 |
รายการหมายเหตุประเทศไทย ตอน "ปฏิรูป ขสมก."
|
 |
| | | | | เห็นด้วย (5 คน) | | | | ไม่เห็นด้วย (2 คน) | | | | ไม่ออกเสียง (0 คน) | | | จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 7 คน |
มีใครดูรายการหมายเหตุประเทศไทยช่อง NBT ตอน 13.30น. - 14.00น. ที่ผ่านมาบ้าง พอดีเราเป็นคนที่ชอบรถเมล์อยู่แล้ว เลยอยากรู้ว่าแนวคิดนี้จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน เราได้ถอดความจากรายการมาให้อ่านด้วย สำหรับคนที่ไม่ได้ดู
เริ่มต้นเปิดรายการมา มีพิธีกรดำเนินการ 1 ท่าน และผู้เชี่ยวชาญอีก 2 ท่าน คือ คุณโอกาส เตพละกุล สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อีกท่านคือ รศ.ดร.ใยอนงค์ ทิมสุวรรณ ประธานคณะทำงานเศรษฐกิจภาคบริการท่องเที่ยวสภา ที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประเด็น สำคัญในการสนทนาครั้งนี้คือ "จะปลดหนี้ขสมก.จำนวน 7 หมื่นกว่าล้านได้อย่างไร" ภายใต้ข้อกำหนดคือ ลดหนี้รายวัน(12ล้านบาท) หนี้เก่าหาย ได้กำไร
คุณโอกาส กล่าวว่าการปลดหนี้ที่เร็วที่สุดคือ ให้สัมปทานการเดินรถกับบริษัทเอกชน ดังนั้น เงินที่เราจะได้มามีสองส่วนคือ 1.เงินค่าสัมปทาน เช่น สัมปทานคันละ 5 ล้าน 16,000 คัน = 80,000 ล้านบาท ก็สามารถปลดหนี้ได้แล้ว ! 2.เงินค่าสัมปทานรายเดือน กล่าวเสริมอีกว่า ปัจจุบัน ขสมก.ขาดทุน แต่รถร่วมยังได้กำไรอยู่
พิธีกรจึงถามว่า ทำไมรถร่วมไม่ขาดทุนเหมือนขสมก.? คุณใยอนงค์ตอบว่า ได้บอกกับรถร่วมไปว่า ถ้าเอกชนขาดทุน สามารถคืนสัมปทานให้ขสมก.ได้ แต่ยังไม่ปรากฏเอกชนใดคืนสัมปทาน กล่าวเสริมว่า ขสมก.ขาดทุนเพราะ 1. โครงสร้างเงินเดือนขององค์กร ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ เงินเดือนขึ้น 5% ต่อปี -- เป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก 2. ค่าเช่าอู่ขสมก. มีไม่พอ และแพง ค่าเช่าสูง รถเก่าเกิน 12 ปี ประชาชนมีทางเลือกอื่นๆในการเลือกใช้บริการ
เป้าหมาย 1.ไม่ก่อหนี้รายปี 2.ลดหนี้ได้ 3.อยู่ได้ด้วยตนเอง 4.ประชาชนไม่เดือดร้าน (จะทำอย่างไรให้บรรลุเป้าหมาย?)
คุณใยอนงค์บอกว่า การให้สัมปทานแก่ผู้ประกอบการ เป็นการสร้างสมดุลใหม่ กำจัดหนี้เดิมให้หมดไปก่อน คำนวณรายรับให้เท่ากับรายจ่าย รายจ่ายยังต้องรวมถึงค่าชดเชยพนักงาน เงินส่วนต่างที่พนักงานขาดไป (กระเป๋า พขร.ถูกเลิกจ้าง จึงต้องจ่ายค่าชดเชยไง) รายรับมาจาก เงินค่าสัมปทาน
ดังนั้น การที่จะทำให้รายรับเท่ากับรายจ่าย จึงต้องขึ้นกับจำนวนปีที่ให้สัมปทาน - คำนวณว่าต้องมีรายรับ และจำนวนปีที่ให้สัมปทาน ให้คุ้มกับรายจ่ายของขสมก. แล้วให้ผู้ประกอบการพิจารณาว่าคุ้มค่าหรือเปล่า แล้วเปิดประมูลสัมปทาน
แล้วผู้ประกอบการจะสนใจเหรอ? - ก็ขึ้นกับจำนวนปีที่ให้สัมปทาน
พิธีกรกล่าวว่า อย่างนี้จะทำให้ภาพลักษณ์ขององค์กรจากไม่หวังผลกำไร เปลี่ยนเป็นหวังผลกำไรหรือเปล่า คุณใยอนงค์กล่าวว่า ปัจจุบัน ขสมก.มีภาระหลายส่วน ทั้งควบคุมการเดินรถ และเดินรถเองด้วย และให้ความเห็นว่า จริงๆไม่น่าอยู่ส่วนเดียวกัน
แต่ถ้าเราเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ ขสมก.ตรวจสอบอย่างเดียว ตรวจสอบคุณภาพ ประเมินคุณภาพ คุณโอกาสกล่าวว่า ผู้โดยสารเป็นผู้ประเมินโดยรถทุกคันจะติดอุปกรณ์ทางอิเล็กโทรนิกส์ ตอนลงให้กดปุ่มว่าพอใจหรือไม่ แล้วข้อมูลจะโยงไปที่ center
พิธีกรกล่าวอย่างสงสัยว่า แล้วถ้าพนักงานมากดเองละ? คุณโอกาสตอบว่า มันฟ้องที่รายได้อยู่แล้ว คนขึ้นหมื่นคน มีคนกดหมื่นห้า ก็ทราบว่าพนักงานกดเอง
พิธีกรกล่าวว่า แล้วจะจัดการกับรถที่บริการแย่ๆอย่างไร คุณโอกาสกล่าวว่า เวลาให้สัมปทานต้องมีกฎกติกา ถ้าบริการประชาชนไม่ดี ขสมก.มีสิทธิ์ยึดสัมปทาน ยกเลิกสัมปทานได้
แล้วอย่างนี้มีสัมปทานใต้โต๊ะหรือเปล่า?? คุณ ใยอนงค์ตอบว่า ประชาชนคือผู้ใช้บริการ ประชาชนคือผู้ตรวจสอบ ไม่สามารถมีใครบังคับได้ ถ้าประชาชนร้องเรียนมาเยอะ ก็สามารถยึดสัมปทานได้เลย!!
แล้วเรื่องน้ำมันละ? เพราะเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ ถ้า ให้สัมปทาน ก็เป็นเรื่องของผู้ประกอบการที่จะบริหารจัดการ ขสมก.ที่มีทั้งค่าซ่อม ค่าเช่าอู่ ภาระเงินเดือน(สูงมาก) ก็จะลดไปเบ็ดเสร็จ
สรุป หนี้ของขสมก.จะหมดไปได้อย่างไร? 1. ได้เงินก้อนใหญ่ จากค่าสัมปทาน 2. ได้เงินก้อนเล็ก สัมปทานรายเดือน
โดยค่าสัมปทานรายเดือนที่ได้ ต้องคำนวณให้ครอบคลุมโครงสร้างใหม่ที่เล็กลง ขสมก.จะมีหน้าที่เหลือแค่ ควบคุม และอำนวยการ เท่านั้น
แล้วพนักงานขสมก.จะตกงานไหม? ถ้าแก้ไของค์กรใหม่แล้ว ผู้ที่ถูกตัดออกจากองค์การ ก็จะได้เงิน Early Retire ชดเชยตามกฎหมายแรงงาน หรือ พนักงานที่ออกไป จะรวมกลุ่มกัน 10 กว่าคน มาเป็นผู้ประกอบการกันเอง เพราะรู้จักการบริหารทุกอย่างอยู่แล้ว
แล้วเงินค่าสัมปทานเป็นล้านหามาจากไหน? ตอบ หาได้จากเงินก้อนของรัฐบาลที่ให้ไปตอน Early Retire
คุณใยอนงค์กล่าวเสริมว่า พนักงานที่ถูก Early Retire มี 4 ช่องทาง 1. Early ได้เงินก้อนไป 2. Early แล้วไปเป็นลูกจ้างของเอกชน โดยในสัมปทานมีระบุว่า ต้องรับพนักงา่นใหม่ไปด้วย 3. ทำงานกับขสมก. ยังทำได้ ยังมีรับอยู่ 4. อยากทำงานกับโครงสร้างใหม่ ก็สามารถทำได้
มี ผู้ชมทางบ้านโทรมา ถามว่า ไม่อยากให้มีรถร่วมบริการ และบริการไม่ดี แต่การให้สัมปทาน กลายเป็นว่า เป็นรถร่วมทั้งหมด? และอยากให้ดูแลขสมก.ให้ดีกว่านี้ แยกแยะสีของรถร่่วมกับขสมก.อย่างชัดเจน ตอบ ต่อไปรถจะมีแบบเดียว สีเดียว แล้ว ขสมก.จะมีหน้าที่กำหนด ควบคุม ตามเนื้อหาของสัมปทาน เชื่อในความสามารถของขสมก. ว่าสามารถควบคุมได้ จะมีมาตรฐานเดียว มาตรฐานขั้นต่ำถูกควบคุมไว้ ในการประเมินอย่างน้อยก็อยู่ในมาตรการขั้นต่ำ แต่ยังมีส่วนต่าง คือ แข่งกันบริการให้ดี เพราะประชาชนมีสิทธิ์เลือกใช้บริการ กลายเป็นส่วนต่างทางการแข่งขัน (คือเค้าจะบอกว่า เอกชนต้องแข่งขันกันเอง ทำให้ต้องทำให้ดีขึ้นๆอะ)
แล้วต่างจังหวัดละ? ไม่เห็นมีรถเมล์วิ่งเหมือนในกทม.เลย ตอบ แล้วแต่ผู้ว่าฯ ขสมก.มีรถเหลือ 300 กว่าคัน สามารถขายให้ได้???
ปัจจุบัน พนักงานคิดจะทำ OT อย่างเดียว ทราบมาว่าผู้ตรวจมีเงินเดือนถึง 4-5 หมื่นบาท อีกทั้งโทรไป 184 ก็ไม่ค่อยคืบหน้าเลย ตอบ ต่อไปจะเปลี่ยนแล้ว จะไม่มีภาพลักษณ์แบบนี้อีกแล้ว
พิธีกรถามต่อว่า แล้วถ้าประชาชนไม่เอาแบบนี้ละ ที่ทำมาก็จบ!!! ตอบ คิดว่ารัฐบาลทำในสิ่งที่ประเทศไทยได้ประโยชน์ที่สุด จากนโยบาลของกระทรวงการคลัง ทำยังไงก็ได้ให้อยู่คงที่ ไม่ขาดทุน ดังนั้น การให้สัมปทานแก่เอกชน ดูจะเป็นรูปธรรมและมีความเป็นไปได้มากที่สุด
สุดท้าย แล้วรถเมล์ฟรีหายไป จะทำอย่างไร ตอบ รถเมล์ฟรีเป็นนโยบายที่รัฐบาลต้องการให้บริการประชาชน ดังนั้น ต่อไปจะแจกเป็นคูปอง ขึ้นคันไหนก็ได้ แล้วผู้รับสัมปทานก็เอาคูปองมาหักจากค่าสัมปทานรายเดือน ! การที่ประชาชนขึ้นรถคันไหนก็ได้ ทำให้รัฐบาลได้จ่ายเงินตามจริง จริงๆ
และก็จบรายการ....
ถามว่าเห็นด้วยหรือไม่ที่ขสมก.จะให้สัมปทานเดินรถกับเอกชนทั้งหมด
โดยส่วนตัวเขาไม่ได้พูดถึงประเด็นที่ว่า ถ้าเอกชน นัดกันหยุดไม่วิ่งขึ้นมา ขสมก.จะจัดการยังไง? ดูเอกชนจะมีอำนาจเหนือขสมก.เหมือนกัน
แต่ สิ่งที่เขาเสนอไป เป็นสิ่งที่เราคิดมาตั้งนานแล้วว่าขสมก.ควรจะขายสัมปทานให้เอกชนวิ่งแล้วมา ดูแลอย่างเดียว ไม่ต้องวุ่นวายว่าวันนี้จะขาดทุน หรือกำไร เก็บค่าสัมปทานอย่างเดียว รายได้ก็คงตัวทุกเดือน บริหารง่ายกว่าเยอะ ส่วน แนวคิดแจกคูปอง ก็เป็นความคิดที่ดีอยู่เหมือนกัน อย่างน้อยก็ทำให้คนขับรถเมล์ฟรีไม่ต้องขับซิ่ง ไม่รับคน แล้วได้เงินคันละ 8000 บาทต่อวัน
จากคุณ |
:
billabuzz
|
เขียนเมื่อ |
:
6 ต.ค. 53 14:59:01
|
|
|
|  |