ใหม่ เจริญปุระ ค่ะ
อีพริ้ง คนเริงเมือง พ.ศ. 2531
(ช่อง 3:13 ตุลาคม – 19 ธันวาคม 2531)
นางเอกโดนชะตากรรมซัดพาไป จนต้องมีสามีถึง 7 เล่าเรื่องโดยย่อ นเรื่องนี้ย้อนไปในสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่สองเล็กน้อย ตัวเอก “พริ้ง” เป็นคนสวยพริ้งสมชื่อ พ่อแม่ตายไปตอนเด็กๆ ก็อยู่กับพี่สาวคนโต ซึ่งคอยดุด่า และเฆี่ยนตีพริ้งตลอด จนกระทั่งคุณประเทียบ ซึ่งเป็นมีศักดิ์เป็นภรรยาของญาติห่างๆของพริ้ง ไปพบแล้วสงสารจึงขอมาเลี้ยง คุณประเทียบเป็นสตรีไทยโบราณ ที่ใส่ใจเรื่องการบ้านการเรือน ก็พยายามอบรมสั่งสอนพริ้งให้เป็นกุลสตรีไทย แต่...สอนเท่าไร คนอย่างพริ้งก็ไม่เคยสนใจ พูดว่าอะไร พริ้งก็ฟังไปตามแกนแต่ไม่เคยจํา พอพริ้งเข้ารุ่นสาว แววความงามก็เริ่มปรากฏ พริ้งชอบชม้ายชายตาให้หนุ่มๆในละแวกบ้าน หลงเสน่ห์เล่น เป็นความสุขอย่างหนึ่งของพริ้ง เพราะพริ้งชอบให้มีคนรัก คนชอบ (ตามประสาคนมีปม) จนคุณประเทียบ ร้อนใจกลัวว่า พริ้งจะนําความอับอายขายหน้ามาให้ด้วยเรื่องของผู้ชาย คุณประเทียบเลยยกพริ้งให้แต่งงานกับคุณหมอพินิจ ซึ่งเทียวไปเทียวมาที่บ้าน ด้วยมนตร์เสน่ห์อยู่เป็นนาน พริ้งได้สามีคนแรก ตอนอายุ 16 นี่เอง สามีคนแรกแก่กว่าพริ้งถึง 20 ปี ชีวิตหลังแต่งงานของพริ้งไม่ได้ราบรื่นนัก เพราะแม่สามีไม่ชอบความประพฤติของลูกสะใภ้วัยละอ่อนเท่าไร อีกทั้งลูกสะให้คนนี้ก็ไม่ใช่กุลสตรี อดทนอดกลั้น แบบหญิงไทยที่ยอมทนให้แม่ผัวโขกสับ พริ้งปากกล้า ต่อล้อต่อเถียงแม่ผัวไม่มีเกรงกลัว อยู่ไปหนักข้อ ข่มสามีได้อีก คนที่ น่าสงสารที่สุดก็คุณหมอพินิจนี่ละ แรกๆ ชีวิตก็ทําท่าจะดี แต่พออยู่ไปนานเข้า คุณเมียก็มีแต่เรื่องปวดหัวมาให้จนกระทั่งหมอเส้นโลหิตในสมองแตกตาย โดยทิ้งลูกในท้องไว้ให้พริ้งคนหนึ่ง หลังคุณหมอพินิจตายได้ไม่นาน พริ้งก็กลับไปเป็นพริ้งที่ร่าเริงเหมือนเก่า ในตอนนี้พริ้งได้รู้จักหมอประสาน ซึ่งเป็นเพื่อนของหมอพินิจ หมอประสานก็มาตกบ่วงเสน่ห์ของพริ้งอีกคน คําโบราณที่ว่าให้ระวังชายสามโบสถ์ หญิงสามผัวไม่ได้ทําให้พริ้งยี่หระ หล่อนไม่สนใจใครจะว่า แม้หล่อนจะมากกว่าสาม เรื่องดําเนินต่อไป โดยมีการแทรกฉากประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภายในประเทศไทย ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสงครามโลก จนกระทั่งถึงสมัยที่เมืองไทยเพิ่งสิ้นยุค “จอมพลผ้าคะม้าแดง” (จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์) ชีวิตของพริ้งเป็น ชีวิตที่ค่อนข้างโลดโผน มียุครุ่งเรืองสุดขีด และตกต่ําสุดขีด จนต้องยอมเป็นเมียน้อยเจ้าคุณ เพื่อหวังกอบกู้บ้าน สมบัติชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่ ซึ่งติดจํานองกับเจ้าคุณ พริ้งหมดตัวเพราะสามีคนหนึ่ง ที่หล่อนทุ่มเทเพื่อให้ได้ตัวเขามา แม้กระทั่งไปแย่งมาจากเมียของเขา แต่สามีของพริ้งคนนี้ก็ผลาญจนพริ้งหมดตัวเพราะติดเล่นม้า พริ้งโชคดีที่มีช้อย พี่สาวแท้ๆ คอยช่วยเหลือ ทุกครั้งที่พริ้งตกยากลําบาก มีเรื่องทุกข์ร้อน หล่อนก็มักจะกลับมาหา ขอความช่วยเหลือจากพี่สาวคนนี้ทุกทีไป แม้พริ้งจะผ่านชีวิตที่ทุกข์ยากบ้าง แต่พริ้งก็หาได้ซึ้งถึงสัจธรรมไม่ กลับยังตั้งหน้าตั้งตาทําบาปทํากรรม เพียงเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง คืออยากจะได้อะไร พริ้งก็ต้องเอาให้ได้ ไม่สนใจว่าใครจะเดือดร้อนเพราะตัว ผลสุดท้าย ชะตาชีวิตของพริ้งจะเป็นอย่างไร...คงบอกได้แค่ว่า กรรมเวรมีจริง สวรรค์ในอก นรกอยู่ในใจมีจริง เพราะไม่ว่าพริ้งจะมีเงินทองมากแค่ไหน แต่พริ้งก็ไม่เคยมีความสุข ไม่เคยมีชีวิตที่ราบรื่นเลย ความจริงแล้ว พริ้งไม่ใช่คนที่มักมากในกามารมณ์ แต่หล่อนเป็นคนมี เสน่ห์ และเก่งเรื่องปรนนิบัติบนเตียง จนเป็นที่ติดตรึงใจจนยากจะถ่ายถอน (ผู้เขียนบรรยายไว้ให้รู้เป็นนัยๆนะคะ อย่าๆ ทําเพิ่งทําหน้าหื่น ไม่มีบทพิศวาสโจ่งครึ่มหรอกค่ะ อิอิ) สาเหตุที่หล่อนมีสามีคนแล้วคนเล่า ก็ด้วยว่าพริ้งเป็นคนประเภท หิวความรัก และอีกทั้งสถานการณ์ในชีวิตที่พาไป หากหล่อนรักใครหล่อนก็มอบกายถวายชีวิต แต่ถ้ารักจืดจางเป็นชิงชังแล้ว จะให้เอาชีวิตหล่อนก็ทําได้ นิยายเรื่องนี้ ตีแผ่ชีวิตมนุษย์คนหนึ่งได้ดี คนอย่างพริ้ง พอมีให้เห็นอยู่ในสังคม แม้ในปัจจุบัน อ่านไปก็กลุ้มใจ ปวดหัวแทนคุณช้อย พี่สาวของพริ้ง ค่าที่หล่อนหาเรื่องมาให้ไม่รู้จักหยุดหย่อน ได้แต่เอาใจช่วยว่าเมื่อไรพริ้งจะมีดวงตาเห็นธรรมกับเขาสักที แต่ก็...เปล่าเลย หากเปรียบหล่อนเป็นบัวสี่เหล่า พริ้งคงจัดเป็นบัวที่อยู่ในโคลนตม ความเห็น มีอะไรติดค้างในใจชวนให้ขบคิด มีอีกข้อหนึ่งที่เห็นคือ ถึงแม้พริ้งจะจัดเป็นหญิงก๋ากั๋น ผิดวิถีสตรีไทยสมัยนั้น แต่พริ้งก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นตัวของตัวเอง มีความเป็นสตรีนิยมอยู่เหมือนกัน อย่างตอนที่คุณช้อยค่อนขอดพริ้งเรื่องมีหลายสามี พริ้งก็ พูดในทํานองว่าทีผู้ชายมีเมียมาก ไม่มีใครว่า แต่ผู้หญิงพอมีมากกลับโดนติฉินนินทา * บันทึกสําหรับตัวเอง * ข้อคิดอีกข้อหนึ่งที่เกิดกับตัวเองคือ เรื่องการมอบความรัก พริ้งเป็นคนที่ขาดความอบอุ่น หิวความรัก โดยพื้นฐาน พริ้งโตมาอย่างไม่มีพ่อแม่ฟูมฟักทนุถนอม พี่สาวคนโตที่เลี้ยงพริ้งมาก็โขกสับ ดุด่า คุณประเทียบที่เลี้ยงพริ้งมา ก็คอยบ่นคอยว่า จ้ําจี้จ้ําไชอยากให้พริ้งได้ดี ทั้งๆที่คุณประเทียบรักพริ้ง แต่ด้วยความเยาว์วัย หรือไม่มีความคิดพอพริ้งก็ไม่เข้าใจว่า นั่นคือความรัก ซึ่งเราเองเคยเห็นได้จากคนใกล้ตัว คนที่ ดําเนินชีวิตผิดเพี้ยนไปเพราะโหยหาความรัก เราอ่านแล้วเรานึกถึงลูก เด็กๆ ต้องการความรัก พ่อแม่หรือใครก็ตามที่เลี้ยงดูเด็กควรใส่ใจมอบความรักให้กับลูก ไม่ให้เขารู้สึกว่าขาดจนกระทั่งโหยหา ถ้ารักก็แสดงออกว่ารัก ทําให้เขารู้ว่ารัก ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขเป็นสิ่งหล่อเลี้ยง และหล่อหลอมคนตั้งแต่เยาว์วัย หากทําได้ ก็ควรหลีกเลี่ยงการหล่อหลอมคนให้เติบโตมาแบบพริ้ง
จากคุณ |
:
panmile_pink
|
เขียนเมื่อ |
:
11 ต.ค. 53 00:36:03
|
|
|
|