การกลับมาของหนังเพลงหลังจากที่ห่างหายไปนาน กับการแสดงแบบเต็มตัวครั้งแรกในบทนำหญิงของนักร้องสาวเสียงทรงพลังอย่าง Christina Aguilera ประกบกับนักแสดงคุณภาพดีกรีรางวัลออสการ์จากเรื่อง Moonstruck หนังรักโรแมนติกปี 1987 อย่าง Cher (แชร์) ร่วมด้วยดาราอีกหลายคน ได้แก่ Cam Gigandet ดาราชายที่โ่ด่งดังมาในปี 2008 เป็นต้นมา ร่วมแสดงในหนังหลายเรื่อง เช่น Never Back Down, Twilight, The Unborn, Pandorum, The Twilight Saga: New Moon และล่าสุด Easy A | ดาราสาวสวย Kristen Bell ที่กำลังดังจากซีรีย์ Gossip Girl รวมทั้งหนังเรื่องอื่นๆ ที่เธอแสดงอย่าง Forgetting Sarah Marshall, Couples Retreat, When in Rome และจะกลับมาอีกครั้งกับหนังผีภาคต่อเรื่อง Scream 4 ร่วมด้วยนักแสดงอีกคับคั่ง เช่น Stanley Tucci, Eric Dane, Alan Cumming, Julianne Hough และอีกหลายคนในบทเล็กๆ เริ่มศตวรรษที่ 20 ประเดิมด้วยหนังเพลงเรื่องดังในปี 2001 อย่าง Moulin Rouge! ก็สามารถปลุกกระแสหนังเพลงให้กลับมาเป็นแนวหนังที่สามารถทำเงินได้อีกครั้ง หลังจากตำนานหนังเพลงเรื่องดัง Grease จาก ค่าย Paramount Pictures ที่ก็ยังไม่มีหนังเพลงเรื่องไหนสามารถทำลายสถิติในการทำรายรับมากที่สุดใน อเมริกา โดยสถิติถูกทำไว้ที่ 188.4 ล้านเหรียญ ต่อมาในปี 2002 ก็มีหนังเรื่อง Chicago ซึ่งก็เกือบจบรายได้ในอันดับหนึ่งแล้ว แม้จะมีรางวัลออสการ์มาช่วยคงรายรับให้ได้เพิ่มแต่ก็ได้เต็มที่ไปแค่ 170.7 ล้านเหรียญ และสถิติอันดับหนึ่งก็จะยังเป็นของหนังเรื่อง Grease ต่อไป
ในปี 2004 มีหนังเพลงเรื่อง The Phantom of the Opera ต่อด้วยปี 2006 เรื่อง Dreamgirls กับการรับบทของอีกหนึ่งนักร้องสาวเสียงคุณภาพอย่าง Beyoncé ในปี 2007 มีเรื่อง Hairspray กับการกลับมาในบทผู้หญิงของ John Travolta ปี 2008 มีหนังเพลงวัยรุ่นเรื่อง High School Musical 3: Senior Year และหนังเพลงที่ฮิตไปทั่วโลกอย่าง Mamma Mia! ที่ทำให้เพลงของวง ABBA กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ในปี 2009 ก็มีหนังเพลง Nine ที่มีดาราแม่เหล็กมากมายแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จทางด้านรายรับ จนมาถึงปีล่าสุดปี 2010 ก็เป็นทางด้านของหนังเรื่อง Burlesque ถึง คิวในการโกยรายได้บ้าง ล่าสุดก็ทำไปแล้ว (นับถึง 9 มกราคม 2011) ในอเมริกา 38.2 ล้านเหรียญ ได้ทั่วโลกไป 56.1 ล้านเหรียญ ก็คืนทุกไปแล้วจากการลงทุนของหนัง 55 ล้่านเหรียญ
ในเรื่องการวางตัวนักแสดงของหนัง Burlesque ตอนแรกบท Nikki ตัวอิจฉาของเรื่อง ทีมผู้สร้างได้พิจารณา Jessica Biel หรือ Lindsay Lohan มาก่อน ในขณะที่ Christina Aguilera เองอยากได้ Emma Stone มารับบท แต่ท้ายสุดบทเป็นของ Kristen Bell ส่วนบทพระเอก Jack ทีมผู้สร้างพิจารณา Robert Pattinson, Kellan Lutz และ Taylor Lautner ก่อนที่บทจะตกไปอยู่ในมือของ Cam Gigandet ในขณะที่บท Marcus นักธุรกิจที่พยายามจะซื้อที่ของบาร์ ก่อนที่บทจะตกเป็นของ Eric Dane ได้ถูกพิจารณาจาก Patrick Dempsey, Sam Worthington, Casey Affleck และ Jamie Foxx มาก่อน ในขณะที่บทนำอย่างบท Ali ได้ถูกเลือกจาก Steve Antin เพื่อนผู้กำกับและผู้เขียนบทของ Christina Aguilera เพื่อให้เธอมารับบทนี้โดยแรงบันดาลใจของหนังมาจากการแสดงของเธอจากรายการ Saturday Night Live ส่วนบทสำคัญอย่างบท Tess ผู้สร้างโน้มน้าวนักแสดงมากฝีมือ Cher อย่างไม่ลดละถึงขั้นไปที่กองถ่ายหนัง The Zookeeper ที่ Cher กำลังให้เสียงพากย์ตัวละครอยู่ จนในที่สุด Cher ก็ยอมรับบท หลังจากที่ห่างหายจากจอไปนานเกือบ 7 ปี
เนื้อเรื่องคร่าวๆ
เนื้อเรื่องกล่าวถึง Ali (Christina Aguilera) สาวจากบ้านนอกออกตามหาความฝัน โดยเดินทางไปยังนครลอสแองเจลิสเมืองแห่งความบันเทิง เพื่อหางานทำ จนในที่สุดก็มาเห็น Burlesque Lounge โรงละครเลิศหรูที่ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ ที่เธอได้เห็นโชว์ตระการตาจนอยากจะไปยืนบทเวทีอย่างนั้นบ้าง จึงตื๊อสุดฤทธิ์ เริ่มด้วยการเป็นสาวเสิร์ฟก่อน และซึมซับการโชว์ไปวันแล้ววันเล่า จนมาถึงวันหนั่ง ที่โชว์หนึ่งของ Nikki (Kristen Bell ) ที่ Tess (Cher) ห้ามไม่ให้แสดงเพราะ Nikki เมาไม่สามารถแสดงได้ จึงให้ Ali ไปแสดงแทน แต่ Nikki ก็แกล้งดึงสายลำโพงออกเพื่อตัดเสียง นั่นก็เป็นจุดกำเนิดของการแสดงที่ใช้เสียงจริงเกิดขึ้น หลังจากที่บาร์แห่งนี้เคยเป็นแต่บาร์ลิปซิงค์มาตลอด ยกเว้นการแสดงของ Tess เองที่จะร้องสด
แต่ก็ใช่ว่าเรื่องราวจะชื่นมื่นเสมอไป ก็ต้องมีอุปสรรคบ้าง รวมทั้งเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กับบริกรหนุ่มในบาร์อย่าง Jack (Cam Gigandet) เรื่องการโดนยึดของบาร์จากหนุ่มนักธุรกิจที่แอบชอบ Ali อย่าง Marcus (Eric Dane) และเรื่องอื่นๆ ประกอบไปกับการแสดงโชว์สุดอลังการในบาร์ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร โชว์จะสุดสะเด่าสะแด่วแห้วแค่ไหน ติดตามกันได้ในโรงครับผม
การแสดงโชว์ และเพลงประกอบในหนัง Burlesque
หนังเพลงก็ต้องมีเพลงให้ฟัง จะให้ร้องอย่างเดียวมันก็คงน่าเบื่อ ก็ต้องมีเต้นซักหน่อยพอเป็นกระสัย แต่เรื่องนี้ไม่พอเป็นกระสัยล่ะ เต้นกันสุดสวิงริงโก้มาก ผนวกกับเสียงสุดยอดพลังจิตเจ็ดชั้นอย่าง Christina Aguilera ด้วยแล้ว รับรองว่าแค่ฟังเพลงดูโชว์ก็คุ้มแล้ว เพลงในหนังขอยกมาแต่ละเพลงเลยแล้วกันจะได้อิ่มเอม
เพลง แรกนี้เป็นเพลงตอนต้นของหนังเลย เป็นตอนก่อนที่นางเอกจะเดินทางไปลอลแองเจลิส เพลงชื่อว่า "Something's Got a Hold on Me" ร้องโดย Christina Aguilera เต้นในร้านบนเวทีมีเก้าอื้ประกอบการเต้น ขอบอกว่าเสียงสุดยอดมากครับ
ตามมาด้วยเพลงเปิดบาร์ในเรื่องอย่าง "Welcome to Burlesque" ที่ร้องโดย Cher แม้อายุอานามของป้าแชร์ก็ไม่ใช่น้อย แต่รับรองมีเสียว แหกแข้งแหกขาพอเป็นพิธี เต้นนิดหน่อย แค่นี้ก็กินขาดแล้วครับ
เพลงต่อไปเป็นเพลงตอนที่ Ali ในหนังเต้นให้ Tess กับ Sean - ฌอน (Stanley Tucci) ดูตอนคัดนักเต้น เพลงชื่อว่า "Wagon Wheel Watusi" ขับร้องโดย Elmer Bernstein ในหนังคริสติน่าเต้นได้น่ารักมาก เหมือนสาว 16 มาเต้นเลยทีเดียว
ต่อไปเป็นเพลง "But I Am a Good Girl" ร้องโดย Christina Aguilera เพลงนี้ฟังสบายๆ เซ็กซี่แบบน่ารัก เพลงดนตรีตึ่งโป๊ะเพื่อให้เต้นยึกๆ ยักๆ ชอบตอนไปเต้นตรงกระจกพับหมุนได้ 5 คน แล้วก็กลับมาจบที่เก้าอี้แล้วสวมหมวกตามจังหวะดนตรี ทำได้เจ๋งมาก
เพลงต่อไปเป็นเพลง "Express" (หรือ E.X.P.R.E.S.S) ร้องโดย Christina Aguilera เริ่ม ร้องในห้องแต่งตัวแล้วก็ลอดช่องออกมาหน้าเวทีมานั่งเก้าอื้กัน 3 คน ชอบท่อน Been holding down for quite some time.. and finally the moment’s right.. โดยท้ายเสียงคำว่า time และ right จะเล่นเสียงยืดด้วย (ออกเสียงแนว อ้ายๆ) โชว์ลูกเสียงได้สุดๆ
เพลงต่อไปร้องโดยป้า Cher เพลงชื่อว่า "You Haven't Seen The Last Of Me" ตอนที่ป้าจะกลับบ้านแต่มีดีเจคนหนึ่งในบาร์ถามว่าจะซ้อมเพลงก่อนมั้ย ป้าก็ขอซ้อมโดยยกเ้ก้าอื้มายืนร้องบนเวทีท่ามกลางความมืด มีแสงไฟสาดมาที่ป้า ขอบอกว่าเพลงนี้เพราะมาก และป้าก็ร้องเองด้วย สุดยอด! เล่นหนังก็เก่ง ร้องเพลงก็เพราะ แถมเข้าชิงเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วยนะ
เพลงต่อไปเป็นจุดเริ่มต้นการร้องสดของเรื่อง เพลงชื่อ "Tough Lover" ร้องโดย Christina Aguilera เป็นตอนที่ตัวอิจฉาของเรื่องตัดสายลำโพงออกทำให้นางเอกต้องร้องสด เพลงนี้ก็เป็นเพลงโชว์พลังเสียงอีกเพลงหนึ่ง
เพลงต่อไปเข้าชิงลูกโลกทองคำเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอีกเพลง เพลงชื่อว่า "Bound to You" ร้องโดย Christina Aguilera ในหนังใส่ชุดเขียวเสียวหลุดด้วยครับ
เพลงต่อไป "Guy What Takes His Time" ร้องโดย Christina Aguilera พร้อม ด้วยชุดสายลูกปัดที่ถูกถอดทิ้งแล้วเอาขนนกมาปิดท่อนบนท่อนล่างแทน ตอนจบของเพลงก็ใช้อุปกรณ์มาปิดท่อนบนสองจุด ท่อนล่างหนึ่งจุด เป๊ะมากไม่มีแพลมให้เห็นเลยทีเดียว
สำหรับอัลบั้มซาวน์แทร็คของหนังก็ประกอบไปด้วย 12 เพลงดังนี้ครับ
1. Welcome to Burlesque – Cher
2. Something’s Got a Hold on Me – Christina Aguilera
3. Tough Lover – Christina Aguilera
4. Long John Blues – Kristen Bell
5. Diamonds – Christina Aguilera
6. You Haven’t Seen the Last of Me – Cher
7. Express – Christina Aguilera
8. But I Am a Good Girl – Christina Aguilera
9. A Guy Who Takes His Time – Christina Aguilera
10. Bound to You – Christina Aguilera
11. That’s Life – Alan Cumming
12. Spotlight – Christina Aguilera
ข้อคิดสอนใจในหนัง Burlesque
ดูหนังเพลงก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อคิดนะ เรื่องนี้ก็ให้ข้อคิดในบทของป้าแชร์เต็มเปี่ยม กับการต่อสู้อย่างไม่ลดละ เพราะกว่าจะก่อร่างสร้างบาร์มาได้ก็ยาก จะให้โดนยึดไปง่ายๆได้ยังไง จึงได้ข้อคิดว่า "ทุกปัญหา ย่อมมีทางออก" และบทของคริสติน่าที่ไต่เต้าจนได้เป็นนักร้องที่โด่งดั่งในบาร์ก็ให้ข้อคิด ทำนอง "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่ั่นั่น"
เก็บตกจากหนัง Burlesque
ทราบหรือไม่ว่าภาพตอนอายุ 7 ขวบของ Ali ในเรื่องแท้จริงแล้วก็คือภาพจริงตอนเด็กของนักร้องสาว Christina Aguilera กับแม่ ของเธอจริงๆ Shelly Kearns นั่นเอง
ฉากที่ป้าแชร์ร้องเพลง "You Haven't Seen the Last of Me" บนเวทีของบาร์ในหนัง ป้าแชร์ร้องสดไม่มีตัดต่อเลย สุดยอดของจริง
เพียงไม่กี่นาทีหลังจากนักแสดงสาว Kristen Bell และนักแสดงสาวเหลือน้อย Cher ได้มาเจอกัน ก็ต้องเล่นบทดราม่าในฉากที่สะเทือนอารมณ์ที่สุดด้วยกัน นั่นคือฉากแตกหักในเรื่อง ทั้งสองต้องพยายามจินตนาการว่าเคยรู้จักกัน และสนิทสนมกันมานานแล้วตามบทของ Nikki และ Tess ในเรื่อง เก่งกันทั้งคู่เลยทีเดียว แค่เพิ่งเจอกันก็สาดโคลนกันได้สุดยอด
ความคิดเห็นที่มีต่อหนัง Burlesque
ด้วยความที่ผมชอบหนังเพลงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงบอกได้เลยว่าไม่ผิดหวังเท่าไร แต่หนังก็มีัข้อเสียในส่วนของเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างไม่มีจุดเด่น ไม่มีฉากไคลแม็กซ์ที่เป็นประเด็นสำคัญของเรื่องที่เข้มแข็งแต่ก็ได้สุดยอด เส้นเสียงพลังจิตเจ็ดชั้นอย่าง Christina Aguilera และการแสดงอันเต็มไปด้วยมิติของป้า Cher มากลบความน่าเบื่อนั้นได้ ลองไปดูจากความเห็นในเว็บต่างประเทศที่ให้คะแนนเรื่องนี้ค่อนข้างต่ำ ก็เพราะส่วนใหญ่มาจากเนื้อเรื่องนี่แหละ แต่แค่ฟังเพลงก็คุ้มแล้วล่ะในความคิดผม อีกอย่่่างดูไปก็น่าสงสารตัวอิจฉาของเรื่องอย่าง Kristen Bell ที่ได้แต่มองตาปริบๆ เพราะโดนถีบลงจากบัลลังก์นางโชว์ ดูตาเธอช่างเศร้าเหลือเกินแฮะ และอีกอย่างก็เป็นเรื่องที่นักแสดงหนุ่ม Cam Gigandet มาหว่านเสน่ห์ให้สาวๆซะที หลังจากเล่นมาหลายเรื่องแต่ถูกมองข้ามตลอด
ผมให้คะแนน 6.5/10 ครับ 