน!”
       
       ซึ่งถ้าผู้ชายรักผู้หญิงคนนั้นจริง จะต้องยอมทุกอย่าง เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีไว้ต่อไป!
       
       คำปฏิเสธที่หยิบยกเงื่อนไขเชิงค่านิยม ความรู้สึก ด้วยท่าทีและคำพูดที่ขึงขัง เด็ดขาด จึงจะมีพลังเพียงพอที่จะหยุดปฏิบัติการรุกไล่ของฝ่ายชาย

จากคุณ : ผึ้งน้อยพเนจร
เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 53 18:30:25




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com