 |
[SPOILER!!!] World Embryo ตอนที่ 61 - เกาะฮัตสึมิ 5 -
|
 |
กลับมาพบกับ Spoil World Embryo เป็นประจำทุกเดือนกันอีกครั้งนะครับ
ใครที่เคยคอมเมนต์ไว้ในตอนที่แล้วว่าคาราซาว่าดูไม่คลั่งเท่าที่ควร อ่านตอนนี้คงได้สมใจอยากกันละครับ เพราะงานนี้พี่แก "คลั่ง" ได้น่าขนลุกจริงๆ
ส่วนจะคลั่งออกมาอีแบบไหนนั้น เชิญลงไปชมใน Spoil ข้างล่างกันได้เลยครับ :)
ปล. - เช่นเดียวกับกับตอนก่อนๆ ที่ผมจะขอเรียก "พี่เทพทาคาโอะ" ในตอนนี้ด้วยชื่อจริงว่า "ริวเซย์" เพื่อไม่ให้สับสนกับนามสกุล "ทาคาโอะ" ในเนื้อเรื่องช่วงนี้นะครับ
เปิดตอนมาต่อจากตอนที่แล้วที่คาราซาว่าใช้รังไหมทำให้ให้ซาโยโกะคืนชีพกลับมาเป็น "คิวกิเอนเด" แถมยังเอาเอนเดในสภาพเสื้อหนาวตัวเดียวมากกโชว์ให้ริวเซย์ดูกันจะๆ แบบไม่อายผีสางเทวดาอีกต่างหาก ภาพล่อแหลมตรงหน้าทำเอาเรน่าทนไม่ได้ ต้องรีบเอามือปิดตาริคุไว้แน่นแบบถึงตายก็ไม่ยอมให้เห็นภาพอนาจารเด็กอย่างเด็ดขาด แถมยังโวยวายพาโลพาเลหาว่าริคุแอบฉวยโอกาสที่คนในโลกความทรงจำนี้มองไม่เห็นไปเที่ยวแอบดูสาวๆ คนอื่นในเวลาไม่เหมาะสมอีกต่างหาก เล่นเอาริคุโวยวายว่าเห็นเขาเป็นคนยังไงกัน (เถียงกันไปเถียงกันมา ดันกลายเป็นเถียงเรื่องรูปร่างไม่สมวัยของเรน่าไป เลยโดนเรน่าตบปากปลิ้นซะ)
จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาซึ่งพวกริคุได้พบเห็นผ่านการนำทางของจูริ หลังจากที่คาราซาว่ากับริวเซย์ใช้รังไหมชุบชีวิตซาโยโกะขึ้นมาเป็นคิวกิแล้ว ทั้งคู่ก็แอบขนรังไหมนั้นกลับมาที่บ้านลับของริวเซย์ และฉีกรังไหมนำเอนเดออกมาที่นั่น เอาเอนเดออกมาเสร็จก็แอบพาเอนเดมาซ่อนไว้ที่หอส่งสัญญาณวิทยุ ซึ่งที่หอส่งวิทยุแห่งนี้ นอกจากคาราซาว่าแล้วก็ไม่มีใครอื่นแวะเวียนมาอีก คาราซาว่าจึงสามารถเลี้ยงดูเอนเดอย่างลับๆ โดยไม่ให้ใครรู้ได้อย่างสบาย
(ตรงนี้มีพูดถึงเรื่องการตั้งชื่อให้คิวกิด้วย โดยริวเซย์เตือนคาราซาว่าว่าไม่ว่ายังไงก็ "ห้ามตั้งชื่อเดียวกับคนตายที่ทำให้คิวกิเกิดมา" เด็ดขาด เนื่องจากคิวกินั้นถือเป็นคนละคนกับคนตายคนนั้นจนกว่าจะโตเต็มวัยจริงๆ ดังนั้น หากตั้งชื่อเดียวกับคนตาย ความทรงจำของคิวกิกับความทรงจำของคนตายก็จะสับสนปนเปกันจนทำให้แยกแยะตัวเองไม่ออกว่าเป็นใครกันแน่ ซึ่งริวเซย์ก็เคยพลาดในเรื่องนี้มาแล้ว จึงทำให้จูริมีอาการคล้ายคนปัญญาอ่อนดังที่เห็นทุกวันนี้)
ระหว่างที่เลี้ยงดูเอนเดอย่างลับๆ อยู่นั้น คาราซาว่าก็แอบศึกษาเกี่ยวกับตำนานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเกาะนี้และคิวกิจากเอกสารเก่าๆ ของตระกูลทาคาโอะซึ่งริวเซย์แอบหยิบมาให้ จนได้รับรู้ถึงเรื่องราวเบื้องหลังการกำเนิดของรังไหมและคิวกิ ซึ่งมีที่มาจากตำนานพื้นบ้านของเกาะฮัตสึมิที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นเอง
และด้วยความช่วยเหลือจากริวเซย์ในการแกะศัพท์เฉพาะบางอย่างที่ไม่เข้าใจ เช่น "คังชุ" อันหมายถึง "ยักษ์", "สามเสาหลักแห่งศาลเจ้า" อันหมายถึง "คิวกิทั้งสาม" และ "วาตาริโตะ" (ผู้ข้ามฟาก) อันหมายถึง "เจ้านายของคิวกิ" แล้ว คาราซาว่าก็ได้รู้เรื่องราวตำนานเกี่ยวกับรังไหม (จากที่ริวเซย์ช่วยอ่านให้ฟัง) ว่ามีเรื่องราวดังนี้
--------------------------------------------------------
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...บนเกาะแห่งนี้มี "โลงศพ" ซึ่งมีเหล่า "ยักษ์" (คังชุ) ออกมาอยู่ ยักษ์เหล่านั้นคอยหลอกหลอนและเข่นฆ่าผู้คนเรื่อยมา และหากใครได้ยินเสียงของยักษ์เหล่านั้น ก็จะกลายเป็นยักษ์ออกไล่ฆ่าผู้คนไปด้วย ผู้ใดที่กลายเป็นยักษ์จะถูกลืมเลือนไปจากความทรงจำของผู้คน สร้างความเดือดร้อนและทุกข์ทรมานแสนสาหัสให้แก่ผู้คนบนเกาะยิ่งนัก
แต่แล้ววันหนึ่ง "วาตาริโตะ" ผู้ควบคุมคิวกิ 3 ตนก็ปรากฏตัวขึ้น เขาควบคุมคิวกิเข้าปราบเหล่ายักษ์จนราบคาบ และส่งยักษ์ทั้งหมดกลับคืนสู่ "โลงศพ" อีกครั้ง เมื่อยักษ์ถูกปราบจนหมด ผู้คนบนเกาะจึงค่อยๆ จดจำคนที่ตายไปเพราะยักษ์เหล่านั้นได้อีกครั้ง พวกเขาต่างซาบซึ้งในความช่วยเหลือของวาตาริโตะและคิวกิทั้ง 3 ยิ่งนัก จึงรับพวกเขาทั้งหมดเข้ามาอยู่บนเกาะด้วย และกลายเป็นที่เคารพบูชาของคนในหมู่บ้านไปตราบจนชั่วลูกชั่วหลาน
เมื่อวาตาริโตะสิ้นชีวิตลง คิวกิทั้ง 3 ก็เข้าสู่ห้วงนิทราและกลายร่างเป็น "รังไหม" รังไหมนั้นถูกมอบให้ตระกูลใหญ่บนเกาะทั้ง 3 ตระกูลเป็นผู้เก็บรักษา หลังจากนั้นเป็นต้นมา ยามใดที่มียักษ์ (คังชุ) ปรากฏตัวออกอาละวาด ตระกูลซึ่งเก็บรักษารังไหมทั้ง 3 ตระกูลก็จะปลุกคิวกิให้คืนชีพมาปราบยักษ์เหล่านั้นทุกครั้งไป
นั่นคือที่มาของ "สามเสาหลักแห่งศาลเจ้า" นั่นเอง
ฟังถึงตรงนี้ คาราซาว่าก็นึกสงสัยว่า ที่บอกว่าสามเสาหลักนั่นน่าจะหมายความว่ามีสามตระกูลที่เก็บรักษารังไหม แต่ปัจจุบัน ผู้ครอบครองรังไหมบนเกาะกลับเหลือแค่ 2 ตระกูลคือโอโทริกับทาคาโอะเท่านั้น คาราซาว่าจึงถามริวเซย์ว่า แล้วตระกูลที่ 3 ที่เก็บรักษารังไหมล่ะคือตระกูลอะไร
ริวเซย์ทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตอบออกไปว่าตระกูลนั้นคือ...
--------------------------------------------------------
ถึงตรงนี้ ฉากก็ไปยังอาจารย์ของเรน่าซึ่งกำลังหยุดยืนอยู่หน้าประตูใหญ่คล้ายประตูคฤหาสน์หรือศาลเจ้าขนาดมหึมา ตัวประตูเก่าคร่ำคร่าจนอักษรบอกชื่อตระกูลผู้เป็นเจ้าของบ้านแทบจะเลือนหายไป กระนั้นก็ยังพอจะอ่านออกเป็นคำๆ ได้...แม้ไม่ชัดเจนนัก...
"อาริสึงาว่า"
จากคุณ |
:
Drake
|
เขียนเมื่อ |
:
4 ม.ค. 54 12:01:17
|
|
|
|  |