การกลับมาของหนังอินเดีย ในยุคที่สอง
หนังอินเดีย เคยเข้ามาฉายในบ้านเราในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2500 ซึ่งขณะนั้นยังเป็นฟิล์ม 16 มม. ขาว-ดำ ส่วนผู้จัดจำหน่ายหนังอินเดียซึ่งมี 2 ราย คือ อินเดียฟิล์ม, ดีวันจันทร์ ซึ่งนายห้างปักหลักอยู่หลังเฉลิมกรุง ยุคนั้นมีหนังอินเดียที่สั่งเข้ามาฉายเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเทพเจ้า หรือแนวดรามา หนังชีวิตเศร้าเคล้าน้ำตา
โรงภาพยนตร์ในกรุงเทพ ฯ ที่ฉายหนังอินเดียเป็นหลัก คือ โรงหนังเท็กซัส ย่านเยาวราช (ปัจจุบันกลายเป็นร้านสุกี้ไปแล้ว) สมัยนั้น หนังอินเดีย ได้รับความนิยมอย่างสูง ไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพ หรือตามชนบทจากหนังกลางแปลง ขณะที่หนังจีนยังมีน้อย
นางเอกยอดนิยมในขณะนั้น ก็มี นีรูปารอย มีนากุมารี ส่วนพระเอกก็มี ราช การ์ปู / ราช กุมาร / เมห์มูด ดาราตลก ส่วนนางระบำ คือ เฮเลน
ต่อมาหนังอินเดียได้พัฒนาจากหนังขาว-ดำ ระบบ 16 มม. มาเป็นระบบ 35 มม. พร้อมสีสวยเฉพาะบางฉากบางตอน ก่อนที่จะเป็นหนังสีตลอดเรื่อง หนังอินเดียที่สะกดอารมณ์และบีบน้ำตาผู้ชมได้มากที่สุด คงไม่มีเรื่องใดเกิน ธรณีกรรแสง (Mother India)
เมื่อหนังอินเดียได้พัฒนาขึ้น ก็มีดารายอดนิยมในยุคต่อมาที่แฟนภาพยนตร์ชาวไทยนิยมชมชอบ อาทิ ราเยส คานนา, มุมตัส, เฮมา มาลินี เรียกว่าฮิตพอ ๆ กับ ดาราไทย มิตร- เพชรา เลยทีเดียว หนังอินเดียเรื่องไหนที่ดาราคู่นี้แสดง ผู้ชมในบ้านเราตัดสินใจซื้อตั๋วเข้าชมทันที หนังอินเดียที่สร้างประวัติการณ์การฉายยาวนาน และทำรายได้ทั้งในกรุงเทพฯ และ ต่างจังหวัดมหาศาลคือ ช้างเพื่อนแก้ว ทำลายสถิติทุกแห่งที่ฉาย พระเอกเรื่องนี้คือ ราเยส คานนา นางเอกคือ ทานูจา แต่ที่โดดเด่นมากที่สุดก็คือ บรรดาช้างแสนรู้
นอกจากนี้ยังทำให้นักพากย์ฝีปากเอก ทิวา - ราตรี เจ้าของหนัง กลายเป็นมหาเศรษฐี
หนังอินเดียก็มีเสน่ห์เฉพาะตัว อาทิ เพลงประกอบในเรื่อง ซึ่งหนังอินเดียบางเรื่องให้นางเอกร้องเพลงไป วิ่งข้ามภูเขาไปถึง 4 ลูก 5 ลูก แถมยังยักย้ายส่ายเอวยั่วพระเอกอีกต่างหาก ต่อมาก็เริ่มมีซาวด์แทรคเพลงจากภาพยนตร์อินเดียในรูปแบบแผ่นเสียงออกวางจำหน่าย
ด้วยอิทธิพลของเพลงที่อยู่ในหนังอินเดีย ก็มีนักแต่งเพลงลูกทุ่งนำทำนองของเพลงจากหนังอินเดียมาใส่เนื้อภาษาไทย เช่น เพลงสาวนาคอยคู่ ขับร้องโดย บุปผา สายชลซึ่งเป็นเพลงลำดับที่สองของภาพยนตร์ไทยเรื่อง มนต์รักลูกทุ่ง รุ่นมิตร-เพชรา (ต้นฉบับเดิมคือหนังอินเดียเรื่อง รอยรักรอยมลทิน) หรือเพลงธรณีชีวิต ขับร้องโดยชาตรี ศรีชล และยุพิน แพรทอง ส่วนเนื้อร้องแต่งโดยครูพงษ์ศักดิ์ จันทรุกขา หรือหนังอินเดียเรื่อง รอยมลทิน ขายชีวิต ที่มุมตัส นำแสดง ก็ให้ไพรวัลย์ ลูกเพชร เป็นต้น
สำหรับโรงหนังที่ฉายหนังอินเดีย นอกเหนือจากเท็กซัสแล้ว ยังขยายไปถึงโรงหนังควีนส์ วังบูรพา และ โรงหนังบางกอก ย่านราชปรารภ หนังอินเดียดัง ๆ นั้น ถ้าออกเดินสายก็ยังสามารถเก็บเงินได้เป็นกอบเป็นกำ
เมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป หนังอินเดียก็เริ่มหมดความนิยมลง ประกอบกับโรงหนังที่เคยฉายหนังอินเดียต่างพากันยุติกิจการ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงมีหนังอินเดียให้เห็นประปราย ในลักษณะการขายให้กับ สายหนัง ในต่างจังหวัด
และแล้ว ยุคที่สองของหนังอินเดียก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง โดยคุณกมล กุลตังวัฒนา ได้ซื้อหนังอินเดียเข้ามาฉาย ในช่วงปี พ.ศ. 2535 ถึง พ.ศ. 2537 ประกอบด้วย
- KHUDA GAWHA คูดาห์กาว่าร์ รักข้าเหนือชีวิต
- หมาเลี้ยงลูกคน (มี 2 ภาค แต่ภาคแรกได้รับความนิยมมากกว่า)
- ลูกสองแม่
- ความรักของจันทนี
- รอยรักรอยแค้น
- สะใภ้คืนเดียว
- ลัมมานี
และอาจจะมีเรื่องอื่น ๆ ที่ตกไป
อย่างไรก็ตาม การวางโปรแกรมหนังอินเดียในยุคนี้ ได้เว้นระยะเวลาให้ห่างพอสมควร ประมาณ 2 เดือนต่อหนังอินเดีย 1 เรื่อง ซึ่งนอกเหนือจากการเข้าฉายที่โรงภาพยนตร์แอมบาสเดอร์แล้ว ยังจัดจำหน่ายไปยังสายหนังในต่างจังหวัดด้วย
เท่าที่ทราบในตอนนี้ หนังอินเดียที่จัดจำหน่ายโดย ดวงกมล มหรสพ นั้น จขกท. ยังพบฟิล์มหนังเหล่านี้อยู่ตามสายหนัง ทั้งใน กทม. ที่ข้างศาลาเฉลิมกรุง และในต่างจังหวัด แต่อยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ มีทั้งเส้นฝน, ชำรุด ที่หนักกว่านั้นก็คือ สายหนังบางคนตัดฟิล์มในส่วนที่เป็นเพลงออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง KHUDA GAWHA คูดาห์กาว่าร์ รักข้าเหนือชีวิต จำนวนฟิล์มหนังแบ่งเป็น 9 ม้วน ความยาว 3 ชั่วโมง แต่น่าดูตลอดเรื่องโดยไม่มีเบื่อ ซึ่งเรื่องนี้ หนามเตยแมน ดูเมื่อล่าสุด และเป็นฉบับสมบูรณ์ด้วย ไม่ซอยฟิล์มช่วงที่เป็นเพลงเหมือนสายอื่น ๆ