Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ชั่วฟ้าดินสลาย : ใครผิด ใครถูก อยู่ที่ใครจะตัดสิน?/อภินันท์  

Facebook...teelao1979@hotmail.com
     
       คงไม่ใช่แค่ผมเพียงคนเดียวที่คิดว่า หนังดีๆ บางทีก็เหมือนกับทัศนียภาพที่รื่นรมย์ หนทางข้างหน้ายังต้องไป นั้นเป็นเรื่องที่แน่นอน แต่เราก็ยังอยากจะอ้อยอิ่งนิ่งชมทัศนียภาพที่สวยงามนั้นต่ออีกสักพัก ไม่อยากรีบเลยผ่าน ด้วยเหตุดังนั้น แม้ว่าสัปดาห์ที่ผ่านพ้น จะมีหนังใหม่เข้าฉายอยู่ 2-3 เรื่อง ทั้งหนังจีนรักชาติอย่าง “เฉินเจิน หน้ากากฮีโร่” หรือแม้กระทั่งหนังผีไทยอย่าง “ตายทั้งกลม” (ที่ตั้งชื่อภาษาอังกฤษได้หวานแหววว่า The Snow White) แต่ที่สุดแล้ว ผมคิดว่าหนังเก่าๆ ที่เข้าฉายในอาทิตย์ก่อนหน้า อย่าง “ชั่วฟ้าดินสลาย” ก็ยังมี “ทัศนียภาพ” อีกมากมายให้เรามอง
     
       ประกอบกับว่า หลังจากบทความชิ้นที่แล้วเผยแพร่ออกไป มีผู้อ่านหลายๆ ท่านอีเมล์จดหมายมาพูดคุยแสดงความเห็นเยอะพอสมควร และก็ล้วนเป็นทัศนะที่พยายามตีโจทย์เจาะประเด็นในเชิงลึก นับเป็นการเปิดโลกทัศน์มุมมองต่อหนังเรื่องหนึ่งให้กว้างขวางหลากหลาย นาทีนี้ แม้ไม่จำเป็นต้องยกยอปอปั้นว่ามันเป็นหนังที่ดีหรือหนังที่ยอดเยี่ยม แต่ “ชั่วฟ้าดินสลาย” ก็ได้คะแนนในส่วนของ “หนังชวนให้คิด” ไปแล้วเรียบร้อย
     
       ความดีงามของหนังเรื่องนี้ก็อย่างที่ผมบอกไว้ในบทความชิ้นก่อนนั่นล่ะครับว่า ส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะอานิสงส์ของต้นฉบับนวนิยายที่ครูมาลัย ชูพินิจ (หรือ “เรียมเอง”, “แม่อนงค์”, “น้อย อินทนนท์” ฯลฯ) ท่านลิขิตไว้ยอดเยี่ยมมาก ขณะที่ผู้กำกับอย่างหม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล ก็หยิบจับเอามาถ่ายทอดบนแผ่นฟิล์มได้อย่างคนที่กระจ่างแจ้งในคำว่า “คุณค่าของงานวรรณกรรม” ไม่เสียทีที่มีต้นทุนดี เช่นเดียวกับหนังที่สร้างมาจากวรรณกรรมหลายต่อหลายเรื่อง ทั้ง “มหา'ลัยเหมืองแร่”, “คำพิพากษา”, “ลูกอีสาน” ฯลฯ
     
       ภาพยนตร์ที่มีต้นทุนด้านวรรณกรรม ใช่ว่าจะทำออกมาได้ดีหมดทุกเรื่องนะครับ แต่สำหรับ “ชั่วฟ้าดินสลาย” เวอร์ชั่นนี้ ผมมีแต่ต้องเอ่ยชม แน่นอนล่ะ ผมอาจจะตะขิดตะขวงใจกับช่วงท้ายๆ ของหนังที่รวบหัวรวบหางไปบ้าง (คือตั้งแต่ช่วงที่ส่างหม่องเริ่มระหองระแหงกับยุพดีเป็นต้นไป) แต่ก็เข้าใจในเหตุผลของหนังที่ต้องทำเช่นนั้น เพราะถ้าจะค่อยๆ นำเสนอปัญหาในการอยู่ร่วมกันให้สมจริง มันคงต้องยืดเวลาออกไปอีกซึ่งจะส่งผลอื่นๆ ตามมา (งบบานปลาย รอบฉายน้อย คนดูก็จะพลอยรำคาญ เพราะมันจะยาวเกิน)
     
       แต่ถึงกระนั้น เมื่อพินิจดูที่แก่นสารคุณค่า ผมคิดว่าผลงานของหม่อมน้อยเรื่องนี้ยังคงสามารถเก็บเกี่ยวเอาคุณค่าด้านเนื้อหาของบทประพันธ์มานำเสนอได้อย่างครบถ้วน ผสมผสานไปกับการตีความใหม่ในบางแง่บางมุม แต่ก็สอดคล้องกลมกลืนกับบทประพันธ์ดั้งเดิม และบทความชิ้นนี้ ผมก็อยากจะพูดถึงสิ่งนั้น และมันก็คงเลี่ยงได้ยากที่จะไม่เข้าไปแตะเนื้อหาเรื่องราว รวมทั้งพื้นฐานความเป็นมาเป็นไปของตัวละคร ดังนั้น หากใครที่ยังไม่ได้ดู คิดว่าจะไปดู และกลัวว่าจะสูญเสียอรรถรส กรุณาข้ามบทความนี้ไปเสีย
     
       อันดับแรกสุดที่ผมเห็นเป็นความดีเด่นของหนังเรื่องนี้ อยู่ที่การสร้างมิติให้กับตัวละครหลักๆ ในเรื่อง ผมชอบที่หนังไม่พิพากษาว่าพวกเขาดีหรือเลว แต่เปิดช่องให้ทุกๆ คนมีโอกาสในการเปิดเผยตัวตนและความต้องการในด้านต่างๆ ออกมาได้อย่างเต็มที่ ทุกๆ คนจึงดูมีเหตุมีผลและมีแรงจูงใจต่อทุกๆ การกระทำของตนเอง ถ้าพูดแบบมีหลักมีการสักนิด ก็คงต้องบอกว่าพวกเขาเป็นตัวละครแบบ Round Character ซึ่งหมายถึงตัวละครที่มีความซับซ้อนในลักษณะนิสัย มีดีมีเลวปะปน เหมือนกับผู้คนอย่างเราๆ ท่านๆ ที่มีด้านมืดด้านสว่างคละเคล้ากันไป ตัวละครแบบนี้จะต่างจากพวกที่เรียกว่า Type Character ซึ่งมักจะมีลักษณะแบนๆ ไร้มิติ ถ้าไม่เลวสุดขั้ว ก็เป็นชั่วสุดขีด สุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่ง อะไรทำนองนั้น (เรื่องแบบนี้ละครไทยถนัดมาก เพราะตัวร้ายก็ร้ายยย...อย่างไร้เหตุผล ตัวนางเอกก็ดี๊...ดีจนแทบไม่มีที่จะให้ติ นอกจากความโง่)
     
       ผู้อ่านบางท่านบอกว่า หลักๆ แล้ว หนังพูดถึงเรื่องศีลธรรม หรือดูแล้วได้แง่คิดว่าไม่ควรทำผิดศีลธรรม ซึ่งผมว่าก็ถูกต้องครับ แต่นั่น “ไม่ใช่ทั้งหมด” เพราะถ้าจะว่ากันจริงๆ หนังเพียงใช้สอยเรื่องราวเชิงโลกีย์ที่ผิดบาปเป็นเสมือน “ต้นทาง” หรือตัวจุดประกายเพื่อนำพาเราเข้าไปสำรวจตัวตน “ความเป็นคน” ที่ซับซ้อนของตัวละคร ดังนั้น มันจึงไม่แปลกที่เราจะมีอย่างน้อย “สองความรู้สึก” ต่อตัวละครหนึ่งตัว บางทีรู้สึกดีต่อเขาหรือเธอ แต่บางทีก็เผลอเปลี่ยนเป็นชิงชัง นี่คือเสน่ห์ของหนังที่เราไม่ได้เห็นบ่อยนัก
     
       คนแรกที่ทั้งน่ารักทั้งน่าชิงชัง ย่อมหนีไม่พ้นบทของพลอย-เฌอมาลย์ บุณยศักดิ์ ในฐานะ “ยุพดี” ซึ่งก็มีเรื่องที่น่าแปลกใจสำหรับผมพอสมควรกับการที่ผู้อ่านบางท่านหยิบยกเธอไปเทียบเคียงกับ “บรานช์ ดูบัวร์” ในหนังที่สร้างมาจากนิยายรางวัลพูลิตเซอร์ อย่าง A Streetcar Named Desire เพราะทีแรก ผมไม่ได้เคยนึกถึงผู้หญิงคนนี้เลย ในใจก็คิดแต่ว่ายุพดีแกคือ “มาดาม โบวารี” (จากบทประพันธ์อันลือลั่นสั่นคลอนศีลธรรม ของกุสตาฟ โฟลแบรต์) แต่ไม่ว่าจะยังไง ที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น “มาดาม โบวารี”, “บรานช์ ดูบัวร์” หรือแม้แต่ยุพดี ผู้หญิงทั้งสามคนนี้ต่างมีลักษณะร่วมบางประการที่เหมือนกันก็คือ กำลังมองหาบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างไปจากเดิม และที่สำคัญ บางสิ่งบางอย่างที่ว่านั้นล้วนไม่ตรงกันกับ “ความคาดหวังของสังคม”
     
       อย่างไรก็ดี ผมกลับมีความสุขที่จะคิดมากกว่าว่า ยุพดีนั้นดูเหมือนกับมาดาม โบวารี มากที่สุด ในแง่ที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่หลอมรวมเป็นตัวเป็นตนของเธอ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกนึกคิดหรือพฤติการณ์ต่างๆ นั้น ล้วนแล้วแต่มีความล้ำหน้าไปมากกว่าสังคมที่ตัวเองสังกัด เธอทั้งสองเหมือน “คนนอก” ที่หลุดออกไปจากกรอบวิถีที่คนส่วนใหญ่เป็นกัน
     
       ในกรณีของมาดาม โบวารี เธอคือแม่ศรีเรือนที่สามีต้องออกไปทำงานนอกบ้านในดินแดนห่างไกลตลอดทั้งปีทั้งชาติ ปล่อยให้เธอซังกะตายกับชีวิตแม่บ้าน และเมื่อเธอได้พบเห็นสไตล์ชีวิตที่เปี่ยมสีสันน่าหลงใหลในงานเลี้ยงคราวหนึ่ง จิตใจเธอก็ปักมั่นฝันถึงรูปแบบชีวิตเช่นนั้น ก่อนจะพาตัวเองเตลิดเปิดเปิงเข้าไปสู่ “โลกใบใหม่” ท่ามกลางเสียงด่าทอของสังคม
     
       สำหรับยุพดี นอกเหนือไปจากความคิดความอ่านที่ไปไกลกว่าผู้คนส่วนใหญ่ หนังได้ให้รายละเอียดย้อนหลังเล็กน้อยว่าเธอเคยล้มเหลวกับเรื่องรักมาก่อนแล้ว ตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมา ยุพดีไม่น่าจะเคยได้สัมผัสกับความรักอย่างแท้จริง แม้เมื่อมาอยู่กินกับพะโป้ก็เนื่องเพราะพะโป้หลงเสน่ห์ของเธออย่างฉับพลัน ขาดการบ่มเพาะในแง่ของ “ความรู้สึกรัก” และพออยู่กินกันจริงๆ ผมเดาว่ารสชาติชีวิตคู่ระหว่างเธอกับนายห้างก็ไม่น่าจะมีรสชาติหรือชีวิตชีวาอะไรนัก เพราะสังเกตจากในหนัง เราแทบไม่เห็นว่าจะมีฉากกระหนุงกระหนิงตามประสาคู่รักระหว่างเธอกับพะโป้เลย แน่ล่ะว่า พะโป้อาจจะไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ แต่สำหรับยุพดี ดูเหมือนเธอจะมีความปรารถนาในสิ่งนั้น (ดังนั้น เมื่อเธออยู่กับส่างหม่อง เราจึงได้เห็นความร่าเริงสดใสของหญิงสาวคนนี้เปล่งประกายออกมาทั้งทางสีหน้าแววตาและกิริยาท่าทาง)
     
       ยุพดี ไม่ใช่ “ผู้หญิงไม่อิ่มรัก” หากแต่เธอปรารถนา “ชีวิตชีวาแห่งรัก” อยากสัมผัสความมีชีวิตชีวาของสิ่งที่เรียกว่าความรักซึ่งมากไปกว่าการเป็นเครื่องมือสนองตัณหาของใครบางคน และความปรารถนานี้ก็ค่อยๆ เผยออกมา เมื่อเธอได้พบกับ “ส่างหม่อง”...
     
       “ส่างหม่อง” อาจจะดูเป็นชายหนุ่มสุขุมนุ่มลึกเหมือนบัณฑิตที่คงแก่เรียน ไม่เคยมีหญิงสาวคนไหนผ่านเข้ามาในชีวิต แต่ลึกๆ เขาก็มีสัญชาตญาณความเป็นเพศผู้นอนนิ่งอยู่ในตัวอย่างเต็มเปี่ยม เมื่อถูกสะกิดยั่วยุโดยยุพดี จิตใจเขาก็เริ่มว้าวุ่นสับสนจนกระทั่งหักห้ามใจไว้ไม่อยู่ นำไปสู่การเล่นชู้กับหญิงสาวของผู้เป็นอา
     
       อาของส่างหม่อง ซึ่งได้แก่พะโป้ เขาสมควรได้รับความรู้สึกเห็นอกเห็นใจโดยแท้จริง จากการที่ถูกหญิงผู้เป็นภรรยาและหลานรักหักหลังอย่างไม่ไว้หน้า อย่างไรก็ดี ถ้าลองมองย้อนกลับไปดูแรงจูงใจที่ทำให้ยุพดีเป็นเช่นนั้นก็เกิดจากตัวพะโป้ด้วยอย่างยากจะปฏิเสธ ยิ่งเมื่อคิดถึงว่า เขาคือนายห้างร่ำรวยที่มีหญิงสาวในสังกัดหลายชีวิต ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะเมื่อมีหญิงมากมาย ก็ไม่ได้ให้การเอาใจใส่พวกเธออย่างจริงจัง และหลังจากนั้น ก็ยังลงโทษหนุ่มสาวทั้งสองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งที่คนอื่นๆ (อย่างเช่นคุณทิพ) เห็นว่ามันหนักหนาสาสมแล้ว
     
       นี่แหละครับคือความแยบยลและยอกย้อนซับซ้อนของหนัง อุปมาก็ดั่งงูกินหาง ปมปัญหามันวกไปวนมาจนยากจะตัดสินได้ว่า ใครควรจะอยู่ที่หนึ่งหรือที่สองในแง่ของความรับผิดชอบต่อโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น ยุพดีไม่น่าจะนอกใจพะโป้ตั้งแต่แรก ขณะที่พะโป้ ผมว่าคนดูก็คงรู้สึกเวทนาและยกย่องในความสะกดกลั้นของเขาอย่างถึงที่สุดตอนที่เขาเห็นส่างหม่องคลอเคลียนัวเนียกับยุพดี ข้อนี้น่าเห็นใจ แต่ที่สุดแล้ว เขาก็ไม่น่าที่จะใจไม้ไส้ระกำต่อผู้ร้ายที่ “สำนึกบาปแล้ว” และมากราบกรานวิงวอนขอโทษขนาดนั้น เพราะอย่างน้อยๆ เขาก็ดูเป็นคนที่มีธาตุของความธรรมะธรรมโมอยู่ในตัว แต่สุดท้าย เขากลับกักเก็บความโกรธแค้นไว้ในใจไม่ยอมปล่อยวาง (อย่างที่เขาบอก “ชั่วฟ้าดินสลาย”) ไม่มีพื้นที่ให้ “อภัยทาน”
     
       ขณะเดียวกัน คนหนุ่มอย่าง “ส่างหม่อง” ที่หลายๆ คนอาจจะมองว่าเป็น “ไก่อ่อน” หรือ “เหยื่อ” ของเรื่องราว แต่ถึงยังไง ในฐานะของบัณฑิตหนุ่มที่รุ่มรวยด้วยการศึกษา ก็น่าจะมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีหรือยับยั้งชั่งใจ ไม่พ่ายแพ้ให้แก่กามกิเลส (ในแง่นี้ การ “มีการศึกษาที่ดี” จึงไม่ใช่เครื่องการันตีได้เลยว่า เขาหรือเธอจะไม่ละเมิดต่อศีลธรรมความดี)
     
       หนังมีฉากซึ่งผมคิดว่าเป็นฉากในเชิงสัญลักษณ์ที่ดีมากๆ ฉากหนึ่งก็คือ ตอนที่ส่างหม่องยืนมองดอกไม้ดอกหนึ่งแล้วนึกไปถึงคำพูดของพะโป้ที่สอนเขาเมื่อครั้งยังเด็กว่าดอกไม้นั้นมันจะสวยงามมากกว่าถ้าปล่อยให้มันอยู่บนก้านกิ่ง เพราถ้าปลิดมันออกมา ประเดี๋ยวประด๋าวก็เหี่ยวเฉาไม่น่าชม แต่ส่างหม่องผู้กำลังมึนเมาหลงใหลในรูปรสกลิ่นเสียง ไหนเลยจะยึดถือคำสอนของอา เขาไม่ได้แค่ “เห็นว่า” ยุพดีคือบุปผาที่สวยงามดอกหนึ่ง หากแต่เขายังเด็ดบุปผาดอกนั้นมาดอมดมเชยชมด้วย
     
       แต่ก็อีกนั่นแหละ จะโทษส่างหม่องฝ่ายเดียวได้อย่างไร เพราะถ้า “บุปผา” มิเผยอกลีบให้ มีหรือที่ “ผีเสื้อหนุ่ม” จะสามารถบินทะลุทะลวงลึกเข้าไปจนถึงรังไข่ของดอกไม้ดอกนั้น?
     
       ใครผิด ใครถูก อยู่ที่ใครเป็นผู้ตัดสิน กับเรื่องราวนี้ แม้แต่ฟ้าดินยังไร้สิ้นซึ่งคำตอบ ใครประกอบกรรมอย่างไร ในทางศาสนา บอกไว้ว่าย่อมได้รับผลของกรรมตามนั้น อย่างไม่ต้องรอให้ใครมาพิพากษา ผมคิดว่าพวกเขาทั้งสามต่างก็ได้รับผลของการกระทำที่ตัวเองก่อไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นยุพดีที่แม้จะชิงทิ้งโลกไปเสียก่อน แต่ยามอยู่ก็ทุกข์ร้อนเหลือทน ไม่ต้องพูดถึงส่างหม่องที่ “ไม่ม่องก็เหมือนม่อง” เพราะอยู่ไปก็มิอาจรับรู้รสชาติใดของโลกและชีวิตได้อีกแล้ว
     
      พะโป้หรือก็ใช่ แม้สุดท้าย เขาจะสามารถใช้เงินตราสรรหาหญิงงามมาประจำบ้านได้อีกหลายนาง แต่ใครล่ะจะกล้าบอกว่าเขาคือคนที่แฮ็ปปี้ที่สุด บ้านช่องยังไม่ค่อยอยากจะอยู่ เพราะมิอาจทนดูอดีตอันรวดร้าวหลอกหลอน ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่เพราะใครอื่น หากแต่ด้วยตัวเขาเองที่แข็งขืนดึงดัน จะเก็บความเคียดแค้นนั้น
       
       ไว้จนตราบ...ชั่วฟ้าดินสลาย...

http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9530000137672

จากคุณ : wijuk
เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 20:57:08




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com