เริ่มจากฉากทางฝั่งของโอโทริ เคย์ชิน กับพลพรรคชายฉกรรจ์จากตระกูลโอโทริ ที่บัดนี้เผ่นแน่บออกจากห้องใต้ดินขึ้นมาแล้ว และกำลังโดนฝูงคังชุที่อยู่ข้างนอกไล่ราวจนแตกฮือหนีตายกันไปคนละทิศละทาง เคย์ชินพยายามรักษาความเยือกเย็น อาศัยความชำนาญพื้นที่วิ่งหลบลัดเลาะไปตามที่ต่างๆ หมายจะหนีให้พ้นจากวงล้อมของพวกคังชุให้ได้ แต่ไม่ว่าจะไปทางไหนก็ไม่อาจหนีพ้น ฝูงคังชุกระจายกำลังอยู่เต็มพื้นที่ไปหมดจนไม่อาจหาทางเจาะแนวเล็ดลอดออกไปได้เลย
เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามล้อมกรอบเข้ามาชนิดปิดทางหนีโดยสิ้นเชิงดังนั้น นายเหนือแห่งตระกูลโอโทริก็เริ่มตัวเย็นวาบ สมองที่เยือกเย็นกลับเปลี่ยนเป็นร้อนรุ่มด้วยความหวาดกลัวและสับสน ไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าเหตุใดเรื่องบ้าๆ เช่นนี้จึงเกิดขึ้นบนเกาะอันเป็นเหมือนปราการอันมั่นคงแห่งนี้ได้
"...ฟันเฟืองของที่นี่มันผิดเพี้ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?" ชายวัยกลางคนถามตนเองในใจ
ตอนนั้นเองที่บางอย่างวาบขึ้นมาในสมองของเคย์ชิน บางอย่างซึ่งคล้ายกับการระลึกรู้หรือการนึกได้ มันดึงความทรงจำบางอย่างออกมาจากหัวของชายวัยกลางคน เปลี่ยนให้เป็นภาพแจ่มชัดราวกับจะย้ำว่านี่แหละคือคำตอบที่เคย์ชินตั้งคำถามในใจเมื่อครู่
จำได้ว่าขณะเกิดในงานเทศกาลคิวกิไซเมื่อช่วงกลางฤดูร้อนที่ผ่านมานั้น เคย์ชินเป็นคนจับได้ว่าคนที่เอารังไหมของปลอม (แต่ตอนนั้นเคย์ชินคิดว่าเป็นของจริง) ไปซ่อนนั้นหาใช่ใครที่ไหน แต่เป็น "มิทามะ" ลูกสาวของตนซึ่งเป็นผู้เชิญรังไหมนั่นเอง รู้ดังนั้น เคย์ชินจึงรีบดึงตัวมิทามะไปยังที่ปลอดคนด้านหลังศาลเจ้า แล้วคาดคั้นถามว่าทำไมต้องเอารังไหมไปซ่อนด้วย ก็เคยบอกแล้วไม่ใช่รึว่าวันนี้พวกนั้น (พวกคาราซาว่า) จะมาขโมยรังไหม ให้ปล่อยพวกนั้น (พวกคาราซาว่าที่มาขโมยรังไหม) ไปอย่าขัดขวาง เราจะได้ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างแลกเปลี่ยนเพื่อสร้างบุญคุณกับตระกูลโทคิจิ จะได้มีสายสัมพันธ์กัน ให้พวกนั้นช่วยให้เป็นอิสระหนีไปจากเกาะฮัตสึมินี้ได้... มิทามะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก็บอกกับเคย์ชินว่า ไม่เป็นไรหรอก ไอ้ที่หนูเอาไปซ่อนนี่น่ะเป็นแค่ของเก๊ทำไว้ตบตาเท่านั้น ว่าจบก็เอาเท้าเหยียบแตกให้ดูกันจะๆ ว่าเป็นของปลอมจริงๆ
"ว้า ทำแตกซะและ แบบนี้ต่อให้เอาไปคืนที่เดิม เดี๋ยวเดียวความก็คงแตกแล้วมั้ง?" เด็กหญิงขึ้นเสียงสูงคล้ายกับกำลังตกใจที่เผลอทำของสำคัญแตก แต่หากฟังให้ดีจะรู้สึกเหมือนในน้ำเสียงนั้นมีแววเสแสร้งอย่างไรชอบกล
"มิทามะ!" เคย์ชินขึ้นเสียงทันทีที่เห็นทีท่าไม่ยี่หระของลูกสาว แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อรู้สึกได้ว่าลูกสาวเลื่อนมือเล็กๆ ทั้งสองข้างขึ้นมาแตะที่แก้มของเขาอย่างนุ่มนวล
"คุณพ่อคะ...ต้องรีบตามไปตอนนี้แล้วนะคะ..." ดวงตาภายใต้หน้ากากไร้อารมณ์ของเด็กหญิงจ้องตรงมายังใบหน้าของผู้เป็นพ่อเขม็ง ขณะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราวกับกำลังหลอนให้ทำตามอย่างไรชอบกล "ถ้าไม่รีบคุมสถานการณ์ตอนนี้ให้อยู่ละก็ คนพวกนั้นอาจเปลี่ยนหน้าไปเป็นหน้าที่เราไม่รู้จักได้นะคะ เผลอๆ พรุ่งนี้ก็อาจไม่อยู่กันแล้วก็ได้... โอกาสมีแค่ตอนนี้เท่านั้นแล้วนะคะ..."
...ใช่แล้ว เพราะประโยคนั้นแหละ... เคย์ชินร่ำร้องกับตนเองในใจขณะวิ่งวุ่นหาทางหนีไปรอบๆ ...ถ้าเด็กคนนั้นไม่เร่งให้เราตามพวกนั้นไป เราคงไม่ตกที่นั่งเป็นฆาตกรฆ่าผู้หญิงคนนั้น...
ความคิดของชายวัยกลางคนชะงักอยู่แค่นั้น เมื่อสัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างยุดข้อเท้าไว้ เขาชะงักฝีเท้าแล้วก้มมอง แล้วก็ต้องเบิกตากว้างอย่างขวัญหาย เมื่อพบว่าเจ้าของมือนั้นคือร่างของชายคนหนึ่งซึ่งกำลังค่อยๆ กลายเป็นคังชุไปทีละน้อยเบื้องหน้า
อะไรไม่ร้ายเท่าที่ข้างตัวของชายคนนั้นมีวิทยุเครื่องหนึ่งกำลังส่งเสียงซ่าประหลาดหูออกมาอยู่!!
ดวงตาของชายวัยกลางคนส่อแววขวัญหาย ขณะที่ในสมองไพล่นึกไปถึงภาพบางอย่างซึ่งวาบขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ภาพของลูกสาวตัวน้อยขณะถอดหน้ากากเผยให้เห็นใบหน้าน่ารักแต่กลับไร้อารมณ์ใดๆ กำลังพูดกับเขาด้วยแววตาไร้อารมณ์จนน่าขนลุกพอกัน...
...คุณพ่อคะ หนูขอร้อง...
...แค่คุณพ่อคนเดียวก็ได้... อย่าเรียกหนูว่ามิทามะเลยนะคะ...
...อย่าเรียกหนูว่า "มิทามะ (วิญญาณ) ของคิวกิ"...
สิ่งสุดท้ายที่วาบเข้ามาในอนุสติที่เริ่มพร่าเลือนของเคย์ชิน มีเพียงนามแท้จริงของลูกสาวที่เขารักปานดวงใจและหวังให้เธอมีความสุขที่สุดเพียงเท่านั้น
"เร...นะ..."
------------------------------------------------
ฉากตัดไปทางฝั่งริวเซย์ซึ่งโดนคลื่นพลังของเอนเดอัดเข้าพร้อมกับจูริและกลุ่มชายฉกรรจ์คนอื่นซึ่งล้อมรอบหอส่งสัญญาณวิทยุอยู่เมื่อครู่ ร่างของเด็กชายลอยคว้างอยู่ท่ามกลางแสงสว่างและเศษซากแห่งความพินาศจากน้ำมือแสงสว่างนั้น เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะขยับร่างกายให้เคลื่อนไหวให้ได้ แต่แล้วก็ต้องตะลึง เมื่อพบว่าตนเองไม่อาจกระดิกร่างกายได้เลยแม้แต่นิ้วเดียว
ภาพความทรงจำมากมายค่อยๆ ผุดวาบขึ้นในอนุสติอันเลือนลางเต็มทีของเด็กชาย แม้จะบางเบาจนแทบไม่ปะติดปะต่อกัน แต่ก็ยังชัดเจนพอจะเชื่อมโยงความเกี่ยวข้องของแต่ละเหตุการณ์ได้ไม่ยาก
...ภาพตอนที่เขาถูกโอโทริ เคย์ชิน นายเหนือแห่งตระกูลโอโทริจับได้เรื่องที่ลักลอบติดต่ออยู่กับคาราซาว่า รวมถึงให้ความร่วมมือเรื่องที่คาราซาว่าทำลงไปทั้งหมด...
...ภาพตอนที่ท่านปู่หัวหน้าตระกูลทาคาโอะได้รับรู้ว่าตัวเขาที่เป็นว่าที่ผู้นำตระกูลรุ่นต่อไป ได้ทำเรื่องเสื่อมเสียอย่างร่วมมือกับคนนอกฝ่าฝืนกฎของเกาะอย่างร้ายแรง...
...ภาพตอนที่เคย์ชินพยายามตะล่อมให้หัวหน้าตระกูลทาคาโอะยอมร่วมมือกันจัดการกับคิวกิตนใหม่ที่เพิ่งเกิดมาและคาราซาว่า...
...ภาพตอนที่ท่านปู่หัวหน้าตระกูลสั่งขังเขาเป็นการลงโทษ โดยมีกำหนดปล่อยตัวคือวันที่จะรวบตัวคาราซาว่ากับคิวกิตนใหม่นามเอนเดเพื่อให้เขาใช้จูริเข้าร่วมในปฏิบัติการจับตัวด้วย...
'อ้อ เราถูกเอนเดโจมตีใส่สินะ...' คือสิ่งแรกที่ริวเซย์เริ่มจับความได้หลังจากปล่อยให้ภาพในอดีตไหลผ่านสมองได้ชั่วครู่หนึ่ง
และความคิดต่อมาหลังจากเริ่มปะติดปะต่อได้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วก็คือ...
'ต้องหยุดชิโร่ไว้ให้ได้...' คือความคิดถัดมาหลังจากที่สมองเริ่มเชื่อมต่อเรื่องราวได้จนหมด 'รู้ทั้งรู้ว่าเอนเดดูดกลืนความทรงจำของคน รู้ทั้งรู้แท้ๆ แต่เรากลับทำอะไรไม่ได้เลย...จนเรื่องกลายเป็นแบบนี้ ดังนั้น เราต้องหยุดชิโร่...หยุดเอนเดไว้ให้ได้...'
คิดได้ดังนั้น เด็กชายก็พยายามขยับตัวให้ได้อีกครั้ง พยายามใช้พลังใจเฮือกสุดท้ายในการทำให้ร่างกายที่แข็งทื่อนั้นขยับให้ได้แม้เพียงนิ้วเดียวก็ยังดี ทว่าก็ยังคงไร้ผล ไม่ว่าจะออกคำสั่งเท่าไหร่ ร่างกายก็ไม่ยอมฟังคำสั่งเลยแม้แต่นิดเดียว
ตอนนั้นเองที่มือข้างหนึ่งยื่นออกมาตรงหน้าเขา
ริวเซย์เงยหน้าขึ้นมองตาม พบกับร่างเปลือยของหญิงสาวที่มีผมยาวสลวยลอยอยู่ท่ามกลางแสงสว่างตรงหน้า
"จูริ..." ริวเซย์ร้องในใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร พยายามจะเปลี่ยนเสียงร้องในใจให้ออกมาเป็นคำพูด แต่กลับไม่อาจเปล่งเสียงใดๆ ออกมาได้
ได้แต่ปล่อยให้จูริค่อยๆ กางมือออกโอบร่างของเขาไว้ ท่ามกลางแสงสว่างที่เปล่งประกายเจิดจ้าอยู่รอบกายนั้น
--------------------------------------------------------------
ฉากตัดอีกครั้ง ไปทางศาลเจ้าตระกูลโอโทริซึ่งหนีไม่พ้นจากการโจมตีของฝูงคังชุเช่นกัน คนของศาลเจ้าค่อยๆ ถูกคังชุฆ่าตายและถูกกัดกินเป็นอาหารไปทีละคน บ้างก็ถูกแพร่เชื้อเข้าใส่จนกลายเป็นคังชุไล่กัดกินทำร้ายคนอื่นต่อไป เสียงกรีดร้อง เลือด และซากศพเละเทะไม่สมประกอบกระจัดกระจายไปทั่ว เปลี่ยนผืนดินอันศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าให้กลายเป็นทุ่งสังหารแห่งความตาย
แต่ภาพที่สยองขวัญที่สุดเห็นจะไม่พ้นภาพการถูกกลืนกินของ "มานะ" ภรรยาของเคย์ชิน และเป็นแม่ของเรนะ (มิทามะ) หญิงสาวถูกคังชุรูปร่างคล้ายเปลือกไข่ขนาดยักษ์ตนหนึ่งกลืนกินเข้าไปเกือบทั้งร่างต่อหน้าต่อตาหญิงชราผู้เป็นแม่ใหญ่ของตระกูลโอโทริ เหลือเพียงศีรษะและแขนข้างหนึ่งซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลงไปเป็นคังชุโผล่ออกมาให้เห็นเท่านั้น
หญิงชรากรีดร้องเต็มเสียงด้วยความหวาดกลัว พยายามลนลานถอยหนีพลาง ส่งเสียงร้องเรียกให้คนช่วยพลาง แต่ด้วยสังขารอันเสื่อมสภาพไปกับกาลเวลา ทำให้หญิงชราไม่อาจวิ่งหนีไปโดยเร็วได้ ได้แต่คลานเตาะแตะเปะปะไปกับพื้น ปล่อยให้เจ้าคังชุรูปไข่ที่มีหัวของลูกสะใภ้ห้อยอยู่พ้นปากค่อยๆ ย่างสามขุมเข้ามาหาอย่างเชื่องช้าราวกับเสียงฝีเท้าของมรณเทพผู้ทวงวิญญาณ
ตอนนั้นเองที่เท้าของใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้าหญิงชรา หญิงชราเงยหน้าขึ้นมอง พบกับร่างเล็กบอบบางของเรนะหรือมิทามะยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
เมื่อเห็นว่าผู้ปรากฏตัวคือหลานของตนเองใจก็มาพ้อม หญิงชราร้องเรียกเต็มเสียงให้หลานสาวเข้ามาช่วย
หากแทนที่จะรีบกุลีกุจอเข้าไปช่วยประคองย่าแล้วพาหนีออกไป ผู้เป็นหลานสาวกลับยืนเฉยอยู่อย่างนั้น จ้องมองดวงตาเหลือกลานด้วยความกลัวของผู้เป็นย่าด้วยกิริยาเฉยชาไม่รู้สึกรู้สา แต่ดวงตาภายใต้หน้ากากจิ้งจอกกลับคล้ายจะลุกวาวเป็นประกายด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ปะทุขึ้นมา
แล้วทันใดนั้น เด็กหญิงก็หันหลังกลับแล้ววิ่งจากไป ทิ้งให้ผู้เป็นย่ากรีดเสียงร้องอย่างตกใจกลัวและปวดร้าวที่ถูกหลานสาวแท้ๆ ทอดทิ้งอยู่เบื้องหลัง
ก่อนที่เสียงกรีดร้องแหบแห้งนั้นจะถูกแทนที่ด้วยเสียงกล้ามเนื้อฉีกขาดและเสียงกระดูกถูกป่นจนแหลกละเอียดในที่สุด....
------------------------------------------------------
เด็กหญิงจำไม่ได้เลยว่าตัวเองออกวิ่งมานานเท่าไหร่หลังหนีจากย่าที่กำลังต้องการความช่วยเหลือมา รู้แต่เพียงว่าเมื่อสังเกตสภาพรอบตัวอีกที รอบด้านก็กลายเป็นป่าทึบไร้ผู้คนไปเสียแล้ว
เธอค่อยๆ เอื้อมมือไปปลดหน้ากากจิ้งจอกของตนออก เผยให้เห็นใบหน้าแท้จริง...ใบหน้าที่เธอแทบจำรายละเอียดไม่ได้ว่ามีลักษณะเช่นไร...
และรอยยิ้มบ้าคลั่งบนใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากนั้น
แล้วทันใดนั้น เด็กหญิงก็เงยหน้าขึ้นแผดเสียงหัวเราะแหลมเล็ก เยือกเย็นวังเวงชนิดที่หากผู้ใดมาได้ยินเข้าคงรู้สึกหนาวยะเยือกไปทุกรูขุมขน
"ฮะๆๆๆ!! ตาย ตาย ตายกันหมดซะที!! ฮะๆๆๆ!! สมน้ำหน้าแล้ว!!! ทั้งแม่ทั้งย่าสมควรถูกลงโทษแล้ว อยากผูกมัดตัวเองกับไอ้รังไหมบ้านั่น ถึงได้เป็นแบบนี้ยังไงล่ะ!!"
เสียงคำรามของเด็กหญิงนั้นดุร้ายยิ่งนัก ฟังอย่างไรก็ไม่เหมือนเสียงของมนุษย์เลยแม้แต่น้อย แต่ดูคล้ายเสียงคำรามของนางปีศาจกระหายเลือดเสียมากกว่า ดวงตาบิดเบี้ยวคล้ายมองผ่านม่านน้ำนั้นเต็มไปด้วยแววเคียดแค้นชิงชัง ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความอ่อนโยนนุ่มนวลเช่นที่เคยแสดงออกให้เห็นในครั้งก่อนเลย น่ากลัวเสียจนแทบไม่อยากเชื่อว่าเด็กหญิงตัวเล็กๆ เช่นนี้จะทำสีหน้าน่ากลัวราวกับผีร้ายจากขุมนรกเช่นนี้ออกมาได้
"ชั้นไม่ใช่มิทามะ!!" เด็กหญิงแผดเสียงอีกครั้ง ขณะที่น้ำตาซึ่งไม่อาจรู้ว่าเป็นน้ำตาแห่งความยินดีหรือปวดร้าวหลั่งไหลออกมาจนนองใบหน้า "ไม่ใช่ 'วิญญาณ' ของรังไหม ชั้นคือเรนะต่างหากล่ะ!!!"
มีเพียงความมืดของราตรีกาลและผืนป่าอันกว้างใหญ่ของเกาะเท่านั้น ที่ได้รับรู้ถึงคำประกาศชัยชนะอันสิ้นหวังของเด็กหญิงผู้ถูกช่วงชิงตัวตนในฐานะมนุษย์...ชัยชนะต่อ "คำสาปอันชั่วร้าย" ซึ่งผูกมัดตัวเธอเข้ากับเกาะนี้
โดยที่ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย ว่าภายใต้ความมืดของผืนป่ายามราตรีกาลนั้น มีร่างของ 'คนผู้หนึ่ง' ยืนนิ่งอยู่
'คนผู้หนึ่ง' ซึ่งยืนอยู่ ณ ที่นั้นราวกับไม่มีตัวตน และมองเห็นทุกกิริยาของเด็กหญิงตลอดเวลาที่ระเบิดความรู้สึกที่อัดอั้นไว้ทั้งมวลออกมา
'คนผู้หนึ่ง' ซึ่งรู้จักตัวตนของเด็กหญิงเป็นอย่างดีราวกับเป็นตัวเด็กหญิงเอง
'คนผู้หนึ่ง' ซึ่งมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับเด็กหญิงตรงหน้าราวกับเป็นคนเดียวกัน
----------------------------------------------------------------
อาริสึงาว่า เรน่า ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ข้างกายเด็กหญิงผู้มีนามว่า "เรนะ" อยู่อย่างนั้น ใบหน้าซีดเผือดจนไม่เหลือสีเลือด จ้องไปยังใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มบ้าคลั่งของเด็กหญิงอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
...เด็กหญิงผู้ครั้งหนึ่งคือตัวเธอในอดีต ก่อนจะถูกอาการ 'ลอสต์รีบาวด์' ทำลายความทรงจำไปจนหมดสิ้น...
แม้เด็กสาวจะพอรู้จากความทรงจำที่ค่อยๆ เริ่มกลับมา ว่าตัวเธอคือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกาะฮัตสึมิแห่งนี้ต้องพินาศย่อยยับ แต่การได้มาเห็นภาพตัวเองขณะกลายเป็นปีศาจร้าย มุ่งหวังให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยทำร้ายตนเองต้องพินาศสิ้นไม่เว้นแม้แต่พ่อแม่ญาติพี่น้องร่วมสายโลหิตเช่นนี้ ก็ทำเอาเด็กสาวถึงกับยืนเซ่อ ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างฉายแววหวาดกลัวอย่างชัดเจน ได้แต่ร่ำร้องถามตัวเองอยู่ในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้จะรู้อยู่เต็มหัวอกว่าไม่ว่าจะถามสักกี่ครั้ง คำตอบที่ได้ก็จะยังคงเหมือนเดิม
...นี่คือตัวเราอย่างนั้นหรือ...
"ไม่จริง..."
...ที่กำลังกรีดเสียงหัวเราะราวกับคนเสียสติอยู่ตรงหน้านี่...คือตัวเราในตอนนั้นจริงๆ หรือ...
"ไม่จริง..."
...ที่กำลังมีความสุขบนเลือดเนื้อและความพินาศของผู้อื่นอยู่ ณ ตรงนี้...คือตัวเราในตอนนั้นจริงๆ หรือ...
"ไม่จริงงงงงงงงงง!!!"
ความจริงอันสิ้นหวังเบื้องหน้าสุดที่เรน่าจะทานทนได้อีกต่อไป ต้องทรุดลงเอามือกุมศีรษะแน่น รู้สึกราวกับมีเข็มแหลมนับพันเล่มทิ่มแทงเข้ามาในศีรษะจนไม่อาจห้ามความเจ็บปวดไหว ส่งเสียงครางโหยหวนแหบยาวราวกับสัตว์ป่าที่ถูกทรมานจนแสนสาหัส
ไม่เหลือความรู้สึกอยากรับรู้อะไรอีกต่อไป