มาขอบคุณคุณ Edna ด้วยการส่งท้ายเดินทางไปกับโอชิน
สงครามชีวิตโอชิน คือการเผชิญชะตากรรมของผู้หญิงคนหนึ่งใน 3 รูปแบบ คือสงครามกับความยากจน สงครามกับขนบนิยม และสงครามกับญี่ปุ่นยุคทุนใหม่
ในแต่ละสงคราม โอชินได้ใช้วิธีการชนะผ่านมาได้อย่างไร
สงครามกับความยากจน : ขยัน อดออม โอชินคือตัวอย่างของรากหญ้าที่อยู่ในสถานะต้อยต่ำ ชีวิตลำบาก ยากจน มาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า ย่าผู้ปลูกข้าวมายาวชั่วชีวิต แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ลิ้มรสสัมผัสข้าวที่ตัวเองปลูกเลย ลูกๆพี่น้องของโอชิน ไม่เคยอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา เพราะต้องแยกย้ายไปทำงานที่อื่น รวมทั้งโอชินก็ต้องถูกขายไปเป็นคนรับใช้ต่างถิ่น (เออ น้องๆโอชินหายไปไหน บทไม่ได้พูดถึงเลย) โอชินใช้ความมานะอุตสาหะ ขยันและอดออม สู้ชีวิตทุกรูปแบบฝ่าฟันสงครามแห่งความยากจน ล้มแล้วลุก คลุกคลานหลายต่อหลายครั้ง จนไม่สะพรั่นกลัว การเริ่มต้นจากศูนย์อีกครั้ง
ตั้งแต่เป็นเด็กคนใช้ในบ้าน เลี้ยงลูกๆผู้มีอันจะกิน เป็นเลขาส่วนตัวของคุณนายใหญ่ร้านคานาย่า เป็นช่างทำผม เป็นช่างเย็บเสื้อผ้า เป็นชาวไร่ ชาวนาที่ซาง่า เป็นเจ้าของแผงขนมโตเกียว(ชื่อเป็นทางการจำไม่ได้แล้ว) เป็นเจ้าของร้านอาหารราคาถูก เป็นเจ้าของร้านขายปลาโดยเริ่มจากรถเข็น เปิดเป็นร้านแล้วก็เป็นรถเข็นอีกครั้งก่อนจะเป็นสามล้อ แล้วก็เป็นเจ้าของซูเปอร์มาร์เก็ต
ถ้าไม่ได้ดูเป็นละคร คงงงว่า เป็นไปได้อย่างไร โอชินแมวสิบชีวิต
สงครามกับขนบนิยม : อดทน อดกลั้น ยุคสมัยของโอชินคาบเกี่ยวกับประตูเปิด-ปิดของประเทศ ขนบนิยมสมัยดั้งเดิมยังค้ำคอผู้หญิงญี่ปุ่นเต็มอัตรา โดยเฉพาะผู้หญิงที่เป็นลูกสะใภ้ตระกูลอื่น ไม่ต่างจากคนล้างเท้าประจำบ้าน ต้ำเตี้ย ไร้สถานะใดๆทั้งสิ้น ถูกโขกสับ ว่ากล่าว สารพัด โอชินจำต้องออมปาก ออมคำ ใช้ความอดทน อดกลั้น จนท้ายสุด้เชือกโอบิเส้นสุดท้ายขาดผึง หนีออกจากบ้านไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกชายคนเดียว
ครั้นโอชินมาเป็นแม่สามีบ้าง ยุคสมัยได้เปิดสิทธิเสรีให้กับผู้หญิงญี่ปุ่นมากขึ้น กลายเป็นฝ่ายสะใภ้สามารถต่อล้อต่อกรกับแม่สามีทัดเทียมกัน จะวางท่านั่งเฉยเป็นคุณผู้หญิงก็ไม่มีใครว่ากล่าวได้ หรือถ้าตำหนิได้ก็ไม่ขอฟัง
ขนบนิยมที่แปรผันนี้เอง ทำให้ผู้หญิงที่เกิดยุคเมจิอย่างโอชิน เกิดช่องว่างกับเด็กๆยุคหลังสงครามโลก อันเป็นเรื่องธรรมดามากๆ หากใช้ความเข้าอกเข้าใจ อดทน อดกลั้น อีกนั่นแหละ ทำให้เธอผ่านความขัดแย้งนี้หลุดมาอีกเปลาะ
สงครามกับญี่ปุ่นยุคทุนใหม่: ปรับประยุกต์ตน หลังสงครามสิ้นสุดลง ประตูเปิดสู่โลกการค้าแบบตะวันตก ทำให้ร้านค้าเล็กๆของคนรุ่นปู่ ย่า ตา ยาย ถูกคลื่นทุนและวิทยาการยุคใหม่ล้มทับระเนระนาด
หากโอชินยังฝืนปฏิบัติดำเนินการค้าในแบบดั้งเดิม ก็คงต้องเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ล้มเหล่านั้น ทว่า โอชิน กล้าพอที่จะสลัดทิ้งวิธีการค้าแบบเก่า ที่ฝังอยู่ในจิตวิญญานโอชินมาตั้งแต่สมัยอยู่ร้านข้าวคานาย่า และต้อนรับวิถีใหม่ที่รุกกรายเข้ามา ด้วยการเข้าไปศึกษาให้ถ่องแท้ เรียนรู้ สัมมนาระบบ Self Service จนตระหนักในแนวโน้มที่กำลังถาโถมทั่วประเทศ แทนการปฎิเสธ แล้วก้มหน้าก้มตางุดๆไม่สนใจภัยคุกคาม โอชิน ประยุกต์ตัวและแนวคิดทันการณ์เพื่อต่อสู้กับสงครามไม่มีตัวตน จนประสบความสำเร็จ หรือกล่าวให้ชัดเจน สามารถปรับระบบ Self Service ให้เหมาะสมกับร้านค้าในจังหวัดเล็กๆของตัวเองได้อย่างเหมาะสม สู้อุตส่าห์ลงทุนกับเครื่องจักรอัตโนมัติเช่น เครื่องบันทึกเงินสด ศซึ่งเป็นสิ่งที่ใหม่มากขณะนั้น (แน่นอน ถ้าคอมพิวเตอร์เข้ามาตอนนั้น โอชินก็คงจะต้องขอทดลองใช้ด้วย)
เมื่อซูเปอร์มาร์เก็ตของตระกูลถึงจุดวิกฤตเพราะพลังทุนต่างถิ่น โอชิน ยอมรับกับความจริงข้อนี้ ไม่ฝืนระบบทุนนิยม กล่าวให้กำลังใจลูกๆเผชิญกับความเจ็บปวดพร้อมทั้งเริ่มต้นใหม่อีก
ทั้งหมดนี้คือ สงคราม 3 รูปแบบที่โอชินเผชิญตลอด 83 ปี
3 ครู 3 มิตร บนสงครามชีวิต
ในความหนาวเหน็บมีแดดอุ่น ในความแล้งผากมีสายน้ำ
ในวิบากกรรมของโอชินก็มีบุคคลที่แวะเวียนมาให้ความอนุเคราะห์อยู่เนืองๆ ทำให้ชีวิตที่บากบั่นอุตสาหะของโอชินไม่สิ้นหวังจนเกินไปนัก
โอชินโชคดีมีครูดีๆในชีวิตถึง 3 คน ครูคนแรกคือ พี่ชุนซากุ บุรุษหนุ่มผู้หนีเกณฑ์ทหารมาหลบบนภูเขาสูง ได้สอนให้โอชินขีดๆเขียนๆ นับเลข ท่องกลอน และสำคัญสุดคือปลูกฝังทัศนคติของการต่อต้านสงคราม เด็กหญิงโอชิน ขณะนั้นยังคงไม่รู้หรอกว่า มันคืออะไร แต่เป็นสิ่งที่เธอจำฝังใจพร้อมๆกับเพลง The Last Rose of Summer ที่พี่ซุนซากุมักเป่าฮาร์โมนิก้าให้ฟังบ่อยๆ จนเมื่อโอชินโตเป็นสาวก็ลองเป่าเองได้
ครูคนที่สองคือ คุณนายใหญ่แห่งร้านคานาย่า ผู้เปลี่ยนวิถีชีวิตของโอชินจากคนเลี้ยงเด็กมาเป็นเลขาส่วนตัว เรียนรู้การงานทุกอย่างทั้งการเขียนหนังสือ การคิดบัญชี กิจการค้าขาย เย็บปักถักร้อย การบ้านการเรือน รวมทั้งธรรมเนียมนิยมต่างๆของผู้หญิงญี่ปุ่น โอชินอยู่กับคุณนายใหญ่นานนับปี จนซึมซับความรู้และแบบอย่างที่ดีงามของคุณนายใหญ่จนหมดสิ้น กล่าวได้ว่า ที่โอชินเป็นตัวเป็นตนเยี่ยงแม่ค้ามาได้ ก็เพราะการปลูกฝังจากร้านคานาย่าแต่อ้อนแต่ออก ดูคุณนายใหญ่ก็มีบารมีสูงสุดในร้าน ลูกชายสู้ไม่ได้ (พ่อของคุณหนูคาโย่)ยังจ๋องๆ เกรงๆเลย เมื่อโอชินได้เป็นคุณนายใหญ่ของธุรกิจครอบครัว ก็ขับรังสีบารมีนี้เช่นกัน
ครูคนที่สามคือ อาจารย์สอนทำผมที่โตเกียว ผู้กล้าฉีกขนบของช่างทำผมสมัยนั้น โดยให้โอชินเรียนลัด ออกไปฝึกปรือฝีมือทำผมข้างนอก เพื่อตัดปัญหาความวุ่นวายและแรงอิจฉาจากศิษย์คนอื่นๆ เป็นคุณครูคนเดียวที่โอชินต้องนึกถึงเมื่อยามมาพักพิงใจที่โตเกียว ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่สะบัดสะบอมหนีมาจากครอบครัวสามีที่ซาง่า หรือตอนที่มาตามหาฮาจึโกะ ลูกเลี้ยงที่หายตัวไป
คุณครูทั้ง 3 คนมีส่วนหล่อหลอมให้โอชิน เป็นศิษย์มีครูสู้ชีวิตได้ด้วยฐานความรู้ปนประสบการณ์จริง
3 กัลยาณมิตรที่พึ่งพาตลอดกาล คนแรกคือคุณเคน นักเลงยากูซาแห่งโตเกียว ผู้ให้ความยกย่อง เคารพเชิดชูโอชิน นับแต่วันที่เธอเอาผ้าไปขายที่ข้างถนนถิ่นยากูซา เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้โอชินทำแผงขนมโตเกียวขายดิบขายดี ให้ความสนิทสนมจนเกิดเรื่องราวกับภรรยาของตัวเอง
เช่นเดียวกับอาจารย์ผู้สอนทำผม เมื่อไหร่ที่โอชินต้องอาศัยเส้นสายคนโตเกียวดำเนินกิจธุระให้ คุณเคนคือคนแรกที่โอชินถามหาได้ น้ำใจไมตรีที่คุณเคนมอบให้ ไม่มีทางที่โอชินจะลืมได้ โดยเฉพาะเรื่องของฮาจึโกะ
คนที่สองคือ คุณน้าแห่งเมืองอิเสะ (จำไม่ได้ชื่อกระไร) ที่รู้จักโอชินผ่านหลานชาย โคตะ ผู้ให้ชีวิตใหม่แก่โอชินอย่างไม่รังเกียจเดียดฉันท์ ทั้งวิชาความรู้การหาปลาและที่พัก แม้เมื่อริวโซเปลี่ยนวิถีดำเนินธุรกิจโดยรับปลาจากกองทัพมาขาย คุณน้าดูเหมือนจะน้อยใจนิดๆ แต่ก็เข้าใจโอกาสทองของครอบครัวโอชิน ที่จำเป็นต้องดิ้นรนเลี้ยงปากเลี้ยงท้องลูกๆอีกถึง 5 คน หลังสงครามสิ้นสุด โอชินสิ้นเนื้อสิ้นตัว คุณน้าก็ได้กลับมาให้ชีวิตใหม่แก่โอชินอีกครั้ง
และกัลยาณมิตรคนสุดท้ายที่ขาดเสียไมใด้เลยคือ คุณนามิกิ โคตะ อดีตนักปลุกระดมมวลชนคนรุนแรง แต่อ่อนหวานกับโอชินที่สุด ด้วยข้อจำกัดของหน้าที่การงาน ทำให้โคตะไม่สามารถจะใช้ชีวิตคู่เยี่ยงชายหนุ่มทั่วไปได้ มิฉะนั้น เราอาจจะเห็นเส้นทางชีวิตของโอชินเป็นอีกแบบหนึ่งก็ได้
โคตะเป็นหนุ่มจากตระกูลผู้ดี ความรู้สูง แต่เกลียดเรื่องการแบ่งแยกชนชั้นยิ่งนัก เขาร่วมขบวนการปลดแอกชาวนาด้วยทฤษฎีของมาร์กซิส แต่น่าเสียดายที่ชาวนาส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย โคตะเองก็ถูกตามล่าจากทางการจนในที่สุดก็ต้องเลิกรา อย่างไรก็ตาม ชาวนาในระยะต่อมาได้รับการปฏิรูปชีวิตและที่นา ทำให้อนาคตที่ริบหรี่หนหลังกลับเรืองรองมีความหวัง
ความรักของโอชินและโคตะคือความผูกพันที่เก็บกักไว้ในก้นบึ้งหัวใจ มีโอกาสก็นำขึ้นมาทบทวนอย่างอิ่มเอมใจ คอยให้กำลังใจและความช่วยเหลือซึ่งกัน โคตะคือรากไม้แก่นสุดท้าย ที่ช่วยยึดธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตทาโนะกุระไว้ไม่ให้ล่มสลาย
สงครามชีวิตโอชิน ไม่ได้หดหู่สิ้นหวังเสียเลยทีเดียว เพราะมีมือที่คอยยื่นให้ความช่วยเหลือระหว่างพงหนามเป็นระยะๆ
83 ปีของโอชิน (ที่แข็งแรงมาก ขนาดเดินเตาะแตะไปยืนบนโขดหินขรุขระได้) ปิดฉากลงด้วยความคิดคำนึงถึงฉากชีวิตที่ผ่านมา พร้อมใบหน้าผู้คนที่ให้ความเกื้อกูลแต่หนหลัง ทั้งที่ลาจากและอยู่ตรงหน้า
ขอกล่าวสวัสดีกับบรรดาแฟนคลับ โอชิน ทุกคน พบกันอีกครั้ง เมื่อมีซีรีย์สนุกๆเรื่องใหม่มาดูกัน
อีกสักครั้ง สำหรับ น้ำใจที่เผื่อแผ่ไม่หยุดพักของคุณ Edna สิ่งที่กูรูมาเสริมวิเคราะห์ เทียบไม่ได้เลยกับความวิริยะอุตสาหะของเธอที่โหลดคลิปมาให้ชมทุกคืนๆ
ขอบคุณคำใหญ่ๆจากใจจริง
ขออนุญาตคุณ Edna ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A10195096/A10195096.html#1 เปิดโอกาสให้แฟนคลับโอชิน ร่วมเดินทางส่งท้ายไปด้วยกัน
แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 54 20:34:08
แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 54 19:57:51
แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 54 19:22:56
จากคุณ |
:
กูรูขอบสนาม
|
เขียนเมื่อ |
:
1 ก.พ. 54 09:00:58
|
|
|
|