Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
:::::SPOILER::::: Claymore 109 - Bonds of the Warriors::::: ติดต่อทีมงาน

สวัสดีเดือน 11 ขอรับ
มาช้าเพราะงานท่วมหัวเอาตัวไม่รอด T-T ขออภัยสำหรับความล่าช้าด้วยครับ m(_ _)m
เชิญชม spoil เลยขอรับ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ความเดิมตอนที่แล้ว...
ลาโบน่าถูกเหล่าปีศาจและมารอวตารเข้าถล่มเมืองแต่เหล่านักรบชุดดำร่วมกับกาลาเทีย คลาริซ เมียต้า รวมถึงทหารประจำเมืองก็ร่วมกันต่อต้านไว้ได้ แม้จะเสียหายไปอย่างหนัก กาลาเทียแจ้งให้ทุกคนรู้ว่า มิเรียน่าจะตายไปแล้วจากการบุกองค์กรโดยลำพัง ส่วนสถานการณ์ของแคลร์นั้น...






















                 CLAYMORE
SCENE 109 ::  Bonds of the Warriors
              -สายใยนักรบ-



















-ในที่สุด "ดาเอ" ชายชุดดำผู้ที่ใบหน้าซีกขวาเสียโฉมไปทั้งแถบก็กลับมาถึงองค์กรใหญ่จนได้ สิ่งที่เขาเห็นเมื่อกลับมาถึงก็คือบรรดาลูกน้องและรวมไปถึงชายชุดดำกลุ่มหนึ่งที่กระจายกันตัวอยู่ด้านนอก ดาเอสงสัยว่ามีอะไรน่าสนใจงั้นหรือ แต่ก็ได้รับคำตอบว่าไม่มีอะไร  ทั้งหมดเป็นเพียงเรื่อง"ขี้ปะติ๋ว"เล็กน้อยเท่านั้น  พร้อมกันนั้น ชายชุดดำคู่สนทนาก็ได้บอกกับดาเอว่า "สินค้า"ที่เขาสั่งให้ลูกน้องขนมานั้นได้มาถึงแล้ว ในขณะเดียวกันเขาก็เตือนดาเอให้เพลาๆการขนส่งสิ่งที่อาจเป็นอันตรายต่อองค์กรลงบ้าง
-ดาเอรับคำอย่างเซ็งๆก่อนจะผละจากมาและมุ่งไปสู่ห้องที่เก็บ"สินค้า"ดังกล่าวไว้  ระหว่างทางเขาสอบถามบรรดาลูกน้องใต้บังคับบัญชาของตนว่ามีความคืบหน้าอะไรเกิดขึ้นบ้างหรือไม่ ซึ่งคำตอบที่ได้รับก็คือ "มีขอรับ"
-ยิ่งไปกว่านั้น เขาสามารถค้นพบคำตอบได้แล้วว่า ทำไม"สินค้า"อย่าง"ชายคนนั้น"นั้นถึงต้านทานการเข้ายึดร่างจากแท่งปรสิตนั่นได้แม้ว่าจะถูกแทงเข้าไปเต็มๆก็ตาม ดาเอสนใจอย่างมากและขอข้อมูลอย่างละเอียดซึ่งลูกน้องของเขาก็แนะนำให้ดูด้วยตาตนเองจะดีกว่า
-ภายในห้องมืดสลัวห้องหนึ่ง ชายหนุ่มร่างกำยำคนหนึ่งถูกจับตรึง ขึงมือไว้ด้วยโซ่จากด้านบน... ร่างไร้ซึ่งสติสมประดีนั้นคือ ลาคิ ชายหนุ่มที่แคลร์ตามหามาแสนนานนั่นเอง และแท่งปรสิตขนาดย่อมๆ 2 แท่งก็ยังคงถูกปักอยู่ที่ไหล่ด้านซ้ายอยู่อย่างนั้น
ร่างของลาคิเปลือยท่อนบนและถูกจับขึงไว้ในลักษณะหันหลังให้กับประตู ทันทีที่ดาเอเข้ามาด้านในและเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เขาก็ต้องชะงักในทันที พร้อมกับพึมพัมแผ่วเบา
"โฮ่ เข้าใจแล้ว นี่มันน่าสนใจไม่เบาเลยนี่..."




-ย้อนกลับมาทางลาโบน่า เฮเลนกับกาลาเทียกำลังเดินอยู่ในป่านอกเมือง ดูเหมือนทั้งคู่จะเดินมาไกลพอสมควรจนซิสเตอร์สาวสวยเริ่มบ่น "นี่ จะให้ชั้นเดินไปอีกไกลแค่ไหนกันยะ?"  เฮเลนต้องหันมาบอกว่าอีกนิดเดียวก็จะถึงแล้ว และต้องอธิบายว่า เพราะ"สภาพที่มันเป็นอยู่" เธอจึงค่อนข้างลำบากใจในการขนมันเข้าเมืองลาโบน่า ไม่นับสถานการณ์ของเมืองที่ยังวุ่นวายแบบนี้อีกต่างหาก
-กาลาเทียไม่ว่าอะไร ขณะเดียวกันเธอก็บอกว่าเธอแทบไม่เชื่อหูตนเองเมื่อเธอได้รู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในแดนตะวันตก รวมทั้งเธอเองก็ไม่เคยได้ยินเรื่องของมารอวตาร "เขาเดี่ยวที่มีปีก" มาก่อนเลย ซึ่งเฮเลนเองก็ยอมรับว่า ตอนที่ได้ยินครั้งแรกจากปากของริเฟิล เธอก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริงเช่นกัน

-ในที่สุด ทั้งคู่ก็มาถึงจนได้ สิ่งที่อยู่ตรงหน้ากาลาเทีย ณ​ บัดนี้ คือก้อนเนื้อสีดำมหึมาขนาดใหญ่ที่มีความสูงราว 2-3 เท่าของตัวคนได้ ลวดลายและพื้นผิวที่มีลักษณะยั้วเยี้ยนั้นดูน่าเกลียดน่ากลัว ในขณะเดียวกัน ก็มีส่วนที่คล้ายปีกของอะไรบางอย่างโผล่ล้นออกมาจากด้านบน ท่ามกลางความตกตะลึงนั้น เฮเลนก็อธิบาย "นี่ล่ะ แคลร์"
-เฮเลนเล่าให้ฟังว่าเธอกับพรรคพวกช่วยกันขนมาจากแดนตะวันตกทั้งอย่างนี้ เพื่อให้กาลาเทียช่วยตรวจสอบและค้นหาจิตปีศาจของแคลร์เพื่อช่วยเธอให้ได้ และที่มาของเจ้าก้อนดำนี้เกิดขึ้นหลังจากที่แคลร์โดนดูดเข้าไปในกลุ่มก้อนจิตปีศาจมหึมาและเกิดคลื่นทำลายล้างจนดินแดนในบริเวณนั้นแทบจะถล่มไปทั้งหมด และหลังจากนั้น ก็มีแต่เจ้าก้อนสีดำนี่เอง ที่หลงเหลืออยู่ท่ามกลางเศษซากปรักหักพัง
-เฮเลนเชื่อว่าแคลร์ยังคงมีชีวิตอยู่เพราะยังคงรับรู้จิตปีศาจของเธอได้ แต่กาลาเทียก็มีคำถามที่น่าสนใจ "เธอมีข้อพิสูจน์อะไรบ้างที่บอกได้ว่านั่นคือแคลร์จริง?"....."เพราะถ้าเจ้าก้อนนี่ไม่ใช่แคลร์จริง นั่นหมายความว่าพวกเธอได้พาเอาสัตว์อสูรที่ร้ายกาจยิ่งกว่ามารอวตารมาทิ้งไว้หน้าประตูเมืองศักดิ์สิทธิ์ซะแล้ว"
-เฮเลนอึ้งกิมกี่ไร้คำโต้แย้ง แต่กาลาเทียก็เข้าใจ "ไอ้เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ยังไงพวกเธอก็เป็นคนช่วยเมืองนี้ไว้อยู่ดี ชั้นจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่หน่อยก็ได้"  ว่าแล้วกาลาเทียก็เริ่มการตรวจสอบจิตแบบจริงจัง เธอเอามือแตะเจ้าก้อนเนื้อสีดำนั่นและรวบรวมสมาธิ ครู่หนึ่งผ่านไป เฮเลนถามขึ้นว่ารู้สึกถึงอะไรบ้างมั้ย? ซึ่งกาลาเทียก็ให้คำตอบว่า ราวกับกระแสจิตปีศาจที่ไหลเวียนอย่างวุ่นวายและยุ่งเหยิง ฉะนั้น เธอจึงสรุปได้แค่ว่ามันยังมีชีวิตอยู่และแผ่จิตปีศาจออกมาก็เท่านั้น เล่นเอาเฮเลนใจเสียว่าแม้แต่กาลาเทียก็ยังทำอะไรไม่ได้
-แต่ในขณะเดียวกัน กาลาเทียก็ยังมีสิ่งที่เก็บไว้ในใจไม่ได้พูดออกมา สิ่งนั้นคิอ เธอสันนิษฐานว่า "ทั้งคู่" ยังคงอยู่ในนั้น โดยที่แคลร์และอะไรบางอย่างร่วมมือกัน"ผนึก"เจ้ามารอวตารเขาเดี่ยวที่มีปีกนั่นเอาไว้ ซึ่งเป็นการยอมสละตัวเองไปด้วย ...ฉะนั้น การที่จะปลดปล่อยแคลร์ออกมา นั่นหมายถึงการปลดปล่อยเจ้ามารอวตารเขาเดี่ยวออกมาด้วยเช่นกัน... และสำหรับแคลร์นั้นอาจจะสูญเสียสติสัมปชัญญะของตัวเองไปแล้วด้วย ไม่ว่าพรรคพวกของเธอจะพยายามเรียกจากภายนอกเท่าไหร่ เธอจึงไม่เคยตอบรับเลยแม้แต่ครั้งเดียว...
-ยังวินิจฉัยไม่เสร็จดี ทั้งคู่ก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างจากในเมือง ซึ่งกาลาเทียก็ระบุได้ทันทีว่าน่ามาจากบริเวณด้านขวาของเมือง เล่นเอาเฮเลนรีบรุดไปทันที "ยัยสองคนนั่น ทำบ้าอะไรกันอีกเนี่ย?"



-ยัยสองคนนั่นที่เฮเลนพูดถึงก็คือ ทาบาธ่าและเดเนฟนั่นเอง ทั้งสองคนกำลังประดาบกันอย่างดุเดือดและจริงจัง และในจังหวะก่อนที่เดเนฟจะเล่นงานทาบาธ่าถึงตาย เฮเลนและซินเธียที่เข้ามาหยุดยั้งทั้งคู่ได้ทันเวลา
-เฮเลนว้ากทันทีว่าทำบ้าอะไรกันอยู่ ซึ่งเดเนฟก็เล่าให้ฟังว่าทาบาธ่าต้องการจะบุกไปยังองค์กรทั้งๆที่มีฝีมืออยู่แค่นี้ เธอก็เลยคิดว่า ถ้าอยากจะตายขนาดนั้น เธอจะช่วยสงเคราะห์ให้ซะตรงนี้ก็ได้ เล่าเอาทุกคนถึงกับอึ้งไป ทาบาธ่าทรุดร่างลงกับพื้นคร่ำครวญอีกครั้ง ซึ่งเดเนฟก็รู้ดีว่า แต่ไหนแต่ไร ทาบาธ่านั้นเกาะติดมิเรียไม่เคยห่าง เธอเลยยังคงเสียใจมากที่ไม่ได้ติดตามมิเรียไป
-เดเนฟนั้นพูดต่อไปว่า "มิเรียนั้นช่างโง่ซะจริง" ทั้งๆที่บอกอยู่ตลอดว่าจะถล่มองค์กรด้วยกัน แต่กลับบุกเดี่ยวไปตายแทน ซึ่งสูญเปล่ามาก และจะนับว่าทรยศต่อพรรคพวกก็ว่าได้ ซึ่งจะว่าไปแล้วมิเรียก็ไม่เหมาะจะเป็นผู้นำตั้งแต่แรกแล้ว เนื่องจากมองโลกอย่างอุดมคติจนเกินไป... และเธอก็พูดได้แค่นั้น เมื่อทาบาธ่าทนฟังไม่ได้อีกต่อไป และเข้าชกใส่เดเนฟเต็มแรงจนหน้าหัน ซึ่งเดเนฟก็นิ่งไปไม่คิดโต้ตอบ ก่อนจะบอกทาบาธ่า "อย่าลืมให้มิเรียได้ลิ้มรสหมัดนี้บ้างล่ะ" ก่อนที่จะหันไปหากาลาเทีย...

-"เธออาจจะไม่ชอบใจนัก แต่ชั้นไม่ใช่คนยอมแพ้อะไรง่ายๆอยู่แล้ว ชั้นไม่ต้องการจะรับรู้ว่ามิเรียตายแล้วก็พูดว่า 'งั้นเหรอ' โดยไม่คิดทำอะไรเลย"
เดเนฟเผยความในอย่างชัดเจน ซึ่งกาลาเทียก็ยิ้มพราย
"อยากจะทำอะไรก็เชิญ แนวทางของเธอกับชั้นมันแตกต่างกันแต่ไหนแต่ไรแล้ว"
-เดเนฟหันไปบอกทาบาธ่าทันทีว่า ไปกันได้แล้ว เห็นเพื่อนสาวทำหน้างง เธอก็เลยต้องพูดต่อ "เป็นอะไรไป? เราจะไปชกมิเรียกันไม่ใช่หรือไง?" เล่าเอาทาบาธ่าน้ำตาไหลพรากอีกครั้ง ก่อนจะรีบรับคำ
-ทั้งเฮเลน ซินเธียและยูม่ายิ้มออกในทันที แต่ละคนเริ่มบ่นกันงึมงัม แต่อย่างไรก็ตาม ทั้ง 5 คนพร้อมเดินทางบุกองค์กรแล้วในบัดนี้ เดเนฟฝากกาลาเทียให้ดูแลลาโบน่าด้วย ซึ่งกาลาเทียก็บอกว่าไม่ต้องห่วง เพราะเธอยังมีคลาริซและเมียต้าคอยช่วยอยู่อีกแรง

-และเมื่อนั้นเอง ที่ดีทริชทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งเดเนฟก็พูดขึ้นมาก่อน
"เธอทำได้ดีมากแล้ว หนี้ทั้งหมดที่มีเธอก็ชดใช้มากจนเกินพอแล้ว จากนี้ไป ใช้ชีวิตอย่างที่เธอต้องการเถอะ"  
ซึ่งสาวน้อยก็หน้าเบ้ลำบากใจ พร้อมกับบอกว่าอยากจะถามอีกครั้ง ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด เป็นฝีมือขององค์กรจริงหรือ...
-เดเนฟเข้าใจคำถามนั้นดี เธอถามกลับทันทีว่า ถามคำถามแบบนั้นไปเพื่ออะไรหรือ เพราะคำตอบที่พวกเธอได้รับรู้มานั้น ล้วนเป็นสิ่งที่ประสบมาด้วยตนเองทั้งสิ้น ซึ่งมันอาจจะแตกต่างกับสิ่งที่ดีทริชนั้นประสบและเรียนรู้มาเช่นกัน และถ้าเป็นแบบนั้น คำตอบของเธออาจไม่มีค่าอะไรกับตัวดีทริชเองก็ได้
-สาวน้อยหน้านิ่วยิ่งขึ้น พร้อมกับเผยเรื่องราวออกมา "บ้านเกิดของชั้น เจอเหตุการณ์เดียวกันกับที่ลาโบน่านี้"  ฝูงปีศาจมากมายเข้าถล่มเมือง ซึ่งเธอก็มาเรียนรู้หลังจากนั้นว่ามันเรียกว่า มารอวตาร... ตอนนั้นเธอยังเด็กมาก และเรื่องทั้งหมดมันก็เริ่มขึ้นจากการจ้างล่าปีศาจ ไปจนถึงการทะเลาะกันระหว่างหัวหน้าหมู่บ้านกับชายชุดดำ และจบลงด้วยการถล่มหมู่บ้านของมารอวตารในที่สุด...  ในตอนนั้น เธอก็ได้รับการช่วยชีวิตไว้จากชายชุดดำ และนั่นเอง เธอจึงได้เต็มใจอุทิศตัวเองให้กับองค์กร...
-"เพราะอย่างนั้น... เพราะอย่างนั้น ชั้นถึงอยากให้คุณบอกชั้น....ว่าถ้าหากสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อวาน... เป็นฝีมือขององค์กรละก็... "
เสียงในลำคอของเธอขาดหายไปราวกับมันตีบตัน พร้อมกันนั้นก็ปรากฎน้ำตาที่ไหลพรากอาบสองแก้มของเธอแทนอย่างหมดอาย...



-"มากับพวกเราสิ ดีทริช"
เสียงอันนุ่มนวลแต่มั่นคงแข็งแกร่งอยู่ในทีนั้น ออกมาจากปากของเดเนฟ
"จากนี้ไป จงมองด้วยตาของเธอเอง จงฟังด้วยหูของเธอเอง จงสัมผัสมันด้วยดาบของเธอเอง และจงเรียนรู้มันด้วยตัวของเธอเอง
และเมื่อใดก็ตาม ที่คำตอบที่เธอตามหานั้นแตกต่างจากพวกเราละก็ จะหันดาบเข้าหาพวกเราเมื่อไหร่ก็ได้"

ท่ามกลางสายตาแห่งความมุ่งมั่นและความหวัง 5 คู่ที่มองมาที่ตัวเธอนั้น น้ำตาของดีทริชก็หยุดไหล และเธอก็ออกเดินตามนักรบชุดดำทั้ง 5 ไปอย่างไม่ลังเล...


คลาริซและเมียต้าโผล่มาในที่สุด เธอโวยวายว่ามีอะไรเกิดขึ้น การต่อสู้ที่เธอจะมาดูจบลงแล้วเหรอ ซึ่งกาลาเทียนั้นก็ตอบโดยไม่หันมามอง "ทุกอย่างเพิ่งจะเริ่มต้นต่างหาก"

ซิสเตอร์อดีตนักรบมองไปข้างหน้า ราวกับจะรู้สึกได้ถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของนักรบ 6 คนที่กำลังมุ่งหน้าไป
"ชั้นไม่เคยเชื่อในพระเจ้าสักครั้ง... นี่จะเป็นครั้งแรก ที่ชั้นจะเฝ้าภาวนาต่อพระเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์แห่งลาโบน่า..."

อนาคตที่ล่องลอยราวกับปุยเมฆนั้นไร้การควบคุม แต่อย่างไรก็ตาม ฟากฟ้าสีครามนั้นยังคงส่องสว่างแสนไกล...
"จงมีชีวิตกลับมาเถิดนะ เหล่านักรบทั้งหก
และถ้าเป็นไปได้... ช่วยพาคนที่เจ็ดกลับมาด้วยเถิด..."





-จบตอนที่ 109-

จากคุณ : Finrod Tasardur
เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 53 13:57:39




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com