Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เปิดหัวอกแม่ ลูกเข้าแคมป์ สมาธิดีขึ้น ติดต่อทีมงาน

จากไทยรัฐออนไลน์

--------------------------------------------------

ถกเถียงกันไม่มีที่สิ้นสุด จากกระแสข่าวทอล์กออฟเดอะทาวน์ กรณีบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งเปิดแคมป์สอนเด็กใช้สมองส่วนกลางแทนการมองเห็นด้วย ตา ท่ามกลางเรื่องราวที่คลุมเครือ เมื่อไม่มีใครทราบว่าแคมป์ดังกล่าว เป็นแคมป์สอนหนังสือ หรือเป็นโรงเรียนสอนพัฒนาสมอง...


"ไทยรัฐออ นไลน์" มีโอกาสได้สัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่ต่างมุมมองเช่นนี้หลายคน ก่อนจะนำเสนอเพื่อให้ประชาชนได้พินิจพิเคราะห์ถึงข้อเท็จจริงด้วยวิจารณญาณ ของตัวท่านเอง เริ่มกันที่ผู้ปกครอง ซึ่งเป็นคุณแม่รายหนึ่ง ที่ไม่ประสงค์เปิดเผยชื่อเสียงเรียงนาม หนึ่งในบรรดาผู้ปกครองหลายๆ คนที่ตัดสินใจพาบุตรหลานเข้าเรียนในแคมป์ดังกล่าว เพื่อรับการอบรมและเรียนรู้เทคนิคการพัฒนาสมอง ตามแบบฉบับของพ่อแม่ที่สามารถทำทุกอย่างเพื่อลูกชายวัย 10 ขวบได้


โดย คุณแม่คนนี้ เล่าให้ฟังว่า "ตนได้รับทราบเรื่องดังกล่าวจากคนรู้จักว่า มีแคมป์แห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี สามารถสอนให้เด็กพัฒนาสมองได้ ด้วยการเข้าค่ายเพียง 2 วัน ด้วยความที่ต้องการให้ลูกเป็นเด็กมีสมาธิ จึงตัดสินใจส่งลูกไปเข้าค่ายดังกล่าวเมื่อหลายเดือนก่อน โดยคิดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ตนส่งลูกเรียนดนตรีมาโดยตลอด เพื่อให้ลูกมีความสุข แต่ตนจะไม่ส่งลูกเรียนกวดวิชา เพราะเห็นว่าเด็กจะเครียดเกินไป และหากจะเข้าค่ายฝึกสมองก็คงไม่เสียหายอะไร เพราะการฝึกสมองน่าจะทำให้ลูกมีสมาธิเพิ่มขึ้น ซึ่งตนก็ตัดสินใจทำเพื่อลูกโดยไม่ได้คิดมากอะไรกับการที่จะต้องเสียค่าใช้ จ่ายจำนวน 12,000 บาท เพราะหลังจากที่กลับจากแคมป์ ลูกชายก็มีสมาธิขึ้น โดยเห็นได้ชัดว่าลูกจะนิ่งมากขึ้น จากเคยเป็นเด็กที่เงียบ พูดน้อย ก็กลายเป็นเด็กที่ร่าเริง สดใส สนุกสนาน และลูกยังสามารถดูแลจัดการตัวเองได้ โดยเช้าวันไปโรงเรียน ก็ไม่ต้องปลุกตื่น บอกตรงๆ ว่าเขามีความรับผิดชอบมากขึ้น รวมถึงการทำการบ้านของตัวเองอีกด้วย"


เมื่อถามว่า แคมป์ฝึกอะไรให้ลูกบ้าง คุณแม่ อธิบายว่า "ทางแคมป์ฝึกสมาธิให้ลูกเป็นส่วนใหญ่ โดยให้ทำมือ ทำท่าทาง ที่เน้นการจดจ่อกับกิริยาท่าทางที่ทำอยู่ในขณะนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องลำบากหรือยากอะไร แต่ตนเห็นว่า สิ่งที่ลูกได้รับและนำกลับมาปรับใช้ที่บ้าน เป็นเรื่องการทำสมาธิที่ถูกปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเห็นว่าเหมือนกับการฝึกสมาธิทั่วๆ ไป แต่แม่อย่างเรา อาจไม่เข้าใจรายละเอียดหรือจับจุดให้ลูกไม่ได้ แต่ระยะเวลาหลายเดือนหลังจากฝึกแค่ 2 วัน ลูกชายก็มีนิสัยที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น"


ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า อาจจะเข้าข่ายหลอกลวง คุณแม่ กล่าวว่า "ตนไม่ได้คิดว่าจะถูกหลอกหรือไม่ เพราะคิดว่าสิ่งที่ลูกชายเป็นอยู่ทุกวันนี้ ทำให้ครอบครัวเรามีความสุขมาก โดยเฉพาะตอนครูที่โรงเรียนชมว่า ลูกชายดีขึ้น ร่าเริงขึ้น เราในฐานะแม่ มันมีความภาคภูมิใจเกิดขึ้น เพราะที่สำคัญแม่ย่อมรู้เรื่องลูกดีว่าลูกมีความสุขหรือไม่ ส่วนกรณีผู้ปกครองคนอื่นอาจคิดว่าไม่ได้ผลนั้น ตนเห็นว่า วัตถุประสงค์ในการส่งลูกเข้าเรียนที่แคมป์ของผู้ปกครองแต่ละคนแตกต่างกัน บางคนอยากให้ลูกเป็นอัจฉริยะจึงส่งมาเรียน แต่ตนไม่ได้คิดแบบนั้น จึงไม่อยากแสดงความเห็นอะไรกับข่าวที่เกิดขึ้น เพราะครอบครัวใครก็เป็นครอบครัวของคนนั้น ดังนั้นความพึงพอใจของแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน"


ด้าน ผศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงความเห็นถึงการนำความสามารถพิเศษของเด็กกลุ่มหนึ่งทางรายการโทรทัศน์ว่า ทางวิทยาศาสตร์อธิบายภาพที่เกิดจากพลังจิต ซึ่งมาจากสมองส่วนกลางไม่ได้อยู่แล้ว เพราะมันไม่สามารถเป็นไปได้ และที่สำคัญ คือ แคมป์ดังกล่าวไม่ได้มีใบอนุญาตจากกระทรวงศึกษาธิการเลย แล้วจะเปิดให้เรียนได้อย่างไร ตอนนี้เราก็พยายามรณรงค์กันอยู่ เพื่อทำให้คนเข้าใจมากขึ้นว่า มันไม่ใช่เรื่องจริง วิทยาศาสตร์มันเป็นไปไม่ได้ และให้เห็นชัดเจนว่านี่เป็นการหลอกลวงประชาชน


"ผม ไม่เห็นด้วยมากๆ กับการแสดงนั่น เพราะดูแล้วมีลักษณะเหมือนมายากล เหมือนการหลอกลวงประชาชน โดยเก็บเงินค่าเรียนจากผู้ปกครองเพียง 2 วันในราคาที่แพง อีกทั้งยังมีลูกหลานคนใหญ่คนโตเข้าเรียนด้วย ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหตุผลที่ผู้ปกครองส่งบุตรหลานไปเข้าแคมป์ แต่เชื่อว่าน่าจะไม่ทราบเรื่องก็เป็นได้ ส่วนการสอนให้เด็กโกหกคนอื่นทางอ้อม เด็กก็เหมือนโดนหลอก เพราะอายุเพียงแค่ 6-12 ปีเอง" อาจารย์ด้านวิทยาศาสตร์ กล่าว


ผศ.ดร.เจษฎา กล่าวอีกว่า "ตอนนี้รู้สึกเป็นห่วงผู้ปกครองที่ยังเชื่ออยู่ เพราะแคมป์ไม่ยอมรับว่าเป็นโรงเรียน แต่บอกว่าเป็นศูนย์ และหากเป็นอย่างนี้จะทำให้คนอื่นอยากเปิดสอนอะไรก็ได้ เพื่อหลอกเก็บเงินจากผู้ปกครอง อย่างไรก็ตาม อยากฝากเตือนผู้ปกครองว่า พ่อแม่ที่ส่งลูกตัวเองไปเรียนแล้ว ยังไงเขาก็ต้องเชื่อว่าลูกทำได้ ดังนั้นควรคุยกับลูกดีๆ ว่าสิ่งที่เขาเห็นมันคืออะไร หรือพิสูจน์ให้เขาต้องยอมรับความจริง สังคมไทยไม่ค่อยเป็นสังคมวิทยาศาสตร์เท่าไหร่ ออกแนวไสยศาสตร์มากกว่า แต่เรื่องอย่างนี้มันคิดกันได้ แล้วจะรู้ว่าเรื่องนี้จริงๆ แล้วมันคืออะไร"


ทาง ด้าน "วาทินี พิวัฒน์ชานนท์" เจ้าหน้าที่ของแคมป์ดังกล่าว ออกมาเปิดเผยว่า "ตอนนี้ยังไม่ทราบอย่างเป็นทางการ ว่าสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ได้สั่งระงับการดำเนินการชั่วคราว และให้ผู้ตรวจการกระทรวงศึกษาธิการลงไปตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยใช้เวลา 1 เดือน ซึ่งระหว่างนี้ให้ระงับกิจการไว้ก่อน หากในอนาคตไม่เรียบร้อย ก็จะขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษเข้าไปดำเนินการด้วย ทั้งนี้หากเป็นจริง ก็ยินดีที่จะให้เข้ามาตรวจสอบ ซึ่งมั่นใจว่าเราได้ดำเนินการถูกต้องตามหลักเกณฑ์ทุกอย่าง สำหรับการฝึกของเรา จะฝึกให้เด็กได้มีการฝึกฝนการใช้ทักษะ เพื่อการพัฒนาและกระตุ้นการทำงานของสมอง ซึ่งที่ผ่านมาได้จัดการฝึกในด้านศิลปะ แคมป์ทำสมาธิ หรือวาดภาพ ส่วนเรื่องการปิดตาอ่านหนังสือนั้น ทางแคมป์คิดว่ามันเป็นผลพลอยได้จากการฝึกทักษะนี้เท่านั้น.

http://www.thairath.co.th/content/edu/140655

---------------------------------------------------------------------------------
.
.
.
"ซึ่งที่ผ่านมาได้จัดการฝึกในด้านศิลปะ แคมป์ทำสมาธิ หรือวาดภาพ ส่วนเรื่องการปิดตาอ่านหนังสือนั้น ทางแคมป์คิดว่ามันเป็นผลพลอยได้จากการฝึกทักษะนี้เท่านั้น."

เริ่มแล้วสินะ.. กระบวนการถูไถ

ไวน์

จากคุณ : KuMp
เขียนเมื่อ : 12 ม.ค. 54 10:32:02




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com