Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
“เอ ศุภชัย” จากตัวประกอบสู่นักปั้นเงินล้าน ผู้ก่อตั้งบ้านซุป'ตารร.ดัดสันดานดารา ติดต่อทีมงาน

“เอ ศุภชัย” เผยชีวิตกว่าจะเป็นผู้จัดการดาราเงินล้าน ถือกระเป๋าใบละเป็นแสนต้องเป็นตัวประกอบได้ค่าแรงวันละ 300 บาท บากบั่นเก็บเงินไปชุบตัวที่อังกฤษเพื่อเปิดโลกทัศน์จับเด็กนอกมาเป็นดารา เผยเรื่องราวสุดฮากว่าจะปั้น “ป๋อ” จนดังเคยจับยัดสเตย์มาแล้ว ฝันปั้นดาราอีกยาวสร้างบ้าน 50 ล้านไว้เป็นที่กินนอนฝึกเด็กเป็นดารา ตั้งกฏเหล็กห้ามกินกันเอง
       
       “เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร” ผู้จัดการดาราเงินล้านที่ชอบหิ้วกระเป๋าใบละเป็นแสนจนกลายเป็นโลโก้ของตัวเอง ปั้นดาราดังๆ ประดับวงการมากมายไม่ว่าจะเป็น อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ , ป๋อ ณัฐวุฒิ สะกิดใจ ,เมย์ เฟื่องอารมณ์ ,ปู ไปรยา สวนดอกไม้ ,ธาวิน เยาวพลกุล ,เวียร์ ศุกลวัฒน์ คณารศ , ณเดชน์ คูกิมิยะ, หมาก ปริญ สุภารัตน์ , สน ยุกต์ ส่งไพศาล ,วิว วรรณรท สนธิไชย และล่าสุดที่กำลังมาแรงก็ใหม่ ดาวิกา โฮรเน นางเอกช่อง 7 และอีกหลายต่อหลายคนที่ไม่ได้เอ่ยนาม
       
       และนอกจากจะเป็นนักปั้นมือทองแล้ว เอ ศุภชัย ยังได้ชื่อว่าเป็นนักขายชั้นเลิศ เด็กในสังกัดของเอ ศุภชัยล้วนกวาดพรีเซ็นเตอร์สินค้าชื่อดังเกือบจะทั้งตลาด เพราะฝีมือการขายโฆษณาของเจ้าตัวนี่แหละ ส่งผลให้ตอนนี้เอ ศุภชัยกลายเป็นนักปั้นหรือผู้จัดการดาราที่มีเงินมากที่สุดในประเทศ มีบ้านหลังละ 50 กว่าล้านเป็นของตนเอง และก็ใช้เป็นที่สถานที่ในการฝึกอบรมเด็กในสังกัดที่กำลังจะก้าวมาเป็นดารา
       
       บ้านหลังนี้ประกอบไปด้วยห้องนอน 20 ห้อง สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องประชุม ห้องเรียนแอ็คติ้ง เด็กในสังกัดของเอ ศุภชัยจะต้องมากินนอนใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เพื่อเรียนรู้วิธีการเป็นดารา ว่าจะต้องเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมร่างกายอย่างไรในการเป็นซูเปอร์สตาร์ในอนาคต หมาก , เวียร์ , ณเดชน์ และใครต่อใครอีกหลายคนก็เคยอยู่ที่บ้านหลังนี้ จนบ้านหลังนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็น "บ้านซูเปอร์สตาร์" หรือบ้านที่ใช้ฝึกความเป็นดารา พูดกันแบบบ้านๆ เอาฮาก็บ้านดัดสันดานดารานั่นแหละ
       
       แต่กว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ เอ ศุภชัย เคยเป็นแม้กระทั่งตัวประกอบได้เงินวันละ 300 บาทเท่านั้น ....
       
       “ผมเป็นเด็กเบญจมราชูทิศนครศรีธรรมราชถือกำเนิดที่ภาคใต้ คุณพ่อเป็นครูแต่เป็นคุณครูที่มีสวนยางพาราเยอะมาก เพราะคุณปู่มีลูกคนเดียวคือคุณพ่อก็เลยทิ้งสวนยางพาราไว้ให้เป็นหลายร้อยไร่ ถามว่าชีวิตที่นั่นลำบากไหมก็ไม่ลำบากแต่คุณพ่อสอนให้ลำบากตั้งแต่เด็ก”
       
       “คือเมื่อก่อนบ้านเราจะเป็นแค่ป่าไผ่คุณปู่ก็ต้องถอนไผ่ทีละต้นๆ เพราะรัฐบาลสนับสนุนให้ปลูกยางพารา ปู่ถางป่าหลายร้อยไล่ก็เลยได้ปลูกยางพารา ซึ่งเราก็เติบโตมากับยางพาราติดตาเป็น ปลูกต้นกล้าเอง บ้านเราก็อยู่กันแบบนี้ พ่อเป็นครูเขาก็ไม่ได้มองชีวิตในวงการบันเทิง เขาก็มองแต่วิศวะ เภสัช หมอ พอเรียนจบที่โน่นก็เลยมาเรียนวิศวะมหาวิทยาลัยรังสิต”
       
       “เป็นการเรียนที่ตามใจคุณพ่อ ทั้งๆ ที่เราเป็นคนที่ชอบแสดงออกตั้งแต่เด็กเคยโต้วาทีระดับจังหวัดได้ที่ 1 และก็ได้ที่ 1 ของภาคใต้ ก็เลยทำให้เรารู้ว่าเราชอบการสนทนาชอบการโต้ตอบก็อยากจะเรียนด้านนิเทศศาสตร์ แต่พ่อบอกว่าจะเรียนด้านนี้จบมาทำอะไร สมัยนั้นยังไม่เป็นที่ยอมรับ พ่อก็ไม่ยอมเขาก็บอกว่า มีสองอย่างให้เลือกถ้าไม่เลือกเรียนวิศวะก็ให้เป็นครู ก็เลยเลือกที่จะเรียนวิศวะเพราะอยากจะเข้ากรุงเทพ”
       
       “พอเรียนวิศวะที่ม.รังสิตเราก็คิดว่า จะทำยังไงก็ได้ที่จะทำให้เราเข้าใกล้วงการบันเทิงที่เราใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กให้ได้มากที่สุด ผมฝันอยากจะเป็นนักแสดงอยากอยู่ในจอ บ้านเราเป็นบ้านที่ไม่มีชาวบ้านอยู่ใกล้ๆ เลยเพราะมีพื้นที่หลายร้อยไร่ทำให้เราต้องอยู่คนเดียว เราก็ต้องพูดกับต้นไม้เหมือนคนบ้า ก็จะแทนตัวเองสมมติเรื่องขึ้น อย่างเห็นต้นไม้ก็จะแบบ นี่พี่เอ้งนะ พี่เอ้งไม่สบายเป็นไงบ้าง จะอยู่กับเรื่องพวกนี้ตั้งแต่เด็กเหมือนได้เล่นละคร”
       
       ไต่เต้าจากตัวประกอบได้ค่าแรงวันละ 300
       “พอมาเรียนที่นี่ชีวิตก็หักเหเพราะได้มาเจอกับน้องยุ้ย(ปัทมวรรณ เค้ามูลคดี)คือน้าของเราเป็นน้องสะใภ้ของบ้านน้องยุ้ย เขาจะทำด้านตัวประกอบคือจัดหาตัวประกอบ อย่างค่าตัว 500 เราก็จะเรียกตัวประกอบมาเข้าฉากให้เขา 300 เราได้ 200 ผมก็จะไปช่วยน้าทำงานด้านนี้ และเราก็ได้แฝงตัวเองไปเล่นด้วย ถ้าเป็นตัวประกอบเมนก็จะได้ 1000 - 2000 บาทก็จะได้ค่าขนม ก็เป็นการทำงานที่ได้เงินและก็แลกกันกับการที่ได้อยู่บ้านเขาระหว่างเรียน”
       
       “ผมจะเป็นเหมือนพี่เลี้ยงน้องยุ้ยจะตามน้องยุ้ยตลอดตั้งแต่สมัยออกเทปเธอยังคงมีฉัน น้องยุ้ยก็เรียนที่ม.รังสิตเหมือนกันกับเราแต่เรียนนิเทศ พอตามบ่อยๆ มันก็เหมือนเราแบบครูพักลักจำก็ได้ซึบซับการทำงานมาเรื่อยๆ ตอนนั้นยังไม่คิดอะไรยังไม่เห็นช่องทางหรอกว่าจะมาได้ขนาดนี้ แต่เหมือนเป็นอะไรที่เราชอบเราได้ตามน้องยุ้ยได้อยู่กับสิ่งที่สวยๆ งามๆ”
       
       “แต่ชีวิตช่วงนั้นก็เรียกได้ว่าค่อนข้างลำบากเหมือนกัน เพราะพ่อประกาศเอาไว้เลยว่า ถ้าเราเรียน 4 ปีไม่จบเขาจะไม่ส่งเงินมาให้ซักบาทแต่เราเรียน 6 ปีจบ ฉะนั้นพอหลังจาก 4 ปีก็ไม่เคยขอเงินพ่อเลยจะหาเงินเรียนเองมาโดยตลอด”
       
       “ก็หาเงินเรียนจากการเป็นตัวประกอบนี่แหละ เป็นตัวประกอบนี่เหนื่อยนะ ตอนนั้นเล่นเป็นตัวประกอบโฆษณาประกันชีวิตก็จะเป็นแบบมีรถวิ่งมาชน พอชนเราก็ต้องแกล้งทำเป็นหกล้มแล้วไอ้คนที่อยู่ข้างเราก็กระเด็นมาโดนตาเราตาเราก็แตก เขาก็บอกว่า ถ้าไม่เล่นต่อจะไม่ให้เงิน 500 เราก็ต้องนั่งตุ๊กๆ ไปเย็บสดๆ 5 เข็มมาเล่นต่อเพราะกลัวไม่ได้เงิน แล้วเงิน 500 เนี่ยก็โดนน้าหักไป 200 เหลือ 300”(หัวเราะ)
       
       “ประสบการณ์ตรงนี้มันทำให้เราจะไม่กลัวอะไรอีกแล้ว เพราะเขาบอกว่า ถ้าชีวิตมันเคยลำบากมาก่อนมันจะรู้ถึงความสบายเป็นยังไง และก็จะไม่กลัวถ้าจะต้องลำบากอีก ชีวิตของเราทุกวันนี้ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะต้องโดดเด่นโด่งดังเสมอ เราพร้อมที่จะเดินลงต่ำอยู่เสมอ”
       
       “คือทองนี่มันอยู่บนดินถ้าเราทำตัวอยู่บนฟ้าเราก็คงไม่สามารถหยิบทองได้หรอก เหมือนกับการปั้นดาราถ้าเราทำตัวเชิดๆ เลิศๆ เราก็ไม่สามารถเจอณเดชน์เจอเวียร์ได้หรอก อันนี้เป็นแบบฝึกหัดหนึ่งในชีวิต การที่เราสะสมความลำบากทำให้เราเจอสิ่งดีๆ”

 
 

จากคุณ : billynn
เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 12:10:39




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com