ความคิดเห็นที่ 1 พ่อต้องไปยื่นต้องต่อศาลก่อนค่ะ ดูข่าวมา จากคุณ : walanla (Walanla) เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 12:56:16

ความคิดเห็นที่ 2 จากที่เคยฟังคุณไก่ จากเที่ยงวันทันเหตุการณ์ ถ้าจำไม่ผิดเขาบอกว่า ฟิล์มต้องยื่นเรื่องขอรับรองเด็กเป็นบุตรก่อน หลังจากนั้นก็ค่อยยื่นเรื่องต่อศาล เพื่อขอตรวจ DNA เด็กต่อไปค่ะ จากคุณ : Khun_ILoveTS6 เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 13:00:14

ความคิดเห็นที่ 3 กรณีท้องนอกสมรส สิทธิขาดเป็นของแม่แต่ผู้เดียว จากคุณ : เพลงพันทาง เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 13:03:22

ความคิดเห็นที่ 4 ได้ค่ะ ... ถ้าฟิล์มคิดว่านี่คือลูกของตัวเอง ก็ยื่นเรื่องขอคำสั่งศาลได้ จากคุณ : วนัสนันท์ เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 13:03:39

ความคิดเห็นที่ 5   เราว่าได้ โดยการยื่นเรื่องต่อศาลว่า ตัวฟิล์มโดนกล่าวหาว่าเป็นพ่อเด็กทำให้เสียชื่อเสียง โดนสังคมประนาม มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต หน้าที่การงาน ขอให้ศาลบังคับการตรวจพิสูจน์ความจริง จากคุณ : racha007 (racha007) เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 13:10:01

ความคิดเห็นที่ 6 /\ /\ พูดแบบนี้มีแต่ผลลบ นะครับ จากคุณ : ซ่อนรอยยิ้ม เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 13:16:43

ความคิดเห็นที่ 7 สามารถ ร้องต่อศาล ได้... แน่นอน แต่ศาลคงไม่สั่งตัดสินบังคับแม่และเด็กหรอก ต้องมีตัวแทนศาล เชิญมาเจรจาไกล่เกลี่ยกัน..จดถึงที่สุด ถ้าไม่ยอมตรวจ ก็สามารถตัดสินบังคับตรวจได้... แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 53 13:24:47 จากคุณ : ตะวันรุ่งทุ่งรังสิต เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 13:21:22

ความคิดเห็นที่ 8 ยืนยันว่า ไม่ได้ค่ะ   การตรวจดีเอ็นเอ เป็นสิทธิส่วนบุคคล  เมื่อเจ้าตัวไม่ยินยอม ศาลไม่สามารถใช้อำนาจบังคับให้ตรวจได้ มั่นใจเพราะเรื่องจริงเคยผ่านคดีแบบนี้มาแล้ว อีกฝ่ายไม่ยอมตรวจ  ศาลก็ไม่สามารถใช้คำสั่งบังคับให้ตรวจได้ "สิทธิส่วนบุคคล" จากคุณ : เพิ่งมาค่ะ เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 13:22:16

ความคิดเห็นที่ 9 อันนี้ขอถามโดยทั่ว ๆ ไป ไม่ได้เฉพาะในกรณี ฟิล์ม-แอนนี่นะคะ ถ้าฝ่ายหญิงยืนยันว่าเป็นลูกฝ่ายชาย แต่ไม่ยอมตรวจแล้วจะรู้ได้ไงล่ะคะ ถ้ากรณีเช่นว่าทำให้ฝ่ายชายเสียหาย ก็ขอตรวจไม่ได้เหรอคะ จากคุณ : ws_3765 เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 13:35:08

ความคิดเห็นที่ 10 ^ ^ ^ ^ ^ ถ้าตอบกรณีทั่วไปนะ   ถ้าฟ้องร้องต่อศาล  หญิงบอก ชายเป็นพ่อของลูก แต่หญิง ไม่ยอมให้ตรวจดีเอ็นเอ  ศาลบังคับไม่ได้ แต่ในทางคดี ศาลอาจยกฟ้อง หรือ พิพากษาให้ฝ่ายหญิงแพ้ (เคยฟ้องคดีนี้ ฝ่ายชายไม่ยอมตรวจ ก็แพ้คดีไป เพราะถือว่าตัวเองถูกกล่าวหาแต่ไม่ยอมพิสูจน์ข้อเท็จจริงเอง) จากคุณ : เพิ่งมาค่ะ เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 13:44:10

ความคิดเห็นที่ 11 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๒๘/๑ ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดที่เป็นประเด็นสำคัญแห่งคดี เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร้องขอ ศาลมีอำนาจสั่งให้ทำการตรวจพิสูจน์บุคคล วัตถุหรือเอกสารใดๆ โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้ ใน กรณีที่พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จะสามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่ ทำให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้โดยไม่ต้องสืบพยานหลักฐานอื่นอีก เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร้องขอ ศาลอาจสั่งให้ทำการตรวจพิสูจน์ตามวรรคหนึ่งโดยไม่ต้องรอให้ถึงวันสืบพยานตาม ปกติก็ได้ ในกรณีที่การตรวจพิสูจน์ตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองจำเป็นต้องเก็บตัวอย่าง เลือด เนื้อเยื่อ ผิวหนัง เส้นผมหรือขน ปัสสาวะ อุจจาระ น้ำลายหรือสารคัดหลั่งอื่น สารพันธุกรรม หรือส่วนประกอบอื่นของร่างกาย หรือสิ่งที่อยู่ในร่างกายจากคู่ความหรือบุคคลใด ศาลอาจให้คู่ความหรือบุคคลใดรับการตรวจพิสูจน์จากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญอื่นได้ แต่ต้องกระทำเพียงเท่าที่จำเป็นและสมควร ทั้งนี้ ถือเป็นสิทธิของคู่ความหรือบุคคลนั้นที่จะยินยอมหรือไม่ก็ได้ ในกรณีที่คู่ความฝ่ายใดไม่ยินยอมหรือไม่ให้ความร่วมมือต่อการตรวจพิสูจน์ตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง หรือไม่ให้ความยินยอมหรือกระทำการขัดขวางมิให้บุคคลที่เกี่ยวข้องให้ความยินยอมต่อการตรวจเก็บตัวอย่างส่วนประกอบของร่างกายตามวรรคสาม ก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่คู่ความฝ่ายตรงข้ามกล่าวอ้าง... สรุป 1. ในกรณีที่ต้องใช้ผลทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง ศาลสั่งได้ 2. ศาลสั่งแล้ว คู่ความไม่ยินยอมให้ตรวจได้ 3. แต่ถ้าไม่ยินยอม ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างที่คู่ความอีกฝ่ายกล่าวอ้าง เช่น ฝ่ายชายกล่าวอ้างว่าเด็กไม่ใช่บุตรของตน ขอให้มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ฝ่ายหญิงไม่ยินยอมให้ตรวจพิสูจน์ เช่นนี้ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเด็กไม่ใช่บุตรของฝ่ายชาย ฝ่ายหญิงต้องหาพยานหลักฐานอื่นมาหักล้าง (ซึ่งนอกจากผลทางวิทยาศาสตร์แล้วคงไม่มีอะไรมาหักล้างได้) แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 53 13:46:24 จากคุณ : เศรษฐกร เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 13:44:17

ความคิดเห็นที่ 12 ฟ้องหมิ่นประมาทแทน แล้วแอนนี่ ต้องพิสูจน์ความจริง ไม่งั้น แอนนี่อ่วม แต่ ฟิล์มจะอ่วมเน็ทก่อนตั้งแต่ฟ้องหมิ่นแล้ว จากคุณ : ดีไม่ห่างเหิน เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 13:45:29

ความคิดเห็นที่ 13   ฟ้องได้ แต่คิดว่าฟิล์มคงไม่ทำหรอก เพราะไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้นอยู่แล้ว จากคุณ : call เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 13:50:19 A:222.123.59.244 X: TicketID:165031

ความคิดเห็นที่ 14 ต้องดูว่าคุณฟ.จะฟ้องคุณอ.เพื่อตรวจดีเอ็นเอในเรื่องอะไร ถ้าฟ้องเรื่องขอสิทธิ์ในตัวบุตร คุณแม่เด็กไม่ยินยอมให้ตรวจ ก็จบเลยครับ เพราะคดีเกี่ยวกับพ่อขอสิทธิ์ในตัวเด็ก แม่ไม่ยอม คดีนี้จบทันที แต่ถ้าฟ้องหมิ่นประมาท ข้อหาคุณอ.ให้ข่าวทำให้คุณฟ.เสียชื่อเสียง จึงขอยื่นต่อศาลขอตรวจดีเอ็นเอ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน ซึ่งคุณอ.ไม่ยอมให้ตรวจก็ได้ ศาลไม่มีอำนาจบังคับ แต่คุณอ.ก็ต้องหาหลักฐานมาหักล้างข้อกล่าวหาของคุณฟ. ว่าเธอพูดเท็จ ทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียง ฉะนั้น การที่ทางอาร์เอสหรือคุณฟ.จะร้องต่อศาลเพื่อขอตรวจดีเอ็นเอได้ มีกรณีเดียวเท่านั้น คือฟ้องคุณอ.ในข้อหาหมิ่นประมาททำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงครับ จากคุณ : ผึ้งน้อยพเนจร เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 13:53:25

ความคิดเห็นที่ 15 แต่คดีนี้ออกจะมึน ๆ เพราะถ้าฝ่ายชายไปขอจดทะเบียนรับรองบุตร ไปสู่การฟ้องร้องต่อศาล ฝ่ายชายอาจจะได้เป็นพ่อเด็กโดยไม่ต้องตรวจ DNA เลย เพราะฝ่ายหญิงไม่ยอมให้ตรวจ ต้องสันนิษฐานว่าเด็กเป็นลูกฝ่ายชาย ตามที่ฝ่ายชายกล่าวอ้าง ถ้าฟ้องว่าหมิ่นประมาท ศาลคงไม่ให้พิสูจน์ความจริง เพราะไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เพราะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 330 ในกรณีหมิ่นประมาท ถ้าผู้ถูกหาว่ากระทำความผิด พิสูจน์ได้ว่าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นความจริง ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ แต่ห้ามไม่ให้พิสูจน์ ถ้าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัว และการพิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน อันที่จริง ในความเห็นส่วนตัว ผมว่ามันไม่เป็นหมิ่นประมาทด้วยซ้ำ แล้วจะฟ้องอะไรดีเนี่ย คิดก่อน จากคุณ : เศรษฐกร เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 13:56:11

ความคิดเห็นที่ 16 ความหมายตาม คห 11 เลยค่ะ  สรุปได้ถูกเป๊ะๆๆ จากคุณ : เพิ่งมาค่ะ เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 14:03:07

ความคิดเห็นที่ 17 อ้อ ใครเป็นลูกใคร ไม่เป็นลูกใครนี่ คงไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน (ที่อยากรู้ด้วย) แน่ ๆ ครับ แล้วก็ ฟ้องขอจดทะเบียนรับรองบุตร กับ ฟ้องขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร เป็นคนละเรื่องนะครับ การรับรองบุตร ขึ้นกับสายเลือด ถ้าใช่ ยังไงก็ได้เป็นครับ ใครก็ค้านไม่ได้ การใช้อำนาจปกครองบุตร ถ้าตกลงกันไม่ได้ ขึ้นกับดุลพินิจของศาลครับ ใครจะมีหรือไม่มีอำนาจปกครองบุตร ศาลจะพิจารณาตามความเหมาะสมหลาย ๆ ประเด็น จากคุณ : เศรษฐกร เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 14:16:34

ความคิดเห็นที่ 18 แล้วจะฟ้องอะไรดีเนี่ย คิดก่อน จากคุณ : เศรษฐกร   ^ ^ นั่นสิครับ คุณเศรษฐกร ที่เรามาเย้วๆกันในกระทู้ กดดันให้เขาตรวจดีเอ็นเอกันอยู่นี่ จะเอาข้อไหนไปยื่นขอต่อศาลดีละเนี่ย   คิดม่ายออก แต่ผมว่าเรื่องฟ.กับอ. ที่จริงถ้าเรามองดีๆ ไม่มัวด่ากันลูกเดียว เรื่องนี้ให้ข้อคิดข้อโต้แย้งที่เป็นประโยชน์แก่สังคมมากมายหลายด้านเลยนะครับ ทั้งเรื่องข้อกม. เรื่องข้อศีลธรรม เรื่องประเด็นสิทธิสตรีบุรุษ เรื่องธุรกิจ(ผลกระทบต่อการลงทุน หุ้นบริษัทต้นสังกัดศิลปิน ฯลฯ) จากคุณ : ผึ้งน้อยพเนจร เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 14:38:43

ความคิดเห็นที่ 19 อืม นั่นสินะ ถ้าต้องถึงโรงถึงศาลจะต้องฟ้องคดีอะไรถึงจะพิสูจน์ได้ล่ะเนี่ย ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ช่วยมาให้ข้อมูลด้วยนะคะ ดิชั้นก็ไม่ได้มากดดันให้เค้าตรวจหรือไม่ตรวจอะไรนะคะ ^^' แค่อยากรู้เป็นความรู้ทั่ว ๆ ไปเท่านั้นเอง แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 53 14:41:55 จากคุณ : ws_3765 เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 14:39:54

ความคิดเห็นที่ 20   จริง ๆ ด้วยครับ ในทางกฎหมาย ต้องดูข้อกฎหมายในกฎหมายหลาย ๆ ฉบับประกอบกันด้วย จากคุณ : JustLikeLove เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 14:41:28

ความคิดเห็นที่ 21 ศาล ไม่สามารถบังคับตรวจดีเอ็นเอ ได้ค่ะ ไม่ใช่คดี อาญา อันนี้เป็นคดีครอบครัวค่ะ ถ้าศาลสั่งให้ตรวจ แม่ไม่ยอมให้ตรวจ ก็ไม่สามารถตรวจได้ค่ะ จากคุณ : elin เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 14:43:43

ความคิดเห็นที่ 22 ขอร้องต่อศาลในกรณีที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงและส่งผลกระทบหน้าที่การ งาน โดยที่ยังไม่ได้รับคำตอบที่แท้จริงว่าบุตรที่ผู้หญิงกล้าวอ้างนั้นว่าเป็น บุตรที่แท้จริงเป็นของตนหรือไม่ >>>>>>>อันนี้เข้าข่ายกฎหมายข้อไหน บ้าง จากคุณ : GooNG_KoKi เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 15:00:53

ความคิดเห็นที่ 23 #21 คดีอาญาก็บังคับตรวจไม่ได้ครับ ตามป.วิ.อาญา มาตรา 244/1 #22 อืมม จะให้ฟ้องตามมาตรา 423 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เหรอครับ มาตรา ๔๒๓  ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่นก็ดี หรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้ หรือทางเจริญของเขาโดยประการอื่นก็ดี ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขาเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ อันเกิดแต่การนั้น แม้ทั้งเมื่อตนมิได้รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง แต่หากควรจะรู้ได้ ผู้ใดส่งข่าวสารอันตนมิได้รู้ว่าเป็นความไม่จริง หากว่าตนเองหรือผู้รับข่าวสารนั้นมีทางได้เสียโดยชอบในการนั้นด้วยแล้ว ท่านว่าเพียงที่ส่งข่าวสารเช่นนั้นหาทำให้ผู้นั้นต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ ขอไปค้นก่อนว่าฟ้องได้ไหม ขอแก้ไข ค้นมาแบบเร็ว ๆ ถ้าอยากตรวจจริง ๆ ฟ้องตามมาตรานี้ไป น่าจะได้ตรวจล่ะครับ โดยฟ้องไปว่าฝ่ายหญิงไขข่าวหรือแพร่หลายข้อความที่เป็นเท็จ เพราะ เด็กไม่ใช่บุตรตน ทำให้ตนเสื่อมเสียชื่อเสียง มีผลกระทบต่อทางทำมาหาได้ ทางพิสูจน์คือ ฝ่ายหญิงต้องพิสูจน์ว่าไม่ใช่ข้อความเท็จ ก็ต้องตรวจ DNA ถ้าไม่ยอมตรวจ ก็จ่ายค่าเสียหายให้่ฝ่ายชายไป แต่จะเอาแบบนี้จริง ๆ เหรอครับ คุยกันดี ๆ ตรวจกันดี ๆ ดีกว่านะ เห็นกับเด็กเถอะ ถ้าเด็กโตมาขอตรวจเอง แล้วผลว่าใช่ลูกจริง เด็กจะรู้สึกไงว่าพ่อเคยฟ้องแม่ว่าเด็กไม่ใช่ลูก แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 53 15:31:02 จากคุณ : เศรษฐกร เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 15:22:23

ความคิดเห็นที่ 24 ^ ^ ขอถามเป็นความรู้นะครับ เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงและการงาน กับ หมิ่นประมาท ถือเป็นข้อเดียวกันหรือคนละข้อหากันน่ะครับ? จากคุณ : ผึ้งน้อยพเนจร เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 15:33:27

ความคิดเห็นที่ 25 อืม....มันก็น่าคิดนะคะคุณเศรษฐกร (ขอบคุณคะที่ตอบอย่างไวมาก) ถ้าตัวแอนนี่เองยืนกรานว่าจะไม่ตรวจก็ต้องใช้วิธีนี้เหละ (คหสต) แต่ยังไงถ้าฟิล์มเป็นพ่อของเด็กจริง เขาก็ย่อมต้องมีสิทธิ์ที่ได้รับรู้เหมือนกันนะคะ ศาลจะไม่ยอมรับฟังเลยหรอ แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 53 15:48:59 แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 53 15:48:22 จากคุณ : GooNG_KoKi เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 15:37:24

ความคิดเห็นที่ 26 ตอนนี้เลย... ไม่ได้ค่ะ เพราะ อ.  ยังไม่พูดเต็มปากว่า ฟ. เป็นพ่อเด็ก อ. ใช้คำแทน  "เค้า" ส่วนคนส่วนใหญ่คิดว่า ฟ.  เพราะพิธีกร + นักข่าวถามโดยเอ่ยชื่อ  แต่ อ. ไม่เคยเอ่ยชื่อนักร้องเลย จากคุณ : พู่กันไร้สี เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 16:01:30

ความคิดเห็นที่ 27 ต่างคนต่างยื้อ DNA เด็กกันทั้งคู่ เพราะถือว่าเป็นสิ่งตัดสินเลยว่า ใครจะรอดใครจะซวยไป เรียกว่าผล DNA จะทำให้คนใดคนหนึ่งดับอนาถไปเลย เหมือนกรณีแด็ก-ฝ้าย จากคุณ : Anemone2526 (Anemone2526) เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 16:03:44

ความคิดเห็นที่ 28 #24 คนละข้อหาครับ หมิ่นประมาทเป็นความผิดตามกฎหมายอาญาครับ มาตรา ๓๒๖ ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามกฎหมายอาญา ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว จะไม่มีการพิสูจน์ความจริงของข้อความครับ จึงไม่อาจนำไปสู่การพิสูจน์ DNA ได้ แต่ทางแพ่ง ในการสู้คดี ถ้าจำเลยพิสูจน์ได้ว่าข้อความนั้นเป็นจริง ก็จะพ้นจากข้อกล่าวหาได้ (ความเห็นส่วนตัวนะครับ ผิดถูกทักท้วงได้) #26 ไม่ยืนยันนะครับ แต่เคยฟังสัมภาษณ์อยู่ 1 ครั้ง มีหลุดด้วยน่ะครับ จากคุณ : เศรษฐกร เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 16:24:59

ความคิดเห็นที่ 29 ^ ^ ใช่ค่ะ ตอนแรกก็คิดเหมือน 26 แต่เพิ่งไปดูย้อนหลังมา แอนนี่ได้พูดชื่อมาครั้งนึงค่ะ จากคุณ : ws_3765 เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 16:35:50

ความคิดเห็นที่ 30 ขอถามคุณเศรษฐกร ถ้าฟิล์มเป็นพ่อของเด็กจริง เขาก็ย่อมต้องมีสิทธิ์ที่ได้รับรู้เหมือนกันนะคะ ศาลจะไม่ยอมรับฟังเลยหรอ (กรณีถ้าฟิล์มขอร้องต่อศาล) แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 53 16:54:46 จากคุณ : GooNG_KoKi เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 16:51:40

ความคิดเห็นที่ 31 ทำไมกระทู้นี้ ไม่มีก่อนเราสอบเนติฯ เลยสอบตกเลย 555 จากคุณ : yothint เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 17:37:12

ความคิดเห็นที่ 32 ถ้าจำไม่ผิด เรื่องส่วนตัวที่เว้นนี่ คือเรื่องที่เจ้าทุกข์ร้องนะครับ เช่น มีคนไปตะโกนว่า ผู้หญิงคนนี้ ไม่ใช่สาวบริสุทธิ์ หญิงคนฟ้อง ไม่ต้องพิสูจน์ว่าตัวเองยังบริสุทธิ์จริงหรือไม่ก็ได้ แต่คนพูด หมิ่นแน่ แต่เรื่องนี้นี่  ฟิล์มเป็นผู้เสียหาย เลยน่าจะฟ้องให้พิสูจน์ได้ได้ จากคุณ : ดีไม่ห่างเหิน เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 18:15:23

ความคิดเห็นที่ 33 #30 เอาเท่าที่ผมนึกออกตอนนี้นะครับ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕  เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่ง หรือบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาล บุคคลนั้นชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายแพ่งและประมวลกฎหมายนี้ กรณีนี้ ฝ่ายชายไม่มีสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายแพ่งต่อเด็กหรือฝ่ายหญิงน่ะครับ ผมยังนึกไม่ออกว่าจะมีข้อโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่อะไรให้ฟ้อง และจะให้ไปฟ้องศาลด้วยเหตุผลแค่อยากรู้นี่ ไม่ได้ครับ มันก็ไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาลอีกเหมือนกัน เพราะรู้แล้วไม่ได้ก่อสิทธิอะไร ถ้าฟ้องเพื่อขอรับรองบุตร อันนี้ได้ครับ เพราะมีการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของเด็ก และของผู้ฟ้องด้วย #31 สอบเนติ ง่ายนิดเดียว ที่เหลือยากหมดครับ สู้ ๆ ครับ อ่านเยอะ ๆ เดี๋ยวก็ผ่าน จากคุณ : เศรษฐกร เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 18:25:47

ความคิดเห็นที่ 34 #32 เท่าที่เข้าใจ ไม่มีข้อยกเว้นแบบนั้นนะครับ ขอยกตัวบทมาอีกครั้งนะครับ มาตรา 330 ในกรณีหมิ่นประมาท ถ้าผู้ถูกหาว่ากระทำความผิด พิสูจน์ได้ว่าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นความจริง ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ แต่ห้ามไม่ให้พิสูจน์ ถ้าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัว และการพิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน การยกเว้นความผิดตามมาตรานี้ต้องเป็นกรณีที่ได้มีการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทแล้วนะครับ กล่าวคือ มีการใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม ในประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง เช่น ก. ป่าวประกาศในตลาดว่าตนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพระภิกษุ ข. จนมีลูกด้วยกัน 1 คน กรณีนี้ ก. ผิดฐานหมิ่นประมาทแล้วครับ และข้อความที่กล่าวก็เป็นเรื่องส่วนตัวแต่เนื่องจากพระภิกษุอยู่ในสถานะพิเศษทางสังคม การพิสูจน์ความจริงจะเป็นประโยชน์แก่ประชาชน ก. จึงอาศัยมาตรา 330 ขอพิสูจน์ความจริง เพื่อไม่ต้องรับโทษได้ แต่ถ้าเปลี่ยนตัวอย่างเป็น ก. ออกรายการทีวียืนยันตนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนักแสดง ข. จนมีลูกด้วยกัน 1 คน แบบนี้ก็เข้าข่ายผิดหมิ่นประมาท แต่นักแสดงก็คนธรรมดาครับ ไม่มีสถานะพิเศษทางสังคม อีกทั้งเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว การพิสูจน์ความจริงไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน จึงไม่เข้ามาตรา 330 วรรค 2 ที่จะขอพิสูจน์ได้ ผิดถูกอย่างไร ทักท้วงได้ครับ จากคุณ : เศรษฐกร เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 18:41:55

ความคิดเห็นที่ 35 อืม..... นั่นล่ะปัญหา แอนนี่จะพิสูจน์ยังไง ว่าเป็นความจริง  ถ้าไม่ยอมพิสูจน์ทางวิทยฯ เมื่อพิสูจน์ไม่ได้ ว่าจริงไหม ก็แสดงว่า ที่กล่าวหาเขา โกหก ซึ่งเข้ากับ ความคิดเห็นที่ 23 ของคุณเอง จากคุณ : ดีไม่ห่างเหิน เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 18:47:46

ความคิดเห็นที่ 36 #35 คือตามกฎหมายอาญา ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่สนใจครับว่าสิ่งที่พูดจริงหรือไม่จริง ผิดทันทีครับ ไม่ต้องพิสูจน์อะไรทั้งนั้น จะให้พิสูจน์ต่อเมื่อมันจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ซึ่งกรณีนี้มันไม่ใช่ครับ ส่วนตามกฎหมายแพ่ง สังเกตคำที่ตัวบทใช้นะครับจะต่างกัน มาตรา 423 ป.พ.พ. ใช้คำว่า ข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง มาตรา 326 ป.อ.     ใช้คำว่า ใส่ความ ว่าง่าย ๆ กฎหมายแพ่งสนใจความถูกต้องของข้อความครับ ส่วนกฎหมายอาญาไม่สนครับ ถ้าได้มีบุคคลที่สามรับฟังแล้ว ทางอาญาผิดทันทีครับ แล้วถึงจะไปพิจารณาข้อยกเว้นไม่ต้องรับโทษตามมาตรา 330 ครับ งงกว่าเดิมไหมครับ จากคุณ : เศรษฐกร เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 18:51:57

ความคิดเห็นที่ 37 สรุปอีกที 1. กรณีนี้ถ้าฝ่ายชายฟ้องตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 ฝ่ายชายมีหน้าที่นำสืบว่าฝ่ายหญิงได้ใส่ความฝ่ายชาย/ต่อบุคคลที่สาม/ในทางที่ทำให้ฝ่ายชายเสียชื่อเสียง ถ้านำสืบได้ครบ ฝ่ายหญิงจะมีความผิดตามป.อ. มาตรา 326 ทันที เมื่อมีความผิดแล้ว ไปพิจารณาบทยกเว้นโทษตามมาตรา 329 และ 330 ครับ ซึ่งกรณีนี้ ไม่น่าเข้าข่ายบทยกเว้นโทษใด ๆ จะเห็นได้ว่าไม่มีการพิสูจน์ความถูกต้องแท้จริงของข้อความนะครับ 2. ฝ่ายชายฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 423 ฝ่ายชายฟ้องว่าข้อความที่ฝ่ายหญิงกล่าวฝ่าฝืนต่อความจริง ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง กระทบถึงทางทำมาหาได้ของฝ่ายชาย จะเห็นได้ว่ากรณีนี้ ความถูกต้องแท้จริงของข้อความ เป็นประเด็นแห่งคดีนะครับ จึงต้องมีการพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่ ผิดถูก สับสน ทักท้วงได้ครับ จากคุณ : เศรษฐกร เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 19:07:39

ความคิดเห็นที่ 38   นี่เป็นกระทู้ ฟิล์ม แอนนี่ กระทู้เดียว ในบรรดาหลายสิบกระทู้ ที่เข้ามาอ่านแล้วรู้สึกว่าได้ประโยชน์ ได้ความรู้ จากคุณ : สิชา เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 20:25:51

ความคิดเห็นที่ 39 กะทู้นี้ได้ประโยชน์จริงๆ ให้กิ๊ฟ คุณเศรษฐกร กับ จขกท นะคะ ที่เปิดประเด็นดีๆมาให้อ่าน (หลังจากอ่านแต่กะทู้ชวนปวดตับมาหลายอัน) จากคุณ : sleepy society เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 21:43:47

ความคิดเห็นที่ 40 อ่านแล้วเหนื่อย มันเป็นคดีรกศาลมาก นึกถึงหลาย ๆ คดีที่ต้องรอคิวที่ศาล เรื่องในครอบครัว ก็น่าจะคุยกันในครอบครัว ตอนนี้เหมือนเกม บีบกันไปบีบกันมา จากคุณ : อ (มนอุ๊งอิ๊ง) เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 53 12:42:54

ความคิดเห็นที่ 41   อย่าว่าเล็กนะครับ ถ้าครอบครัวเล็กๆจนๆ ก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าเป็นครอบครัวมหาเศรษฐีนี่ถือว่าเรื่องใหญ่ เพราะมันหมายถึงมรดกจำนวนมหาศาลและตัวหารมรดกด้วย จากคุณ : .... เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 53 13:35:40 A:58.9.213.192 X: TicketID:223436

ความคิดเห็นที่ 42 ถ้าไม่ตรวจ DNA ฟิล์มก็ฟ้องศาลครับ ว่า ทำให้เสียชื่อเสียง และ การงาน และ ฐานะทางสังคม เพราะแอนนี่ไปประกาศปาว ๆ ว่า ฟิล์มเป้นพ่อของลูก แต่ดันไม่ยอมพิสุจน์ DNA ดูเจตนาแล้ว โดนฟ้องหมดตรูดแหง่ ๆ จากคุณ : คุณชินโซ เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 53 13:44:52

ความคิดเห็นที่ 43 ขอบคุณ จขกท กับคุณเศรษฐกร นะคะได้ความรู้มากๆ เลยค่ะ ชักอยากไปเรียนกฏหมายบ้างแล้วล่ะ จากคุณ : ตัวจ้อยแต่จ๊าบ เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 53 14:03:45

ความคิดเห็นที่ 44 กระทรวงยุติธรรม ชี้  หากศาลสั่ง แม่คัดค้านไม่ได้ เด็กมีสิทธิ์รู้ว่าใครเป็นพ่อ จากกรณีที่สังคมให้ความสนใจกรณีข่าวฉาว ระหว่าง ฟิล์ม รัฐภูมิ และแอนนี่ บรุ๊ค ซึ่งทางฝ่ายหญิงยังคงยืนยัน ไม่ตรวจดีเอ็นเอ นั้น นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวในฐานะโฆษกกระทรวงยุติธรรมกล่าวในแง่กฎหมายว่า กรณีที่ฝ่ายหญิงไม่ยอมตรวจดีเอ็นเอ  ฝ่ายชายสามารถใช้กระบวนการยุติธรรมทางศาล ในการตรวจเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและชัดเจน แต่หลักการสำคัญฝ่ายชายจะต้องร้องขอต่อศาล โดยแสดงเจตนาชัดเจนว่าประสงค์จะรับรองบุตรว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่จะขอตรวจดีเอ็นเอก่อนแล้วจึงค่อยรับผิดชอบ ทั้งนี้ ในกระบวนการทางศาลนั้น  หากศาลสั่งให้ตรวจดีเอ็นเอเด็ก แม่ของเด็กจะคัดค้านไม่ได้ และถือเป็นการคุ้มครองสิทธิเด็กที่มีสิทธิจะรู้ว่าใครเป็นพ่อ ซึ่งหากผลตรวจปรากฏว่าไม่ใช่พ่อเด็ก ก็จะไม่สั่งให้รับรองบุตร ส่วนในทางกลับกัน หากว่าฝ่ายหญิงต้องการตรวจดีเอ็นเอเด็ก เพื่อให้มีการรับรองบุตร ก็สามารถใช้กระบวนการยุติธรรมทางศาลบังคับได้เช่นกัน ที่มา : http://news.mthai.com/general-news/88333.html จากคุณ : lo2to (lo2to) เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 53 00:08:33

ความคิดเห็นที่ 45 กระทรวงยุติธรรม ชี้  หากศาลสั่ง แม่คัดค้านไม่ได้ เด็กมีสิทธิ์รู้ว่าใครเป็นพ่อ จากกรณีที่สังคมให้ความสนใจกรณีข่าวฉาว ระหว่าง ฟิล์ม รัฐภูมิ และแอนนี่ บรุ๊ค ซึ่งทางฝ่ายหญิงยังคงยืนยัน ไม่ตรวจดีเอ็นเอ นั้น นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวในฐานะโฆษกกระทรวงยุติธรรมกล่าวในแง่กฎหมายว่า กรณีที่ฝ่ายหญิงไม่ยอมตรวจดีเอ็นเอ  ฝ่ายชายสามารถใช้กระบวนการยุติธรรมทางศาล ในการตรวจเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและชัดเจน แต่หลักการสำคัญฝ่ายชายจะต้องร้องขอต่อศาล โดยแสดงเจตนาชัดเจนว่าประสงค์จะรับรองบุตรว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่จะขอตรวจดีเอ็นเอก่อนแล้วจึงค่อยรับผิดชอบ ทั้งนี้ ในกระบวนการทางศาลนั้น  หากศาลสั่งให้ตรวจดีเอ็นเอเด็ก แม่ของเด็กจะคัดค้านไม่ได้ และถือเป็นการคุ้มครองสิทธิเด็กที่มีสิทธิจะรู้ว่าใครเป็นพ่อ ซึ่งหากผลตรวจปรากฏว่าไม่ใช่พ่อเด็ก ก็จะไม่สั่งให้รับรองบุตร ส่วนในทางกลับกัน หากว่าฝ่ายหญิงต้องการตรวจดีเอ็นเอเด็ก เพื่อให้มีการรับรองบุตร ก็สามารถใช้กระบวนการยุติธรรมทางศาลบังคับได้เช่นกัน ที่มา : http://news.mthai.com/general-news/88333.html จากคุณ : lo2to (lo2to) เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 53 00:09:08

ความคิดเห็นที่ 46 ^ ^ เอ่อ... ศาลเป็นอิสระ ศาลยึดตามตัวบทกฎหมายไม่ขึ้นกับกระทรวงยุติธรรมและนั่นเป็นแค่ความเห็น (ผิดๆ) ของกระทรวงยุติธรรม จากคุณ : sunsy เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 53 00:49:30

ความคิดเห็นที่ 47 คุณ lo2to ผมตอบคำถามในกระทู้นี้ตามตัวบทกฎหมาย รวมทั้งแนวคำพิพากษาศาลฏีกาที่ไปค้นมาครับ (แต่ไม่ได้ลงในนี้ เพราะมันยาวเกิน) ถ้าอธิบดี DSI เห็นต่างว่าบังคับตรวจได้ ก็รบกวนถามไปว่าอ้างบทกฎหมายมาตราใดครับ เพราะที่เรียนมา แม้กระทั่งคดีอาญา ยังบังคับตรวจไม่ได้เลยครับ และอย่างความเห็นข้างต้นของผม ถ้าไปฟ้องขอรับรองบุตร แปลว่าผู้ฟ้องมั่นใจว่าเด็กเป็นบุตรของตนแล้ว ถึงไม่มีการตรวจ DNA ก็รับเป็นบุตรได้ครับ เพราะผู้ค้ดค้านไม่ยอมให้ตรวจ และไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันว่าเด็กไม่ใช่บุตรของฝ่ายชาย เหมือนกับเราเกิดมา พ่อเรามั่นใจว่าเราเป็นลูก ใส่ชื่อไปเลย ไม่เคยต้องตรวจ DNA แบบนั้นแหละครับ เท่าที่ความรู้ผมมี ไม่มีบทกฎหมายมาตราใดในประเทศไทย บังคับให้มีการกระทำกับเนื้อตัวร่างกายของบุคคลอื่นได้ครับ แม้ว่าจะเป็นการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อผลประโยชน์แห่งคดีเองก็ตาม ที่แนะนำไปในความเห็นข้างต้น ก็เป็นแนวทางการฟ้อง เพื่อบีบให้ยอมให้ตรวจ ไม่ก็ต้องจ่ายค่าเสียหายทางละเมิด ซึ่งใครจะรู้ล่ะครับ ฝ่ายหญิงอาจยอมจ่ายเงินมากกว่าตรวจ DNA ก็ได้ ถึงตอนนั้นก็ไม่มีการตรวจ DNA อยู่ดี จากคุณ : เศรษฐกร เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 53 09:05:35

ความคิดเห็นที่ 48 น่าจะเป็นกระทู้แนะนำมากเลยค่ะ  มีสาระดีมาก จากคุณ : nUiIzAwOo เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 53 09:42:46

ความคิดเห็นที่ 49 ชืนชม คุณเศรษฐกร ทุกคห. ตอบได้ดีมีที่อ้างอิง ไม่ใช่ไม่สนอะไรด่ากันไปไม่มีเหตุผล ตามความชอบของตน จากคุณ : s.duan เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 53 10:57:25

ความคิดเห็นที่ 50   ไปฟ้องรับรองบุตรไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะถ้าแม่ยอมให้รับรองก็จบ จะไปบังคับตรวจก็ไม่ได้ (เว้นถ้ารับรองไปแล้ว วันหลังได้DNAเด็กมาเอามาหักล้างไดทีหลัง) ผมว่าใช่เรื่องฟ้องหมิ่นประมาทน่ะแหละครับ ฟ้องทั้งแพ่ง ทั้งอาญาเลย ประเด็นของคดีมันจะอยู่ที่คำฟ้องครับ อยู่ดีๆมากล่าวหาว่าฝ่ายชายไปไข่ทิ้งไว้ คนนี้เป็นลูกฝ่ายชาย ทำให้ฝ่ายชายเสียชื่อเสียง ประเด็นว่าลูกจริงหรือไม่นั้น ขอแยกพิจารณาอย่างนี้ครับ 1. คดีอาญา ไอ้ที่ทำๆมา แถลงข่าวให้เสีย ว่าทำตนท้อง ไม่รับผิดชอบน่ะ เข้าหมิ่นประมาทอยู่แล้วครับ ต่อให้เป็นลูกฝ่ายชายจริงก็เป็นหมิ่นประมาท เรื่องจริงหรือไม่จริงไม่เกี่ยวเลย ถึงคุณจะบอกว่าการพิสูจน์ความจริงไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน แต่การพิสูจน์นั้นเป็นเหตุยกเว้นโทษเท่านั้น ลองดูเหตุยกเว้นความผิดดูครับ ถ้าทางฝ่ายหญิงสู้ว่าตนแสดงความเห็นเพื่อปกป้องส่วนได้เสียของตน เพราะนี่เป็นลูกตนกะฝ่ายชายจริงๆ(ซึ่งจะทำให้ไอ้ที่ทำไปไม่เป็นความผิด) ประเด็นแห่งคดีจะเข้ามาทันทีว่า ลูกจริงหรือไม่ หรือในคำฟ้อง ฝ่ายชายก็เขียนขึ้นมาเลยว่าการกระทำของฝ่ายหญิงเป็นหมิ่นประมาท และไม่ใช่การแสดงความเห็นเพื่อปกป้องส่วนได้เสียของตน เพราะจริงๆแล้วไม่ใช่ลูกฝ่ายชาย ประเด็นเกิดจากคำฟ้อง คำให้การทันทีครับ เพราะถ้าเป็นลูกฝ่ายชายจริง อาจเข้าเหตุยกเว้นความผิดได้ ถ้าฝ่ายหญิงรับว่าไม่ใช่ลูกฝ่ายชายจริง ประเด็นก็จบ แต่ถ้าไม่รับ หรือไม่ได้กล่าวในคำให้การเลย (ไม่ว่าจะสู้ว่าแสดงความเห้นสุจริตปกป้องส่วนได้เสียตนหรือไม่ก็ตาม) ประเด็นนี้จะยังอยู่ในคดี และโจทก์มีหน้าที่พิสูจน์ ร้องขอตรวจได้ การมีประเด็นแบบนี้จะนำไปสู่>การตรวจDNA> หญิงไม่ยอมให้ตรวจ หญิงแพ้ประเด็นนี้ ถือว่าไม่ใช่ลูก และเท่าที่ดูฝ่ายชายพิสูจน์องค์ประกอบหมิ่นประมาทได้หมด ก็จะมีความผิด แต่คดีแบบนี้อาจจะรอลงอาญา 2. คดีแพ่ง ฟ้องหมิ่นว่าอยู่ดีๆมาหาว่าไปทำเค้าท้อง ประเด็นลูกจริงหรือไม่มีอยู่ในคดีอยู่แล้ว ถ้าฝ่ายหญิงไม่อ้างว่าเป็นลูกจริงๆ=ยอมรับ แพ้ทั้งเรื่องหมิ่นประมาท และแพ้ทั้งเรื่องอ้างว่าลูกฝ่ายชาย ถ้าอ้างว่าลูกฝ่ายชายจริงๆ=ต้องมีการตรวจ=ไม่ยอมให้ตรวจ หักล้างไม่ได้ แพ้คดีตามประเด็นอีก มันอยู่ที่เขียนคำฟ้องกับคำให้การด้วย ว่าประเด็นลูกจริงหรือเปล่าจะเข้ามาในคดีมั้ย ส่วนเรื่องการรับรองบุตร เคยมีกรณีแบบนี้ครับ กฎหมายเขียนยังไง ก็ยิ่งใหญ่กว่าDNA ไปไม่ได้ ชายแต่งงานกับหญิง อยู่กันมานาน ลูกเกิดก็ไปแจ้งเกิดให้ว่าเป็นลูกตน ต่อมาสงสัยพฤติกรรมภริยา ทั้งที่เลี้ยงเด็กมาหลายปีแล้ว เลยแอบเอาDNAเด็กไปตรวจ ปรากฏว่าภริยาไปท้องกับคนอื่น สามีฟ้องว่าไม่ใช่ลูกตนได้ครับ ทั้งที่ตามกฎหมายบอกว่าถ้าไปแจ้งเกิดห้ามฟ้องว่าไม่ใช่ลูกตน เพราะการแจ้งเกิดคือรับรองแล้ว -เป็นการตีความที่ใช้ความจริงของDNAสำคัญกว่า โดยตีความว่า ไอ้ที่กฎหมายห้ามฟ้องว่าไม่ใช่ลูกตนถ้าไปแจ้งเกิดและรับรองว่าเป็นลูกตนมาแล้ว หมายถึงกรณีที่ไม่มีหลักฐานชัดๆว่าตามความเป็นจริงไม่ใช่ลูกตน (ผมไม่แน่ใจว่าฎีกานี้ตีพิมพ์หรือเปล่านะ) ดังนั้นจากการที่ถือความจริงเป็นสำคัญจากแนวคำพิพากษาข้างตน ถ้ารับรองบุตรไปแล้ว วันหลังได้DNAมา ก็หักล้างได้ เพราะศาลถือว่า ไม่ใช่ลูกกันจริงๆ จะไปบังคับเขาให้เป็นลูกได้ยังไง จากคุณ : nonamesaur เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 53 12:06:21 A:66.222.31.150 X: TicketID:147080

ความคิดเห็นที่ 51 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 17:56:33

ความคิดเห็นที่ 52 ถ้า ฟ ไปฟ้องร้องรับรองเป็นบุตรแล้ว อ ไม่ตรวจทำให้ ฟ ชนะคดี กรณีนี้คือ ฟ ก็จะเป็นพ่อเด็ก แล้วถ้า ฟ ใช้อำนาจในฐานะพ่อของเด็ก นำ เด็ก ไปตรวจ DNA ได้ไหม จากคุณ : ชั่วคราว เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 18:26:07

ความคิดเห็นที่ 53 คคห.50   ถ้าชายฟ้องว่า เด็กไม่ใช่ลูก  ฟ้องหมิ่นประมาทแม่  ขอตรวจยืนยัน คราวนี้ แม่เกิดให้ตรวจขึ้นมา หรือ ศาลสั่งให้ตรวจตาม ดีเอสไอ บอก  แล้ว เกิดใช่ขึ้นมา   คราวนี้  ฝ่ายชายจะถูกถล่มไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอีกแน่นอน เพราะฉะนั้น ถ้าฝ่ายชายไม่เคยมีสัมพันธ์กับหญิงเลย  อาจจะใช้วิธีนี้ได้ครับ แต่ถ้ามี  แล้วก็มีในช่วงเวลาที่น่าสงสัย  ผมว่า เสี่ยงเกินไปที่จะไปฟ้องแบบนี้ ครับ  ซึ่งผมว่า  ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้ๆกันอยู่ แล้ว ล่ะครับ  มีแต่พวกเรานี่แหละ ที่ไม่รู้ จากคุณ : กินลม ชมทะเล เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 53 17:42:20

ความคิดเห็นที่ 54   ^ ก็บอกให้ฟังครับ ว่าทางกฎหมายทำให้ตรวจได้ ไม่ยอมตรวจถือว่ารับว่าไม่ใช่ ถือเหมือนว่าตรวจออกมาแล้วไม่ใช่ลูก เว้นจะหักล้างได้ แต่จะเอาอะไรมาหักล้างล่ะ ถ้าตรวจแล้วใช่ ก็รับความเสียหายเอาเอง จากคุณ : nonamesaur เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 00:31:32 A:128.104.94.210 X: TicketID:147080

ความคิดเห็นที่ 55 คห.53 เอ่อ คุณต้องเข้าใจก่อนนิดนึงว่า ประเด็นทางสังคมตอนนี้นี่ไม่ใช่ว่า ฟิล์ม หรือ แอนนี่จะเสียตังค์เท่าไหร่ หรือเสียชื่อเสียงยังไงครับ แต่มันคือว่า ลูกของแอนนี่ เป็นลูกใครตะหาก ซึ่งเหตุผลที่ต้องฟ้องในแนวทาง ที่ดูเหมือนว่าฟิล์มจะเสียเปรียบเมื่อเด็กที่เกิดมาใช่ลูกฟิล์ม แต่เราไม่ได้สนใจหรอกครับว่าฟิล์มจะรู้สึกยังไง เพราะไม่ใช่เรื่องของเรา แต่ตอนนี้ แค่ต้องการให้มีการตรวจ DNA เด็ก เกิดขึ้นมาแค่นั้นครับ จากคุณ : +Carbocat+ เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 03:55:31

ความคิดเห็นที่ 56 กรณีคห. 52 ผมว่าทำไปก็ไม่มีประโยชน์น่ะครัีบ เพราะถ้าฟิล์มรับไปแล้ว จะให้เด็กตรวจได้ ต้องไปฟ้องร้องกันเรื่อง สิทธิเลี้ยงดูในตัวบุตร แต่สมมุติว่าฟิล์มชนะ ฟิล์มก็ถือว่าเป็นพ่อแท้ๆของเด็กตามกฎหมายไปแล้ว ไม่น่าจะสามารถสละสิทธิ์นั้นได้ ไม่ว่าผลตรวจ DNA เด็กตอนหลังจะออกมาอย่างไร ลองนึกตามสามัญสำนึกดูก็ได้ครับ อยู่ดีพ่อคุณเกิดไม่รับคุณขึ้นมาแล้วบอกขอให้คุณพิสูจน์ DNA ถ้าเพื่อมรดกอะไรในภายหลังก็คงอีกเรื่องนึงแหละ มันน่าจะสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนหนักกว่าเดิมอีก แต่ในทางทั่วๆไป มันไม่ควรมีพ่อคนไหนในโลกควรทำ ถูกมั้ยครับ จากคุณ : +Carbocat+ เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 04:02:29

ความคิดเห็นที่ 57 ^ มีคดีที่พ่อแอบเอาผมของลูกหรืออะไรซักอย่างนี่แหละไปตรวจdna และพบว่าภริยาตนนอกใจ ลูกไม่ใช่ลูกตน เพราะพ่อเกิดความสงสัยขึ้นมา พ่อคนนี้เป็นคนไปแจ้งเกิดให้ลูก ซึ่งกฎหมายระบุไว้เด็ดขาดเลยว่าถ้าเป็นคนไปแจ้งเกิดให้ลูกถือว่าจะมาฟ้องว่าไม่ใช่ลูกทีหลังไม่ได้ แต่ศาลบอกว่ากรณีดังกล่าว ไม่ใช้กับกรณีที่มีหลักฐานชัดๆคือdnaว่าไม่ใช่ลูกจริง กฎหมายไม่บังคับให้รับคนที่จริงๆไม่ใช่ลูกเป็นลูก ดังนั้นถ้าตามแนวข้างบน แม้รับรองบุตรไปแล้ว ภายหลังหักล้างได้ว่าไม่ใช่ลูกเพราะมีหลักฐานจริงๆว่าไม่ใช่ลูก(กรณีนี้คือdna)ก็อาจจะมาขอปฏิเสธได้ทีหลัง ต้องดูว่าศาลจะว่าไง ตามความเห็น55 ประเด็นสำคัญคือประเด็นว่าลูกใครนั่นแหละ แต่ทางกฎหมายเราจะทำให้ตรวจได้ยังไง เลยต้องลองใช้เรื่องหมิ่นประมาทเพื่อจะได้ขอพิสูจน์ความจริง โดยมีการขอตรวจdna เพราะอยู่ๆจะไปร้องขอตรวจdnaใครต่อใครไม่ได้ ต้องมีกฎหมายอนุญาตให้ทำ จึงต้องลองใช้เรื่องหมิ่นประมาทดู ส่วนฟ้องขอรับรองบุตรเพื่อจะให้ตรวจdna จริงๆน่าจะไม่work เพราะฝ่ายชายต้องฟ้องโดยอ้างว่านี่ลูกฝ่ายชายนะ ถ้าฝ่ายหญิงยอมรับว่าเออ นี่ลูกฝ่ายชาย ประเด็นก็จบว่าฝ่ายชายเป็นพ่อจริง และฝ่ายชายก็รับรองบุตรไปโดยไม่มีการตรวจdnaเลย ปล. ยืมlog in เพื่อนมา เพราะบัตรผ่านโพสไม่ได้แล้ว จากคุณ : อยากเป็นแรมโบ้^-^ เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 11:20:24