คดีรถซีวิคชนรถตู้ตาย9ศพกับความเป็นไปได้ของรูปคดี
ทำไมคำสัมภาษณ์แรกของฝ่ายที่ขับรถซีวิคถึงเพิ่งจะออกมาทั้งที่เวลาผ่านไปแล้วถึง 3-4 วัน
เชื่อว่ามีการขอนักข่าวให้ชะลอการออกข่าวไปก่อน เพราะพริบตาที่นักข่าวไปที่เกิดเหตุก็รู้แล้วว่าใครขับ แต่ข่าวในช่วงแรกๆไม่มีการพูดถึงคนขับรถซีวิคเลย แต่ไปเน้นที่ความไม่ปลอดภัยของรถตู้โดยสารแทน ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นการปิดข่าวแต่อย่างไร แค่ชะลอการให้ข่าวเฉยๆ เห็นมั้ยวันสองวันมานี้ก็เริ่มมีข่าวเกี่ยวกับฝ่ายซีวิคมาแล้ว บอกแล้วว่าแค่ชะลอ ไม่ได้ปิดซะหน่อย แต่ถ้าไม่มีกระแสสังคมออนไลน์กดดันล่ะก็...
มาเดากันว่าเวลา 3-4 วันที่เก็บตัวอยู่เค้าทำอะไรกันบ้าง พักฟื้นรักษาตัวรักษาสภาพจิตใจอย่างเดียวก็คงไม่ใช่ แต่พวกเค้าได้วางแผนปรึกษากับทนายในการสู้คดี เพื่อปกป้องลูกสาว การกระทำของครอบครัวซีวิคต่อไปนี้จะเป็นเรื่องที่วางแผนมาอย่างดี เป็นประโยชน์ต่อการให้การในศาล และไม่มีการขัดแย้งกันเอง ซึ่งคำสัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์แล้วว่าเตรียมการมาอย่างดี น่าสนใจ
เปิดใจ"พ.อ.รัฐชัย"พ่อมือขับซีวิค ยันลูกโทร.หาตัว ไม่ได้เล่นบีบี วอนสังคมให้ความเป็นธรรม
ความคืบหน้าเหตุน.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 16 ปี ขับรถเก๋งฮอนด้าซีวิคชนรถตู้โดยสาร ทำให้มีผู้เสียชีวิต 8 ราย ผู้สื่อข่าวได้ขอสัมภาษณ์ พ.อ.รัฐชัย เทพหัสดิน ณ อยุธยา บิดา น.ส.เอ ทางโทรศัพท์ โดย พ.อ.รัฐชัย กล่าวด้วยน้ำเสียงเครียดว่า สื่อควรลงข่าวให้ตรงกับข้อเท็จจริง ไม่ควรสนใจกระแสข่าวต่างๆ ในเฟซบุ๊กมากนัก เพราะเป็นแค่การนำเสนอข้อเท็จจริงเพียงด้านเดียว โดยวันเกิดเหตุลูกสาวมีเพื่อนมารับออกไปข้างนอก ซึ่งตามปกติแล้วเพื่อนจะขับรถมาส่งทุกครั้งและอยู่ในความควบคุมตลอด แต่คืนเกิดเหตุหลังจากเพื่อนขับรถมารับแล้ว ลูกสาวได้ยืมรถของเพื่อนออกไปทำธุระคนเดียว ระหว่างที่ขับรถกลับไปรับเพื่อนซึ่งเป็นเจ้าของรถเพื่อจะให้ขับมาส่งที่บ้านก็เกิดเหตุเสียก่อน
"ตอนลูกสาวอยู่ที่อเมริกาก็ขับรถเอง พอกลับมาเมืองไทยผมก็อนุญาตให้ขับรถได้ในละแวกบ้านคือ เมืองทองธานี เพื่อไปสระผมบ้าง ทำเล็บบ้างเท่านั้น แต่คืนเกิดเหตุอนุญาตเพียงให้ออกไปกับเพื่อน แต่ไม่ทราบว่าลูกขับรถด้วย" พ.อ.รัฐชัย กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการวิจารณ์ว่าลูกสาวเปลี่ยนชื่อเพื่อหนีคดีนั้น พ.อ.รัฐชัยกล่าวว่า ไม่เป็นความจริง เพราะตั้งแต่เกิดมาบุตรสาวใช้ชื่อนี้มาตลอด เพิ่งจะเปลี่ยนชื่อเป็นอีกชื่อเมื่อตอนกลับจากสหรัฐอเมริกาเมื่อ 6-8 เดือนที่แล้ว ส่วนที่อ้างว่าหลบหนีออกนอกประเทศก็ไม่เป็นความจริงเช่นกัน เพราะตอนนี้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
"ลูกสาวเล่าว่าระหว่างเกิดเหตุขับรถอยู่เลนขวา โดยขับตามหลังรถตู้ซึ่งขับคร่อมทางอยู่ เมื่อเห็นว่ารถตู้เปิดไฟขอทางเข้าเลนซ้ายจึงเบี่ยงให้ แต่รถตู้ไม่ได้เลี้ยวตามที่ขอทาง ไม่กี่วินาทีต่อมารถตู้เบียดเข้าเลนขวามากกว่าเดิม จึงเบรกแล้วหักเลี้ยวซ้าย เพราะหากเลี้ยวขวาจะชนกับขอบกั้นทาง เมื่อเบรกแล้วรถจึงเสียหลักชนท้ายรถตู้ ทำให้รถทั้ง 2 คันหมุนคว้างจนเกิดเหตุดังกล่าว ลูกสาวมีอาการฟกช้ำที่ตาและลำตัว ส่วนภาพที่เห็นว่ายืนโทรศัพท์อยู่ เพราะว่ามีบาดแผลถลอกที่หลังและก้น ทำให้ไม่สามารถนั่งได้ ทั้งยังไม่ได้เล่นบีบีแต่อย่างใด เพียงกดโทรศัพท์เพื่อบอกเพื่อนซึ่งเป็นเจ้าของรถว่า เกิดอุบัติเหตุและถามเบอร์โทรศัพท์ของบริษัทประกันเพื่อติดต่อเท่านั้น" พ.อ.รัฐชัยกล่าว
พ.อ.รัฐชัยกล่าวอีกว่า จากกระแสในโซเชียลเน็ตเวิร์คที่กล่าวว่าลูกสาวเส้นใหญ่หรือมีการปิดสื่อ ไม่โกรธที่จะมีใครคิดอย่างนั้น เพราะว่าใครเห็นนามสกุลของตระกูลก็สามารถคิดได้ทั้งนั้น แต่ไม่เคยมีพฤติกรรมเอาเปรียบประชาชน เพราะตั้งแต่เข้ารับราชการกระทั่งลาออกทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดี ไม่เคยเล่นเส้นสายหรือทุจริตแต่อย่างใด กรณีของนายณัฐ เทพหัสดิน ณ อยุธยา (บุตรชาย) ก็ไม่เคยเข้าไปก้าวก่าย ปล่อยให้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม เราทำตามกระบวนการของกฎหมายทุกอย่าง ทั้งยังไม่เคยบอกว่าลูกสาวถูก หากมีความผิดจริงก็ต้องให้รับผิดตามโทษทัณฑ์กฎหมาย แต่จะให้พาลูกสาวไปประหาร นั่งเก้าอี้ไฟฟ้าทันทีอย่างนั้นไม่ยุติธรรม
"ผมรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ลูกสาวรู้สึกไม่ต่างกับผมนัก คนดีๆ ทั้งนั้นที่เสียชีวิตไป ผมไม่ได้ตามใจลูกโดยไม่มีเหตุผล เช่นเรื่องการขับรถผมก็วางแผนจะซื้อให้ แต่ยังไม่อนุญาตให้ขับรถเอง แม้จะเข้ามหาวิทยาลัยก็วางแผนว่าจะให้แม่ของเขาขับรถไปรับส่ง รอให้มีใบอนุญาตขับขี่ได้ก่อนผมจึงจะอนุญาตให้เขาขับรถเองได้" พ.อ.รัฐชัยกล่าว
ที่มา
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1293681417&grpid=00&catid=&subcatid=
ประเด็นแรก ลูกสาวได้ยืมรถของเพื่อนออกไปทำธุระคนเดียว
เป็นรถใครนั้นสำคัญไฉน ในทางปฏิบัติแล้วคนซื้อกับคนขับรถไม่จำเป็นต้องเป็นคนเดียวกัน เช่น พ่อซื้อรถให้ลูก ชื่อคนซื้อคือพ่อแต่คนขับจริงๆคือลูก ในกรณีนี้ตัวลูกยังไม่บรรลุนิติภาวะยังทำธุรกรรมซื้อรถเองไม่ได้ แต่ถ้าใช้ชื่อพ่อชื่อแม่แล้วลูกขับไปชนพ่อแม่จะต้องรับโทษด้วย เลยต้องบอกว่าเป็นรถของคนอื่นแทน ส่วนความจริงจะเป็นรถใครชื่อใครซื้อนั้นก็ว่ากันไป
ประเด็นที่สอง ตอนลูกสาวอยู่ที่อเมริกาก็ขับรถเอง
เคยขับรถที่อเมริกาเป็นการบอกว่าลูกสาวของตนมีความเชี่ยวชาญในการขับรถเป็นอย่างดี ส่วนกฎหมายอเมริกาจะให้เด็กอายุ 16 ขับรถได้หรือไม่ก็อีกเรื่อง นั่นหมายความว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เป็นเหตุสุดวิสัย ต้นเหตุไม่ใช่ตัวลูกสาวคนขับซีวิค เพราะเค้าขับรถที่อเมริกาได้ไม่มีปัญหา แต่มามีปัญหาที่เมืองไทย อุบัติเหตุครั้งนี้ถ้าจะโทษก็ต้องโทษรถตู้ โทษสภาพรถ โทษสภาพถนน โทษดินฟ้าอากาศอะไรก็โทษไป แต่ไม่โทษคนขับซีวิค
ประเด็นที่สามนี้ขอยกมายาวนิดนึงขี้เกียจตัด
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการวิจารณ์ว่าลูกสาวเปลี่ยนชื่อเพื่อหนีคดีนั้น พ.อ.รัฐชัยกล่าวว่า ไม่เป็นความจริง เพราะตั้งแต่เกิดมาบุตรสาวใช้ชื่อนี้มาตลอด เพิ่งจะเปลี่ยนชื่อเป็นอีกชื่อเมื่อตอนกลับจากสหรัฐอเมริกาเมื่อ 6-8 เดือนที่แล้ว
ส่วนที่อ้างว่าหลบหนีออกนอกประเทศก็ไม่เป็นความจริงเช่นกัน เพราะตอนนี้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
ข้อนี้เป็นการยืนยันสถานะของลูกสาวว่ายังอยู่จะไม่หลบไม่หนีไปไหน กำลังเจ็บอยู่ สามารถใช้ข้อนี้ในการยื่นขอประกันตัวหรือขอศาลเลื่อนการพิจารณาคดีได้
ประเด็นที่สี่
ลูกสาวเล่าว่าระหว่างเกิดเหตุขับรถอยู่เลนขวา โดยขับตามหลังรถตู้ซึ่งขับคร่อมทางอยู่ เมื่อเห็นว่ารถตู้เปิดไฟขอทางเข้าเลนซ้ายจึงเบี่ยงให้ แต่รถตู้ไม่ได้เลี้ยวตามที่ขอทาง ไม่กี่วินาทีต่อมารถตู้เบียดเข้าเลนขวามากกว่าเดิม จึงเบรกแล้วหักเลี้ยวซ้าย เพราะหากเลี้ยวขวาจะชนกับขอบกั้นทาง เมื่อเบรกแล้วรถจึงเสียหลักชนท้ายรถตู้ ทำให้รถทั้ง 2 คันหมุนคว้างจนเกิดเหตุดังกล่าว
สรุปง่ายๆว่าเป็นความผิดของรถตู้
ประเด็นที่ห้า
ลูกสาวมีอาการฟกช้ำที่ตาและลำตัว ส่วนภาพที่เห็นว่ายืนโทรศัพท์อยู่ เพราะว่ามีบาดแผลถลอกที่หลังและก้น ทำให้ไม่สามารถนั่งได้ ทั้งยังไม่ได้เล่นบีบีแต่อย่างใด เพียงกดโทรศัพท์เพื่อบอกเพื่อนซึ่งเป็นเจ้าของรถว่า เกิดอุบัติเหตุและถามเบอร์โทรศัพท์ของบริษัทประกันเพื่อติดต่อเท่านั้น
พ.อ.รัฐชัยกล่าวอีกว่า จากกระแสในโซเชียลเน็ตเวิร์คที่กล่าวว่าลูกสาวเส้นใหญ่หรือมีการปิดสื่อ ไม่โกรธที่จะมีใครคิดอย่างนั้น เพราะว่าใครเห็นนามสกุลของตระกูลก็สามารถคิดได้ทั้งนั้น แต่ไม่เคยมีพฤติกรรมเอาเปรียบประชาชน เพราะตั้งแต่เข้ารับราชการกระทั่งลาออกทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดี ไม่เคยเล่นเส้นสายหรือทุจริตแต่อย่างใด กรณีของนายณัฐ เทพหัสดิน ณ อยุธยา (บุตรชาย) ก็ไม่เคยเข้าไปก้าวก่าย ปล่อยให้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม เราทำตามกระบวนการของกฎหมายทุกอย่าง ทั้งยังไม่เคยบอกว่าลูกสาวถูก หากมีความผิดจริงก็ต้องให้รับผิดตามโทษทัณฑ์กฎหมาย แต่จะให้พาลูกสาวไปประหาร นั่งเก้าอี้ไฟฟ้าทันทีอย่างนั้นไม่ยุติธรรม
"ผมรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ลูกสาวรู้สึกไม่ต่างกับผมนัก คนดีๆ ทั้งนั้นที่เสียชีวิตไป ผมไม่ได้ตามใจลูกโดยไม่มีเหตุผล เช่นเรื่องการขับรถผมก็วางแผนจะซื้อให้ แต่ยังไม่อนุญาตให้ขับรถเอง แม้จะเข้ามหาวิทยาลัยก็วางแผนว่าจะให้แม่ของเขาขับรถไปรับส่ง รอให้มีใบอนุญาตขับขี่ได้ก่อนผมจึงจะอนุญาตให้เขาขับรถเองได้" พ.อ.รัฐชัยกล่าว
ประเด็นตรงนี้ออกมาแก้เรื่องกระแสในสังคมออนไลน์ จริงอยู่ที่มีคนที่ด่าแบบไร้เหตุผล โจมตีที่ตัวบุคคลลามไปจนถึงวงศ์ตระกูล แต่งเติมสีสัน ใส่ไข่ ใส่ไฟ ใส่รูปตัดต่อ ข้อความปลอมก็เยอะ แต่ฝ่ายท่านกับลูกสาวก็ผิดที่ไม่รีบออกมายอมรับว่าตนก็เป็นสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ สิ่งที่ปรากฏคือท่านกลับเก็บตัวเงียบ ข่าวทีวีก็ไม่พูดถึง ลบหลักฐานตัวตนของลูกสาวออกจากอินเตอร์เน็ตจนคนเอาไปลือต่างๆนาๆ รวมถึงบรรดาสารพัดผู้เชี่ยวชาญที่รีบออกมาบอกว่ารถตู้ผิด จะไม่ให้คนเค้าคิดได้ไง
จิ๊กซอว์ที่หายไป
คลิปวิดีโออุบัติเหตุครั้งนี้ที่เผยแพร่มีเพียงคลิปสั้นๆมืดๆไม่กี่วินาที แต่ความจริงบนโทลล์เวย์ไม่ได้มีแค่ตัวเดียว และรถทั้งสองคันก็คงไม่ได้วิ่งผ่านกล้องตัวนี้ตัวเดียวแน่ๆ และยังมีมิเตอร์วัดความเร็วอีก ถ้าได้หลักฐานตรงนี้มาก็สรุปได้ว่าใครที่วิ่งเร็ว
สรุปคดี
มั่นใจว่าโทษทางอาญาหลุดแน่นอน เคยมีคดีใกล้เคียงกัน อุบัติเหตุบนท้องถนนคนตายหลายคนผู้กระทำผิดเป็นเยาวชน โทษรอลงอาญา แต่โดนทางแพ่งอาน ส่วนกรณีนี้น่าจะไม่ต่างกัน
จบ