Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เต๋อ ฉันทวิชช์ ความคิด มุมมอง ของนักเขียนบทรุ่นใหม่ ติดต่อทีมงาน

ฉันทวิชช์ ธนะเสวี ความคิด มุมมอง ของนักเขียนบทรุ่นใหม่มาแรง



         ฉันทวิชช์ ธนะเสวี หรือ เต๋อ คนรุ่นใหม่ที่โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นงานเบื้องหลังอย่างงานเขียนบทหรืองานเบื้องหน้าในฐานะนักแสดงนำ จากภาพยนตร์ทำเงินของ บริษัท จีทีเอช อาทิ ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่น, โปรแกรมหน้าวิญญาณอาฆาต จนมาถึงเรื่อง "กวน มึน โฮ" ที่ทำให้เขากลายเป็นพระเอกหนังร้อยล้านคนล่าสุด ถือว่าเขาเป็นคนหนุ่มที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จในเวลารวดเร็ว วันนี้ GUEST TALK เลยไม่พลาดที่จะพูดคุยกับเขาถึงความคิด มุมมอง ของการทำงานค้นพบว่าตัวเองเป็นคนที่เขียนบทได้ดี

         "ตอนที่ผมจะเรียนจบ ม.6 ผมก็เอาชื่อเพื่อนทุกคนในห้องมาเขียนเป็นเรื่อง เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับเพื่อนทุกคนออกจีน ๆ หน่อย ตัวละครคือเพื่อนในห้องทั้งหมด 30-40 คนได้ ผมเขียนได้ยาวมากประมาณ 200 หน้าได้ ในเวลา 3-4 เดือน ตอนแรกเขียนมา 2 ตอนก่อนแล้วเอาไปให้เพื่อนอ่านแล้วเพื่อนชอบบอกเอาอีก ผมก็เลยกลับมาเขียนอีกแบบบ้าเลือด โดยที่ผมไม่รู้หรอกว่าสิ่งนี้คืออะไร รู้แค่ว่าสนุกเวลาได้ทำและเราชอบ จนมาเอนทรานซ์เข้าคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผมถึงได้รู้ว่าสิ่งนี้คือการเขียนบท

         ผมจะถือคติผมทำสิ่งที่ผมชอบ เหมือนเราเรียนหนังตอนแรกไม่รู้ด้วยซ้ำจบมาจะทำอะไร แต่รู้สึกเราชอบก็น่าจะทำได้ดีที่สุด ตอนเรียนก็มีทำหนังสั้นและไปเล่นเอ็มวีให้เพื่อน จากนั้นได้ไปแคสโฆษณา ชิ้นแรกในชีวิตคือ "วันทูคอล" ปรากฏว่าโฆษณาตัวนี้ดังประมาณหนึ่งทำให้ผมมีงานเอ็มวีเข้ามา คือเพลง "ไม่มีใครรู้" ของ เป๊ก ผลิตโชค เพลง "คืนข้ามปี" ของ ดา เอ็นโดรฟิน"




 โอกาสมาพร้อมกับความสามารถแต่ต้องมีความพร้อม

         เต๋อ ฉันทวิชช์  : เหมือนโอกาสมาโดยที่เราไม่รู้ตัว แต่โชคดีที่เรามีความพร้อมอยู่แล้ว และสนุกที่ได้ทำ มันก็เลยกลายเป็นเส้นทางชีวิตของผมสองเส้นที่เดินควบคู่กันไป ทางหนึ่งคือชอบเขียนบทก็ทำหนังสั้นก็เขียนบทไป อีกทางเป็นทางแสดง มันเข้ามาพร้อมๆ กัน เพราะผมสนุกกับทั้งคู่ แต่พอผมเรียนจบ เพื่อนผมชื่อ เมษ ซึ่งทำหนังสั้นเรื่องหนึ่งและได้ไปฉายในงานเทศกาล "พี่เก้ง" จิระ มะลิกุล เห็นแล้วชอบมากเลยเรียกเพื่อนผมไปเขียนบทให้ผมเลยมีโอกาสได้เข้ามาทำงานตรงนี้ มาเขียนบทหนังกับเพื่อนเรื่องแรกคือ "เก๋า เก๋า" ซึ่งตอนนั้นผมก็มีงานเอ็มวีและงานโฆษณาเล่นด้วย

         แต่ผมรู้สึกว่าโอกาสเป็นสิ่งที่เราไขว่คว้าไม่ได้ มันจะมามันก็มาเอง สิ่งที่เราทำได้คือเราต้องพร้อมเสมอตลอดเวลา อย่างตอนเขียนบทหนังเรื่องแรก "เก๋า เก๋า" ผมรู้สึกว่าผมถนัดเขียนบท ผมเขียนได้ผมเขียนเก่งตอนสมัยเรียน แต่พอได้มาเขียนจริงมันเละเทะมาก มันยากและมีอะไรมากกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลย จนผมกับเพื่อน ๆ รู้สึกท้อเครียดกันหมด สุดท้าย "เก๋า เก๋า" ใช้เวลาเขียนบท 1 ปี 6 เดือน นานมากเลยเพราะต้องแก้เยอะ พอเขียนบทเสร็จเพื่อนคนอื่นก็ไปทำอย่างอื่น เหลือผมกับเมษสองคน เมษชัดเจนอยากเป็นผู้กำกับฯ เลยทำต่อ ส่วนผมรู้สึกว่าคงไปทำอย่างอื่นไม่ได้แล้ว คือทั้งชีวิตที่ผมชอบดูหนัง ผมรู้สึกเขียนบทได้ อย่างอื่นผมทำไม่เป็นเลยอดทนเขียนต่อ

         จาก "เก๋า เก๋า" มาเขียนบทเรื่อง "4 แพร่ง" ตอน "คนกลาง" ซึ่งค่อนข้างได้รับคำชมเยอะ ทำให้ผมได้รู้ว่าทางของผมเป็นแบบนี้ ผมเข้าใจทางตัวเองแล้ว ต้องเป็นแนวตลกร้าย ตลกหน้าตายสถานการณ์ พอมีเรื่อง "5 แพร่ง" ผมเลยได้มาเขียนบทอีกตอน "คนกอง" แนวกวน ๆ หน่อย ผมเลยเริ่มเข้าใจ และช่วงเวลานั้นได้โอกาสอีกอย่างหนึ่งได้เล่นหนังเรื่อง "ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น" มา "โปรแกรมหน้า วิญญาณอาฆาต" จนมาถึงเรื่อง "กวน มึน โฮ" ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตที่การทำงานสองเส้นของผมมาบรรจบกัน เพราะผมเขียนบทหนัง แต่ผมไม่เคยเล่นบทหนังที่ผมเขียนเอง มาเรื่อง "กวน มึน โฮ" ที่ผมร่วมเขียนบทและเล่นเองด้วย




 เขียนบทร่วมกับคนอื่นมาตลอดยังไม่พร้อมที่จะแยกออกมาเขียนบทคนเดียว

         เต๋อ ฉันทวิชช์  : จริง ๆ ผมก็เขียนได้นะ แต่ผมรู้สึกยังไม่เก่ง คือเขียนหลายคนเหมือนมีคนคอยเช็กกันจะดีกว่า แต่ถ้าให้เขียนเดี่ยวเขียนได้แต่ดีหรือเปล่า ไม่รู้เพราะไม่มีใครมาคอยบอกเราดีหรือไม่ดี บางทีเขียนเองจะมีอีโก้บางอย่างที่บอกดีแล้ว แต่เขียนหลายคนต้องมีจุดยืนและรู้ว่าเราทำอะไรอยู่ คือเขาก็ให้โอกาสแต่ผมยังไม่ยอมเขียน ผมอยากเก็บเกี่ยวประสบการณ์เยอะ ๆ ก่อน




 การเขียนบทหนังสมัยนี้ต้องตอบกระแสหรือตอบโจทย์คนดู

         เต๋อ ฉันทวิชช์  : ก็มีส่วนนะเพราะเราเขียนบทหนังไม่ได้เขียนเพื่อตัวเองนะ เราเขียนเพื่อคนดู แล้วคนที่อ่านหรือวิจารณ์เขาคือคนดูคือคนอ่าน เหมือนตอนที่ผมเขียนเรื่องสั้นตอน ม.6 ถ้าเขียนไปเพื่อนทุกคนด่าว่าห่วยมากเลย ผมยังดื้อเขียนต่อไปก็ไม่มีใครอ่าน งานชิ้นนั้นก็ไม่มีค่า ผมรู้สึกเราทำหนังเพื่อตอบโจทย์คนดู คือบางครั้งความเป็นตัวตนก็สำคัญนะ อย่างที่ผมได้ค้นพบว่าผมเป็นคนกวน ๆ เลยเขียนบทแนวกวน ๆ ไปก็เป็นตัวเอง นั่นคือตอบโจทย์ตัวเอง ในขณะเดียวกันความกวนก็ไม่ได้ถ่อยมาก ๆ จนคนดูรับไม่ได้ ก็ต้องคำนึงถึงคนดูด้วยว่ามีตรงไหนที่คนดูรู้สึกตลก ดูแล้วรู้สึกฮาน่ารัก




 วิธีหรือมุมมองในการเขียนบทของคนรุ่นใหม่อย่างเต๋อ

         เต๋อ ฉันทวิชช์  : ถ้าเป็นข้อมูลมันหาได้ทุกที่ไม่ว่าเราจะไปที่ไหนเจออะไรเอามาเป็นวัตถุดิบได้หมด ยิ่งเราเป็นนักแสดงยิ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบชั้นดี เพราะเราต้องไปโน่นไปนี่ตลอดเวลาได้เจอที่ใหม่ได้เจอคนแปลก ๆ ก็มี เป็นวัตถุดิบในการเขียนบทได้หมด แต่ขั้นตอนการเขียนบทที่ยากสุดคือตอนจบสมมติเราไปดูหนังเรื่องนี้มาทั้งเรื่องห่วยมากเลย แต่มันจบดีมาก เราจะไปเล่าให้เพื่อนฟังว่าหนังเรื่องนี้ดีมันเป็นความประทับใจครั้งสุดท้าย ในขณะเดียวกันถ้าตอนต้นดีมากแต่ตอนจบห่วยแตกเขาจะมาพูดว่าหนังห่วย เพราะฉะนั้นตอนจบมันต้องเป็นอะไรที่ระยะสุดท้ายเราต้องทำให้ได้ต้องเอาใจคนดูให้ได้ ดังนั้นมันเลยยากถ้าเป็นหนังผีก็ยากตรงที่ต้องหักมุม ต้องมีความไม่คาดฝัน แต่ทุกวันนี้มันหักมุมไปล้านแบบแล้ว มันคิดไม่ออกแล้วจะหักมุมอะไรได้อีก




 มองวงการเขียนบทตอนนี้ยังไง

         เต๋อ ฉันทวิชช์  : ผมว่าหนังไทยยังมีปัญหาเรื่องบทเพราะคนมันน้อย น้อยมากจนน่าตกใจ เมื่อมันน้อยเงินไม่ค่อยได้เยอะมาก ดังนั้นคนที่เป็นนักเขียนบท จึงรีบทำให้จบเพื่อไปทำเรื่องใหม่ ผลงานเลยออกมาไม่ดี ผมก็ไม่รู้จะแก้ยังไงนะ เพราะคนต้องหาเลี้ยงชีพ อย่างตอนที่ผมเขียนบทเรื่องแรกใช้เวลาปีครึ่งผมจนแกลบมากต้องต้มมาม่ากิน โอ้โฮ...ชีวิตมันแย่มากไม่มีเงินจริง ๆ การเขียนบทหนังให้มันออกมาดี ๆ ต้องใช้เวลาแต่ถ้าใช้เวลานานขนาดนี้ก็ไม่ได้ ผมเลยรู้สึกว่าถ้าได้เงินเพิ่มก็คงดี แต่ที่ได้เงินน้อยผมหมายถึงคนเขียนบทรุ่นใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำจะได้เงินไม่เยอะหรอก ทำให้บางคนก็ท้อเลิกเขียน แต่ถ้าเป็นคนเขียนบทเก่า ๆ จะได้เงินเยอะ หรือบางคนพอเขียนบทเสร็จแล้วก็ไม่มีที่ไป เขียนจบแล้วจะเอาไปไหนเอาไปขายถ้าเขาไม่ซื้อก็ต้องเลิกล้มไป แต่ผมเชื่อว่าถ้าบทมันดีจริง ๆ สุดท้ายมันจะมีทางของมัน ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะไม่ปั้นมันดีขนาดนั้นก่อนที่จะมาขาย ผมว่าอย่าไปท้อเลยเอาไปให้เขาดูแล้วเขายังไม่ชอบก็ทำใหม่ทำส่งไปเรื่อย ๆ




 คิดจะเขียนบทละครบ้างไหม

         เต๋อ ฉันทวิชช์  : ผมเคยเขียนซีรีย์แต่เขียนแค่ 3-4 ตอน ผมว่ามันเป็นคนละศาสตร์กัน ผมเคยอ่านบทละครแล้วผมงงอ่ะ ผมรู้สึกมันเป็นคนละแบบกันเลย คือหนังทุกอย่างต้องกระชับต้องตัดออกไปเลย ในขณะที่ละครมันต้องยืดให้ตรงตามเวลา ให้มันจบใน 1 ตอนต้องน่าสนใจ แต่หนังไม่ใช่ต้องร้อยเรียงให้คนดูต้องตัดออกไปเพราะยิ่งยาวยิ่งน่าเบื่อ ในขณะที่ละครควรจะยาว ๆ เพราะคนจะติดตามตลอด ผมเลยรู้สึกว่าเขียนอย่างนั้นไม่ได้เขียนไม่เป็น ถามว่าอยากลองไหมอยากลองนะ แต่คงไม่มีเวลาไปลองขนาดนั้น ก็มีติดต่อมาแต่ผมก็ขอดูก่อนนะครับ




 เป็นคนเขียนบทรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จค่อนข้างเร็ว

         เต๋อ ฉันทวิชช์  : ก็เร็วจริง ๆ ผมก็ต้องขอบคุณทุกคน ชีวิตนี้ ผมได้โอกาสเยอะมากไม่คิดว่าจะได้โอกาสขนาดนี้ รู้สึกดีใจมากที่ได้เล่นและได้เขียนบทได้ทำทุกอย่างอย่างที่ตัวเองอยากทำและมีความสุขกับมัน


 อยากลองงานกำกับฯ
         
         เต๋อ ฉันทวิชช์  : อยากมากเป็นความฝันอย่างหนึ่งแต่ขนาดให้เขียนบทคนเดียวยังไม่พร้อมเลย กำกับฯ ผมว่าเอาไว้ก่อนดีกว่า ให้เขียนบทคนเดียวให้ได้ก่อนค่อยคิดถึงงานกำกับฯ ทางจีทีเอชก็ให้โอกาสนะ แต่ผมก็เอาไว้ก่อนดีกว่า ผมดันเป็นคนคิดมากและคาดหวังสิ่งดี ๆ เยอะ บางคนอาจจะงานชิ้นแรกไม่เป็นไรหรอกทำออกมาห่วย ๆ ก็ได้ไม่เป็นไร แต่ผมรู้สึกว่าเขาจ้างเรามาทำเราจะมาคิดอย่างนี้ไม่ได้ต้องทำให้ดีมาก ๆ แล้วมันก็จะเป็นการกดดันตัวเองเพราะผมรู้สึกยังไม่เก่งพอจะทำให้มันดีขนาดนั้นได้ ผมว่าอีกสัก 3-4 ปีอาจจะพร้อมกับงานกำกับฯ


 ไม่ได้ผูกขาดกับจีทีเอชแต่ก็ไม่คิดไปทำที่ไหน
         
         เต๋อ ฉันทวิชช์  : ไม่เชิงแต่ทำก็ทำกับจีทีเอชที่เดียว มันรู้สึกไม่ค่อยสะดวกใจ รู้สึกทำงานกับจีทีเอชแล้ว ผมสะดวกใจเพราะคุยกันได้ทุกเรื่อง พอทำงานกับที่อื่นบางทีเขาก็ให้เงินเยอะนะรู้สึกก็น่าทำ แต่แบบไม่รู้สิมันไม่สบายใจเท่าไหร่ คือผมอยากทำในสิ่งที่ผมชอบและอยากอยู่ในที่ที่ผมมีความสุข ซึ่งผมอยู่ตรงนี้ผมมีความสุขมาก ผมไม่อยากไปอยู่ที่อื่น หรือไปลองที่อื่นแล้วเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีความสุข เหมือนเขาบอกการอยู่ในที่ที่เราไม่สบายใจแม้เพียงนาทีเดียวก็ไม่คุ้ม และสิ่งที่ผมชอบมากๆ ที่จีทีเอช เหมือนการทำงานมีคนสอนเราด้วยนะ ไม่เหมือนเราทำงานเหมือนเรากำลังเรียนรู้ เวลาเราส่งบทไป พี่เก้ง อ่านจะบอกตรงนี้ไม่ดีตรงนั้นไม่ดีเพราะอะไร ตรงนี้จะสื่ออะไรก็คุยกัน มี พี่วรรณฤดี ครีเอทีฟ ที่เก่งคอยสอนเรา ทุกคนสอนเราหมดเลยในทุก ๆ ด้าน ในแง่การตลาดก็จะมีคนคอยสอนเราตรงนี้ จะขายได้ดีกว่า




 อยากให้หนังไทยมีคุณภาพ
         
         เต๋อ ฉันทวิชช์  : ผมเชื่อมาตลอดว่าคนไทยมีศักยภาพดีมากที่จะทำหนังดีมาก ๆ สู้กับเมืองนอกได้สบาย เวลาผมไปบอกกับทีมงานต่างชาติว่าผมทำหนังเรื่องนี้ด้วยงบแค่นี้นะ ทุกคนตกใจมากเงินแค่นี้ ทำได้ขนาดนี้เลยหรือ ผมก็เลยรู้สึกว่าอย่าให้อะไรมาทำลายความเก่งของเรา เหมือนบางครั้งเรารู้สึกทำอันนี้ไปให้มันเสร็จ ๆ ไปดีกว่าจะได้รีบฉายเอาเงินมา สู้เราให้เวลากับมันอีกนิดแล้วทำผลงานที่ดีออกมาดีกว่า หนังไทยช่วงหลัง ๆ เยอะขึ้นจริงแต่บางเรื่องคุณภาพไม่ค่อยมี เราไม่ต้องทำเยอะเรื่องแต่เอาคุณภาพเยอะ ๆ คนจะได้ให้ความมั่นใจกับหนังไทยมาก คนไทยไม่ค่อยชอบดูหนังไทยชอบไปดูหนังฝรั่งไม่รู้ทำไม หรือบางทีอาจจะมีหนังที่เขารู้สึกไม่โอเค ก็อยากให้คนไทยเปิดกว้างดูหนังไทยกันเยอะ ๆ เพราะหนังไทยที่ดี ๆ เยอะนะ ผมรู้สึกว่าบางเรื่องดีมาก ๆ เลยแต่ไม่ได้เงิน ผมรู้สึกเสียดายแทนเขา ก็ต้องช่วยกัน คนดูก็ต้องช่วยดูคนทำก็ต้องช่วยทำให้มันดี ๆ ความฝันของผมอยากเห็นหนังไทยไปฉายเมืองนอกไปฉายตลาดใหญ่ ๆ สมมติผมอยู่ออสเตรเลียแล้วเห็นหนังไทยเข้าฉายในโรงของเขาด้วย มันจะมีความรู้สึกที่ดีมากว่าหนังไทยมาอยู่ที่นี่แล้ว




 ข้อคิดสำหรับน้อง ๆ

         เต๋อ ฉันทวิชช์  : มันก็เหมือนนักกีฬาไม่มีใครสนุกกับการฝึกฝนแต่เราก็ต้องหมั่นฝึก การเป็นนักเขียนบทก็ต้องฝึกฝนเรียนรู้ทุกอย่างว่าโลกไปถึงไหนแล้ว มีเรื่องอะไรน่าสนใจแล้วฝึกเขียนไปเลย เขียนให้เพื่อนให้ใครอ่านก็ได้ สักวันโอกาสมาแล้วเราพร้อมจะไปเร็วมาก แต่อย่าไปท้อเสียก่อน







ขอขอบคุณข้อมูลจาก
(ภาพยนตร์บันเทิง)

ปีที่ 37 วันที่ 5-11 มกราคม 2554

http://women.kapook.com/view20527.html

จากคุณ : รองเท้าข้างซ้ายที่หายไป
เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 54 10:35:24




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com