Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
บทวิเคราะห์เรื่อง On Air : รักนี้ไม่ต้องมีบท โดยผมเอง เจ้าเก่าจากเรื่อง New Heart ^^ ติดต่อทีมงาน

จริงๆ ดูเรื่องนี้จบไปตั้งแต่เมื่อสองอาทิตย์ก่อน แต่ไม่รู้ทำไม อยู่ๆ ก็เกิดอยากจะเขียนอะไรขึ้นมา อารมณ์คล้ายๆ กับตอนดู New Heart จบ เลยเขียนออกมาจนเสร็จสมบูรณ์ ลองอ่านกันดูนะครับ
*************************************************************

On Air : รักฉากนี้ไม่ต้องมี “บท”

     เบื้องหน้าของวงการบันเทิง เต็มไปด้วยแสงไฟอันเจิดจ้า ดารานักแสดงต่างเปล่งประกายเฉิดฉาย ใครจะรู้บ้างว่าเบื้องหน้าที่สวยงามเลอเลิศเช่นนี้ แต่แท้จริงแล้วเบื้องหลังกลับไม่ได้สวยงามดังเช่นเบื้องหน้า หากแต่เต็มไปด้วยความสกปรกและความวุ่นวาย ทั้งการแก่งแย่งชิงดีกันระหว่างดารา การแก่งแย่งผลประโยชน์ของบริษัทเอเจนซี่ของดารา ความยากลำบากในการทำงาน ฯลฯ หากคุณคิดว่าอยากจะดูละครที่จะสะท้อนตัวอย่างเช่นว่านี้เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของเบื้องหลังของวงการบันเทิง ผมขอแนะนำละครเรื่องนี้ “On Air”

    On Air เป็นละครเกาหลีที่ฉายทางช่อง SBS เมื่อปี 2008 ตัวผมเองก็ไม่ค่อยที่จะได้ดูละครที่สะท้อนเรื่องราวเบื้องหลังวงการบันเทิงเท่าไรนัก แต่เมื่อได้เห็นละครเรื่องนี้ในเว็บครั้งแรก ก็เกิดรู้สึกอยากจะดูขึ้นมาทันที ด้วยเพราะตัวผมเองก็เป็นชอบเรื่องลับๆ เบื้องหลังต่างๆ ในวงการบันเทิงอยู่แล้ว เพราะดูแล้วมีความสุขดี (ก็เหมือนกับได้อ่านซ้อเจ็ดนั่นล่ะ ฮ่า!) เมื่อถึงเวลาอันสมควรที่อยากจะดูพอดี จึงไม่พลาดที่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมา และก็ไม่ผิดหวังจริงๆ ทั้งการแสดง พล็อตเรื่อง รวมทั้งเพลงประกอบละครเรื่องนี้ และผมก็ไม่พลาดอีกเช่นกันที่จะนำเสนอประเด็นต่างๆ ที่ผมมองเห็นจากละครเรื่องนี้เอามาแลกเปลี่ยนกันครับ


เรื่องย่อ

    เรื่องราวของคนบันเทิง 4 คน ที่ต้องโคจรมาทำงานร่วมกัน “โอซึงอา” นางเอกซูเปอร์สตาร์เบอร์ 1 ของเกาหลี มีผลงานถ่ายแบบ และถ่ายโฆษณาจำนวนมาก ได้รับการขนานนามว่า “แม่มดเจ้าเสน่ห์” แต่กระนั้น ในภาพลักษณ์นางเอกสวยของเธอ กลับมีคนจำนวนไม่น้อยที่สงสัยในฝีมือการแสดงของเธอที่ยังอ่อนด้อย และคิดว่าเธอคงเหมาะจะเป็น “นางแบบ” มากกว่า “นักแสดง” เธอเป็นคนที่เจ้าอารมณ์ เรื่องมาก และที่สำคัญเป็น “ขาวีน” ตามแบบฉบับนางเอกแถวหน้า แต่ก็ยังมีอีกมุมของความต้องการเป็นคนที่ใช้ชีวิตธรรมดาๆ “จางกิจุน” ผู้จัดการส่วนตัวของโอซึงอา บริษัทเอเจนซี่ของเขาเคยล้มละลายไปครั้งหนึ่ง แต่เขาก็สามารถกลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง ได้เป็นผู้จัดการส่วนตัวของโอซึงอาหลังจากที่เธอหมดสัญญากับบริษัท SW Entertainment เขาเป็นคนที่ดูแลปกป้องโอซึงอาในทุกเรื่องด้วยใจจริง ทั้งในฐานะ “ผู้จัดการส่วนตัว” และในฐานะ “ผู้ชาย” โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัวว่าเขาหลงรักเธอเข้าให้แล้ว “ซอยังอึน” นักเขียนบทสาวละครมากฝีมือ เรตติ้งละครทุกเรื่องที่เธอเขียนบทให้จะพุ่งไปอยู่ที่อันดับ 1 ในเกาหลีเสมอ เธอเคยแต่งงานครั้งหนึ่ง แต่หย่าแล้ว เพราะเธอพบว่าสามีนอกใจ เธอมีลูกชายคนหนึ่งที่เป็นกำลังใจให้เธอเขียนบทละครออกมาได้ดีเสมอ แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยมีเวลาให้ก็ตาม ด้วยลักษณะการทำงานของเธอที่วันๆ หนึ่งอยู่แต่ในบ้านอย่างเดียว ไม่ได้ออกไปสัมผัสโลกภายนอกมากนัก เธอจึงมีบุคลิกลักษณะแบบเด็กๆ อยู่มาก ทั้งการเอาแต่ใจตัวเอง ไม่ยอมใคร ถ้ามีใครมาด่าว่าเธอก็จะโต้เถียงกลับไปอย่างเผ็ดร้อนจนอีกฝ่ายต้องยอมถอย และ “ลีคยุงมิน” ผู้กำกับหน้าใหม่ไฟแรง มีประสบการณ์ในการกำกับหนังสั้นมาบ้าง ขณะที่เขาจะได้ขึ้นชั้นเป็นผู้กำกับในละครเรื่องใหม่ของสถานี แต่ก็ต้องพบกับปัญหามากมาย ทั้งปัญหาในสถานีเอง และปัญหาการเงินในครอบครัว เป็นคนดื้อรั้น มุ่งมั่นหัวชนฝา ไม่ว่าจะมีปัญหาอย่างไรก็ตาม ยึดมั่นศักดิ์ศรีแม้ว่าจะไม่มีกินก็ตาม

    ทั้ง 4 คนต้องมาร่วมงานกันในละครเรื่อง Ticket to the Moon ของสถานี SBC ร่วมด้วยทีมงานฝ่ายผลิตละครและทีมงานฝ่ายจัดการของสถานีโทรทัศน์ ซึ่งเป็นที่มาของเรื่องราวมากมายทั้งในการถ่ายละคร การหาเงินทุน การแก่งแย่งชิงดีในหมู่ดารา ความขัดแย้งระหว่างทีมงานเบื้องหลัง นักแสดง บริษัทเอเจนซี่ สถานีโทรทัศน์ การแย่งชิงผลประโยชน์ การใส่ร้ายป้ายสี ฯลฯ ผมจึงคิดว่าละครเรื่องนี้เป็นเรื่อง “ดราม่า” ที่ยิ่งกว่า “ดราม่า” เสียอีก..


“ล้วงลับ” วงการบันเทิง

   วงการบันเทิงเป็นวงการที่คนจำนวนไม่น้อยใฝ่ฝันที่จะได้เข้ามาสัมผัสและโลดแล่นในอาชีพนักแสดง ด้วยเพราะเป็นงานที่ทำเงินง่ายทั้งงานแสดง งานถ่ายแบบ และงานโฆษณา และทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว ละครเรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นกระบวนการเข้ามาโลดแล่นในวงการนี้ เริ่มต้นจากบริษัทเอเจนซี่ ที่ซึ่งเด็กสาวมากมายต่างแวะเวียนเข้ามาเพื่อหวังจะเป็นดาราชื่อเสียงโด่งดังในวันหนึ่งข้างหน้า ต่อมาจนถึงวิธีการโปรโมต เมื่อมีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว ก็ถึงการขูดรีดหาประโยชน์จากบริษัทเอเจนซี่ การวิ่งแย่งรับงานต่างๆ ฯลฯ

    ตัวนักแสดง เมื่อกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง มีคนรักมาก ก็ย่อมต้องมีคนเกลียดมาก ทั้งคนทั่วไป และในหมู่นักแสดงด้วยกันเอง ละครเรื่องนี้กล่าวได้ว่าได้นำเสนอภาพวงการบันเทิงแบบ “ครบรส” จริงๆ ตั้งแต่การย่างก้าวเข้ามา จนกลายเป็นผู้มีชื่อเสียง เมื่อมีชื่อเสียงก็เริ่มที่จะมีการ “วีน” และ “เหวี่ยง” ทั้งกับคนทำงานบันเทิง และนักแสดงคนอื่นๆ ด้วย ผมคิดว่าแม้ว่าละครเรื่องนี้จะไม่ได้นำเสนอด้านมืดของวงการบันเทิงเสียทั้งหมด (เพราะถ้าทำหมด ซ้อเจ็ดก็คงตกงาน ฮ่า!) ก็คงเป็นแต่เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของเบื้องหลัง แต่เพราะมันเป็นเป็นเรื่องลับ มันถึงต้องค่อยๆ เปิดแง้มทีละนิดๆ มันถึงจะน่าสนใจและน่าติดตาม เพราะถ้าเปิดออกหมด มันก็จะรู้สึกเฉยๆ ไม่น่าสนใจ จริงมั้ย??

    แม้ว่าละครเรื่องนี้จะแสดงให้เห็นถึงเบื้องหลังของวงการบันเทิงที่มีเรื่องราววุ่นวายมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องผลประโยชน์ แต่ผมกลับคิดว่าการนำเสนอเบื้องหลังวงการบันเทิงคงไม่ใช่ประเด็นสำคัญเพียงประเด็นเดียวในละครเรื่องนี้ เพราะหากดูให้ดีๆ ละครเรื่องนี้ยังได้นำเสนอวิธีการเป็น “นักแสดง” ที่ดีด้วย นักแสดงแตกต่างจาก “ดารา” เพราะดาราคือคนที่มีชื่อเสียงเท่านั้น ส่วนฝีมือทางการแสดงจะเป็นเช่นไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่นักแสดง นอกจากจะเป็นคนมีชื่อเสียงแล้ว ยังต้องเป็นคนที่ต้องอุทิศและทำหน้าที่ “การแสดง” ด้วยจิตวิญญาณและความเป็นมืออาชีพที่แท้จริง ละครเรื่องนี้เริ่มต้นด้วยโจทย์ที่น่าสนใจคือ โอซึงอา แท้จริงแล้วเป็น “นักแสดง” หรือ “นางแบบโฆษณา” กันแน่? ผมคิดว่าผู้สร้างตั้งโจทย์นี้ไว้ในตอนต้น ดำเนินเรื่องต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจบเรื่องในที่สุดเพื่อตอบโจทย์ดังกล่าว ซึ่งถ้าใครได้ดูจนจบแล้ว ก็คงมีคำตอบในใจว่าเธอเป็นอย่างไหนกันแน่ และก็คงได้อีกคำตอบหนึ่งด้วยว่า การจะเป็นนักแสดงที่ดี ต้องทำเช่นไร? คำตอบมันอยู่ในละครเรื่องนี้ครับ


“ละคร” ใน “ละคร”

   เมื่อมันเป็นละคร วิธีที่ดีที่สุดที่จะนำเสนอเบื้องหลังของวงการบันเทิง ก็ต้องผ่านการสร้าง “ละคร” นั่นเอง ส่วนตัวผมคิดว่าถูกต้องแล้ว เพราะละครเป็นผลงานทางการแสดงที่ต้องใช้เวลาในการสร้างนาน บางทีอาจจะนานกว่าภาพยนตร์หลายๆ เรื่องด้วย ด้วยระยะเวลาการสร้างที่นาน ใช้ทีมงานสร้างจำนวนมาก มันจึงเป็นตัวอย่างที่ดีที่จะใช้นำเสนอภาพเบื้องหลังของวงการบันเทิง เพราะจะได้ฉายภาพความขัดแย้งทั้งในหมู่ดารา ทีมงาน รวมถึงผู้บริหารด้วย เรียกได้ว่าครบเครื่องทุกระดับจริงๆ

    ละครในละคร จึงเป็นการนำเสนอที่น่าสนใจสำหรับผม เพราะโดยปกติผมมักจะเห็นแต่ “ภาพยนตร์” ใน “ภาพยนตร์” ซึ่งสำหรับผมแล้ว รสชาติเทียบกันไม่ได้เลย “ละครในละคร” จึงเป็นมากกว่า “ละคร” ในทัศนะของผม Ticket to the Moon จึงไม่ได้เป็นแต่เพียง “ตั๋วไปสู่ดวงจันทร์” สำหรับคนไม่กี่คน แต่มันยังเป็นตั๋วไปสู่ความหวัง ความฝัน ความสำเร็จ ตั๋วที่ไม่ได้ซื้อกันได้ง่ายๆ เหมือนซื้อของทั่วไป แต่เพราะเป็นตั๋วที่ต้องใช้เวลา ผ่านความยากลำบากในหลายๆ เรื่อง จนกลายมาเป็นตั๋วที่อยู่บนหน้าจอโทรทัศน์ ให้ทุกคนสามารถเดินทางไปพร้อมกับนักแสดงและทีมงานเบื้องหลังได้ (ชื่อ Ticket to the Moon จริงๆ ก็มีนัยยะอย่างสำคัญอยู่เหมือนกันนะ!)


“My heart..I need you..I love you.. I can’t say goodbye..”

    “ความรักที่ไม่สามารถพูดออกไปได้” คงเป็นคำนิยามที่ดีที่สุดของความรักที่เกิดขึ้นในหัวใจของโอซึงอา กับ จางกีจุน ผู้จัดการส่วนตัวของเขา ด้วยสถานะความเป็นนางเอกแถวหน้าของโอซึงอา ความเจ้าอารมณ์และหยิ่งของตัวเธอเอง แต่ในเบื้องลึกของหัวใจเธอเอง ก็เหมือนเช่นกับผู้หญิงทั่วไป ที่มีความรู้สึกอ่อนไหว อยากมีใครซักคนที่มาอยู่คอยยืนเคียงข้างเธอในยามที่เธอท้อแท้และสิ้นหวัง และหากมองถึงภูมิหลังของเธอที่เติบโตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ก็แน่นอนว่าเธอเองก็มีความอ้างว้างเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถึงแม้เธอจะเป็นดาราที่มีชื่อเสียง มีแฟนคลับมากเพียงใด มีผู้คนมากมายที่อยู่ล้อมรอบตัวเธอ แต่เธอก็ยังคงอยู่กับความอ้างว้างที่เกาะกุมในหัวใจเธอเสมอมา และก็ยังไม่มีใครที่จะมาแทนที่ความอ้างว้างนั้น และแปรเปลี่ยนให้เป็นความอบอุ่นแทน

     ขณะเดียวกัน จางกีจุนก็เป็นผู้ที่ยืนอยู่เคียงข้างเธอเสมอมา ปกป้องเธอเมื่อเธอถูกโจมตีหรือกล่าวว่าร้ายไปในทางเสียหายตามประสา “นางเอกขาวีน” อย่างสุดความสามารถในฐานะ “นักแสดง” ของเขา ไม่ว่าเรื่องนั้นเธอจะเป็นฝ่ายผิดหรือไม่ก็ตาม เป็นผู้ที่คอยเป็นห่วงเธอตลอดเวลาไม่ว่าเธอจะทำอะไร ลึกๆ แล้วในหัวใจของเขาก็เหมือนเธอ ที่อยากจะดูแลและอยู่เคียงข้างเธอในฐานะ “ผู้หญิง” ของเขาตลอดไปด้วยเช่นกัน

     แต่ว่าความรู้สึกที่เรียกว่า “รัก” ของสองคนนี้ ดูเหมือนจะมีกำแพงบางๆ ที่กั้นขวางพวกเขาอยู่ นั่นคือ “หน้าที่การงาน” ของทั้งสองคนเอง โอซึงอาเป็นนางเอกแถวหน้าระดับซูเปอร์สตาร์เบอร์หนึ่งของเกาหลี ทุกสายตาล้วนแต่จับจ้องมาที่เธอทุกครั้งไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ตาม แน่นอนว่าถ้าเธอคิดจะคบกับใคร ก็ย่อมต้องเป็นข่าวดัง และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ทั่วเกาหลีแน่นอน ดีไม่ดีอาจจะกระทบถึงงานของเธอเองด้วย ขณะที่ด้วยหน้าที่การงานของจางกีจุน ที่เป็นผู้จัดการส่วนตัว ก็ต้องทำหน้าที่ปกป้องนักแสดงของเขาอย่างดีที่สุด เพียงแต่ผู้จัดการอย่างเขาไม่เหมือนกับผู้จัดการนักแสดงคนอื่นที่คิดคำนวณแต่เฉพาะ “ตัวเลข” แต่เขาเป็นผู้จัดการที่ให้ “ใจ” กับนักแสดงของเขาเสมอ แต่กลับกลายเป็นว่า ยิ่งเข้าใกล้ ยิ่ง “ปกป้อง” เธอมากเท่าไร เขากลับรู้สึก “รัก” เธอมากขึ้นๆ เท่านั้น

   แต่ความรักของทั้งสองคนไม่อาจแสดงออกมาได้อย่างเช่นคู่รักอื่น สังเกตได้ว่าทั้งเรื่องไม่มีฉากไหนเลยที่ทั้งคู่จะพูดคำว่า “รัก” ออกมา แต่ทั้งคู่เลือกที่จะแสดง “ความรัก” ผ่านคำพูดอื่น ไม่ว่าจะเป็นการพูดด่าว่า พูดประชดประชัน หรือผ่านภาษากาย ไม่ว่าจะเป็นการร้องไห้ การปลอบโยน การกอด แสดงให้เห็นว่าทั้งคู่ต่างก็รู้ความรู้สึกของตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ ก็คงเหมือนกับท่อนหนึ่งของเพลงประกอบละครเรื่องนี้ที่ว่า “I need you , I love you , I can’t say goodbye”..


รักของคนเบื้องหลัง : เมื่อ “เด็ก” สองคนมา “รัก” กัน

    “ความรักแบบเด็กๆ” เป็นคำนิยามที่ผมมอบให้กับความรักระหว่างผู้กำกับลีคยุงมิน และนักเขียนซอยังอึน ทั้งสองคนต่างเป็นคนที่ “แรง” ด้วยกันทั้งคู่ คนหนึ่งดื้อดึง ยึดถือความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ มุ่งมั่นและทุ่มเทอย่างสุดชีวิตให้กับงานของตัวเอง อีกคนหนึ่งติดเอาแต่ใจตัวเอง คิดว่าคนอื่นต้องยอมเธอเสมอด้วยความที่เธอเป็นนักเขียนบทชื่อดัง ได้ค่าตัวตอนละ 20 ล้านวอน การโคจรมาพบกันของนิสัย “เด็กๆ” ทั้งสองคนจึงน่าสนใจ ว่าความรักของทั้งคู่จะดำเนินไปอย่างไร

    ทำไมจึงเรียกว่าเป็นความรักแบบเด็กๆ? มันเริ่มต้นตั้งแต่การที่ทั้งคู่มาเจอหน้ากันครั้งแรกโดยฝ่ายชายเริ่มต้นอ้อนวอนขอให้ฝ่ายหญิงไปร่วมเขียนบทละครเรื่องนี้ ทั้งคู่ต่างเริ่มต้นที่อยากจะ “เอาชนะ” อีกฝ่ายหนึ่งให้ได้ ไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม ผู้หญิงก็ “ชั้นไม่แคร์ ชั้นไม่สน ชั้นก็เป็นของชั้นอย่างนี้ อย่ามาง้อชั้นซะให้ยาก” ผู้ชายก็ “ได้ จะเอางั้นก็ได้ เชิญทำอะไรตามใจเลย แต่ผมกำลังจะตกงานก็เพราะคุณ” มันเป็นนิสัยแบบ “เด็กๆ” ที่น่ารักของทั้งคู่ ก็เหมือนกับเด็กๆ เวลาเล่นอะไรด้วยกัน ต่างคนต่างก็อยากจะเป็นผู้ชนะ เพราะจะได้เอาไปคุยโอ้อวดทับถม ภายนอกผู้กำกับลีคยุงมินดูเหมือนเป็นผู้ใหญ่ แต่ในความเห็นของผมแล้ว  ในความเป็นผู้ใหญ่ เขาได้ฉาบซ่อนลักษณะ “ความเป็นเด็ก” ไม่น้อยไปกว่านักเขียนซอยังอึน

     เรื่อยมาจนถึงตอนที่ทั้งคู่ได้มาร่วมงานวางแผนละครเรื่อง Ticket to the Moon ในทุกฉาก ทุกขั้นตอน ทุกรายละเอียด ต่างคนต่างก็โต้เถียงกันอย่างไม่ลดละ (ก็อย่างว่า เหมือนเด็กสองคนมาเจอกัน) แต่ก็เข้าใจได้ว่าที่ทั้งคู่โต้เถียงกันนั้น ก็เป็นเพราะอยากให้งานออกมาดีที่สุด ต่างคนจึงต่างยึดถือแนวทางของตัวเองที่คิดว่าดีที่สุด ในละครเรื่องนี้จะเห็นลักษณะนี้จนแม้กระทั่งตอนใกล้จะจบแล้ว แต่กระนั้น การทะเลาะ โต้เถียง อยากเอาชนะกันเหมือนเด็กๆ ก็มีข้อดีอย่างหนึ่ง คือ ทำให้ทั้งคู่ “ผูกพัน” และ “คิดถึง” กันมากขึ้น จนในที่สุดก็กลายเป็น “ความรัก” โดยไม่รู้ตัว (ผมจึงไม่แปลกใจว่าทำไมคู่รักหลายคู่ที่ทะเลาะกันบ่อยๆ แต่ก็ยังอยู่ด้วยกันได้ คงเป็นเพราะเหตุนี้ล่ะมั้ง! อิอิ)

    แต่ความเป็นเด็ก ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเด็กตลอดไป จนกลายเป็น “เด็กไม่รู้จักโต” ละครเรื่องนี้แสดงให้เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่าทั้งสองคนนี้มีพัฒนาการที่โอนอ่อนเข้าหากันมาก นักเขียนซอยังอึนจากที่ไม่เคยแคร์ใคร เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่สุด ผู้กำกับลีคยุงมิน จากคนหัวดื้อรั้น กลับกลายเป็นว่าทั้งสองคนต่างก็ “ยอมแพ้” ต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องงาน หรือเรื่องของ “หัวใจ” เช่นนี้จึงเห็นได้ว่าเด็กก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรู้จัก “เรียนรู้” ซึ่งกันและกัน “ยอมรับ” และ “เข้าใจ” เด็กไม่มีวันที่จะเป็นเด็กไปได้ตลอดกาล เมื่อถึงวันหนึ่ง พวกเขาก็ต้องกลายเป็นผู้ใหญ่ ในฉากจบของละครเรื่องนี้คงเป็นคำตอบได้จริงๆ ครับ ว่าเด็กสองคนนี้ ได้กลายเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ

    นอกจากเรื่องนิสัยแบบเด็กๆ แล้ว ผมคิดว่าความรักของสองคนนี้ ยังทำให้ดูเหมือนว่าอายุของทั้งคู่ “เด็ก” ลงมาก คือ ทั้งสองคนนี้อายุ 30 กว่าแล้ว (แม้นิสัยจะสวนทางกับอายุ) แต่กลับไม่มีลักษณะบ่งชี้ของความแก่แต่อย่างใด อย่างนักเขียนบทซอยังอึน อายุ 36 แล้ว แถมมีลูกชายอีกหนึ่งคน รักครั้งใหม่ของเธอทำให้เธอรู้สึกได้กลับไปอายุ 20 อีกครั้ง มันทำให้หัวใจของเธอสดชื่น จนสามารถเขียนบทละครเรื่อง Ticket to the Moon ในแบบฉบับที่ “เด็ก” ลง โดยใช้ความรู้สึกและ “หัวใจ” ของเธอเขียนมันออกมา ในขณะเดียวกัน ผู้กำกับลีคยุงมิน จากที่เคยเป็นคนเครียดกับงานตลอดเวลา รวมทั้งเครียดกับปัญหาครอบครัวด้วย ก็กลายเป็นคนที่รอยยิ้มมุมปาก (กระชากใจสาวหลายคน!) ที่น่ารัก ความรักทำให้คนเราเด็กลงจริงๆ


ความแตกต่างระหว่าง “เรา”

     ละครเรื่องนี้ได้ชี้จุดสำคัญในความรักของทั้งสองคู่ คือ ความแตกต่างระหว่าง “ชาย” กับ “หญิง” โดยที่ผู้หญิงมีสถานะที่สูงกว่าผู้ชายมาก โอซึงอาเป็นนางเอกซูเปอร์สตาร์ระดับแนวหน้า ขณะที่จางกีจุนเป็นผู้จัดการส่วนตัวที่ทำหน้าที่เสมือนหนึ่งคนรับใช้เธอเสียงด้วยซ้ำ สถานะเทียบไม่ได้เลยกับเธอ ส่วนนักเขียนบทซอยังอึนเป็นนักเขียนบทละครค่าตัวแพง เขียนบทละครทุกเรื่องแล้วเรตติ้งสูงสุด ขณะที่ผู้กำกับลีคยุงมินเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ ที่เพิ่งเลื่อนขั้นจากการเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ มีประสบการณ์เพียงเล็กน้อยกับการทำหนังสั้น มองดูโดยผิวเผินแล้วความแตกต่างนี้ น่าจะเป็นกำแพงกีดกันความรักของทั้งสองคู่นี้ใช่หรือไม่?

    แต่เปล่าเลย ละครเรื่องนี้นำเสนอไปไกลกว่ากำแพงนั้น แถมไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนั้นเสียด้วยซ้ำ หากแต่ละครเรื่องนี้มุ่งเน้นไปที่เรื่อง “ความเป็นมืออาชีพ” ของทั้งสี่คน โดยฉายภาพการทำงานของทั้งสี่คน สี่บทบาทที่แตกต่างกัน จะสังเกตได้เลยว่า ไม่มีฉากไหนเลยที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเกิดอาการน้อยเนื้อต่ำใจ “ไม่กล้าเด็ดดอกฟ้า” หากแต่มุ่งที่จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ในทัศนะของผม ละครเรื่องนี้จึงนำเสนอความรักในแบบที่ทั้งชายหญิง “ไม่เท่ากัน” ในอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจมาก แตกต่างไปจากละครเรื่องอื่นๆ ที่มีอยู่ทั่วไป (ทั้งไทยและเกาหลี)

     ผมจึงสรุปว่าความรักแบบนี้ เป็นความรัก “แบบฉบับมืออาชีพ” อย่างแท้จริง เป็นความรักที่ก้าวข้าม “สถานภาพทางสังคม” ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ใน “แนวดิ่ง” หากแต่เป็นการนำเสนอความรักที่มีฐานอยู่บน “ความสามารถ” ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ใน “แนวราบ” (น่าสนใจจริงๆ ครับ อย่าหาว่าผมเครียดเลย ก็ผมเรียนรัฐศาสตร์มาอะ ก็คงต้องวิเคราะห์อะไรที่เป็นแบบนี้แหละ 55+)


ฝากทิ้งท้ายไว้

    ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนมีสองด้านเสมอ มีดำก็ต้องมีขาว มีมืดก็ต้องมีสว่าง มีหัวก็ต้องมีก้อย วงการบันเทิงก็ไม่ต่างไปจากสรรพสิ่งทั้งหลายที่เป็นไปในโลกมนุษย์นี้ ที่ก็มีทั้งด้านสว่างและด้านมืด ละครเรื่องนี้คงไม่ได้มุ่งที่จะนำเสนอแต่ด้านมืดแต่เพียงอย่างเดียว หากลองมองลงไปดีๆ แล้วก็จะพบว่ามีด้านสว่างอยู่เช่นกัน โลกไม่ได้เป็นแบบเดียวอย่างที่เราคิดเสมอไป แต่มันยังมีอีกด้านที่รอให้เราได้เรียนรู้มันอยู่ ละครเรื่องนี้คงไม่ได้นำเสนอโลกอีกด้านหนึ่งจนหมด เพียงแต่ฉายภาพบางพื้นที่เท่านั้น ส่วนถ้าใครอยากจะรู้มากกว่านี้ ผมก็คงไม่มีคำแนะนำใดจะดีไปกว่า “ต้องลองเข้าไปสัมผัสเองครับ” (แล้วอย่าลืมมาบอกผมด้วยละกัน ผมจะได้เอามาเขียนทำมาหากินอย่างนี้ไง ฮ่า!)

    ละครเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ดูแล้วก็รับรองครับว่าไม่ผิดหวัง ดราม่าทุกตอนจริงๆ โลกอีกด้านหนึ่งของวงการบันเทิงรอให้คุณค้นพบอยู่ในละครเรื่องนี้ครับ “On Air”


ป.ล. ผมดูละครเรื่องนี้ไป ยิ่งเห็น Park Yong-Ha ที่แสดงเป็นผู้กำกับ ลีคยุงมินแล้ว อดเสียใจและเสียดายในความสามารถทางการแสดงและการร้องเพลงของเขา เขาไม่น่ารีบจากโลกนี้ไปด้วยวัยเพียง 32 ปีด้วยการฆ่าตัวตาย ขอแสดงความเสียใจมา ณ ที่นี้อีกครั้งหนึ่ง และเรื่อง On Air จะเป็นผลงานที่ผมจะจดจำไว้ตลอดไปครับ

 
 

จากคุณ : immeuble
เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 54 08:38:07




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com