 |
ที่คุณเข้าใจถูกแล้วครับ หนังจงใจทำให้เหตุำการณ์เล่นกับเวลา โดยซ้อนกับเหตุการณ์ที่คล้ายกันในตอนต้นที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้ัน
เคยเขียนไว้ในบล็อกนะครับขอนำมาลงเผื่อจะมีประโยชน์บ้าง
Time ห้วงเวลาในวังวน
บันทึกภาพกระบวนการผ่าตัดศัลยกรรมความงามที่เต็มไปด้วยเลือด และการใส่สิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกายเป็นสิ่งแรกที่ปรากฏ และกลายเป็นประเด็นสำคัญที่อยู่ใน Time งานกำกับเรื่องที่ 13 ของ คิม คีดุค ผู้กำกับเกาหลีใต้หัวขบถที่เวทีนานาชาติให้การยอมรับ แต่คนในประเทศส่วนใหญ่เกลียดหนังของเขา โดยเฉพาะกลุ่มสิทธิสตรีที่มองชายคนนี้เป็นพวกซาดิสม์ที่ชอบให้ภาพผู้หญิง ถูกกระทำบนแผ่นฟิล์ม
หลังการแปลงโฉมหน้า หญิงสาวคนหนึ่งปิดหน้าปิดตาอย่างมิดชิดเดินออกจากคลินิกพร้อมถือรูปในอดีต ของตนอย่างรีบเร่ง บังเอิญที่ เซฮี(ปาร์ค จียอน) เดินไปชนจนทำกรอบรูปของเธอแตกกระจาย ก่อนเซฮีจะกุลีกุจอขออาสาไปหากรอบรูปใหม่ให้อย่างเร่งด่วน เพียงชั่วครูหลังจากหันหลังไปทำธุระที่ว่า หญิงสาวผู้นั้นก็เดินจากไปอย่างไม่ไยดี...เชื่อแน่ว่าแม้ไม่มีใครนำมันไปจาก ตัว หญิงสาวก็คงจะกำจัดมันด้วยมือของตนเองอยู่ดี เพราะเธอไม่คิดจะจดจำโฉมหน้าในอดีตอีกต่อไป
เซฮี นัดพบกับ จีวู(ฮา จองวู) แฟนหนุ่มที่คบหากันมา 2 ปีที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เธอสังเกตว่าพฤติกรรมของเขาเปลี่ยนไป เมื่อชายหนุ่มเริ่มหันไปมองหญิงสาวคนอื่นที่หน้าตาสะสวยกว่า ความสัมพันธ์เป็นไปอย่างน่าเหนื่อยหน่ายไม่เว้นแม้แต่ยามร่วมหลับนอน จนเซฮีถึงกับบอกให้จีวูลองนึกถึงหน้าหญิงสาวคนอื่นขณะประกอบกิจจนเสร็จสม หากแต่ตัวเธอเองกลับเจ็บปวดมากขึ้น กับความรู้สึกหวาดระแวง ฉุนเฉียว และรับสภาพใบหน้าอันน่าเบื่อของเธอไม่ได้
ในที่สุด เซฮี ตัดสินใจหายไปจากชีวิต จีวู โดยไม่บอกกล่าว เธอเลือกไปทำศัลยกรรมเปลี่ยนโฉมหน้า แม้ศัลยแพทย์(คิม ซองมิน) จะเตือนว่าเราจะไม่สามารถกลับมาใช้ใบหน้าเดิมได้อีกก็ตาม และกลับมาอีกครั้งเป็น แซฮี(ซอง ยอนอาห์) หญิงสาวที่ชายหนุ่มไม่รู้จักแต่กลับให้ความสนิทสนมอย่างรวดเร็ว จนถึงขั้นร่วมหลับนอนกัน...หากจนแล้วจนรอดความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ตกอยู่ใน สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในบั้นปลาย
Time เป็นหนังเรื่องแรกของ คิม คีดุค ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสังคมของคนชายขอบ (อาทิ โสเภณี ใน Birdcage Inn, แมงดา ใน Bad Guy, อาชญากร ใน The Isle, คนเร่ร่อน ใน 3-Iron) หากแต่เน้นไปที่ชีวิตของชนชั้นกลาง พฤติกรรมของตัวละครไม่ได้ข้องแวะกับอาชญากรรม พวกเขาพูดมากขึ้น อาจมีความแปลกแยก รุนแรง และเกรี้ยวกราดแต่ก็น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด เป็นสาเหตุให้หนังขาดพลังทั้งงานภาพ และการดำเนินเรื่องแบบทำน้อยได้มากอันเป็นเอกลักษณ์จนเชื่อได้ว่าคนที่ ติดตามงานของผู้กำกับเกาหลีรายนี้อาจผิดหวังได้ง่ายๆ และพาลให้เกิดความรู้สึกว่าเขากำลังก้าวเดินบนวิถีทางที่เขาไม่ถนัด ด้วยการประนีประนอมกับตลาดมากขึ้น
มีหลายฉากหลุดโทนเป็นแฟนตาซี ซึ่งหากไปปรากฏในผลงานเรื่องก่อนๆ ของเขา จะมีความเหมาะสมกลมกลืน แต่เมื่อมันปรากฏอยู่ในฉากหลังเป็นเมืองที่ผู้คนใช้ชีวิตอย่างปรกติ จึงกลายเป็นภาพที่ดูประดักประเดิกอย่างช่วยไม่ได้...อย่างไรก็ตามเอกลักษณ์ หลายอย่างของเขายังคงมีอยู่เช่นเคย ทั้งฉากที่ตัวละครนำเอาผ้าปิดหน้าตาคล้ายเรื่อง Spring, Summer, Fall, Winter, and…Spring ซึ่งสื่อถึงความมืดบอดของตัวละคร, ฉากจากเรื่อง 3-Iron ของคิม คีดุค ซึ่งอยู่ในโน้ตบุ๊คของจีวู ซึ่งเป็นภาพที่ตัวเอกในเรื่องปรารถนาจะหาทางออกให้ชีวิต รวมไปถึงงานศิลปะที่ถูกแสดงในอุทยานประติมากรรม, งานถ่ายภาพ และกำกับศิลป์ที่สวยงาม ที่สำคัญนี่อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของผู้กำกับคนนี้ไปสู่ก้าวใหม่ ที่น่าสนใจ ในการนำเสนอชีวิตของคนกลุ่มใหญ่ของสังคมปัจจุบัน
ถ้าพอจะมีผลงานเรื่องไหนพอจะมีประเด็นใกล้เคียงกันมากที่สุด คงไม่พ้น Real Fiction(2000) หนังซึ่ง คีดุค พยายามเล่าเกือบเป็นหนังทดลอง เกี่ยวกับจิตรกรท่าทางอ่อนแอในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง(เสมือนตัวแทนของเขาเอง ที่เคยมีอาชีพนี้มาก่อน) ถูกสะกดจิตจนเปิดเผยความปรารถนาเบื้องลึกในจิตใจ ก่อนจะเดินออกไปก่นด่า และฆ่าคนในสังคมมากมาย รวมถึงเผยด้านที่เน่าเฟะของเขาเหล่านั้น ก่อนจะจบเรื่องราวให้ชวนฉงนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นความจริง หรือเรื่องแต่งกันแน่ ? – Time จึงเป็นการวิพากษ์ชนชั้นกลางอีกครั้งที่ลดความเกรี้ยวกราด แต่บาดลึกกว่าเดิม
จุดจบของตัวละคร-คนนอก ในผลงานหลายเรื่องของผู้กำกับคนนี้ มักยินยอมพร้อมใจพบกับการสูญเสียบางสิ่ง ไปจนถึงความตาย เพื่อแลกได้มาซึ่งเป้าหมายในชีวิต ซึ่งเป็นไปได้ทั้งการบรรลุสัจธรรม, ความรัก, ไปจนเพียงความสุขทางกายที่ปรารถนา หากเราทนสงสัยเรื่องราวของเขาหรือเธอจนจบได้ พฤติกรรมของคนเหล่านี้กลับมีเสน่ห์อย่างประหลาด มันสัมผัสได้ถึงเลือดเนื้อ ความเจ็บปวด และเห็นได้ชัดว่าอย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็เข้าใจตนเองระดับหนึ่ง และเลือกแสวงหาสิ่งที่เขาหรือเธอได้เลือกแล้ว มากกว่าจะโอนเอียงไปตามสังคมชี้นำ
ตรงกันข้ามกับตัวละครใน Time จีวู ที่สูญเสียคนรัก เขาเองไม่ปฏิเสธใครอื่น พยายามแสวงหาความสุขใหม่ๆ ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าตนเองต้องการเซฮี หรือเพียงไม่อยากทนเหงาเปล่าเปลี่ยวตัวคนเดียวเท่านั้น...หลังการหายตัวไป ของแฟนสาว โฮมิน หญิงสาวคนหนึ่งที่ จีวู รู้จักจากการนัดพบแบบเสี่ยงโชค เป็นตัวละครที่ถูกขยายความได้อย่างเหมาะสม หน้าตาเธอไม่สะสวย แต่จากการพูดคุย และซ้อมยิงปืนร่วมกัน ทำให้ชายหนุ่มพบว่าเธอมีความสามารถและมั่นใจตนเอง
เมื่อการนัดสิ้นสุด โฮมินตั้งเงื่อนไขให้หันหลังจากกันไปแล้ว หากทั้งสองคนหันหน้ามาเจอกัน ทั้งคู่จะต้องคบกันจริงจังมากขึ้น...น่าเศร้าที่แม้จีวูจะหันมา แต่เธอเองกลับเดินจากไปอย่างเศร้าสร้อย เหมือนเป็นคำเฉลยของชีวิตว่าบางทีทางเลือกบางอย่างไม่ได้เกิดจากการกระทำจาก ผู้อื่น หากแต่เราต่างหากเป็นผู้เลือกทางเดินชีวิตนั้นเอง
ไม่ต่างกับทางเลือกของ แซฮี เธอเลือกเปลี่ยนโฉมใบหน้าใหม่เพราะ จีวู หรือเพราะเธอเองกันแน่ ? ครึ่งหลังของเรื่อง เมื่อเซฮี ปรากฏตัวเป็นคนใหม่ ก็ต้องพบกับความเจ็บปวดเมื่อเขาสารภาพว่าไม่อาจลืมตัวเธอคนเดิมได้ และน่าเศร้ายิ่งกว่าเพราะแซฮี ไม่อาจกลับเป็นเซฮี ได้อีกแล้ว...หลังการหายตัวไปของ จีวู เธอก็พบกับความสับสนว่าใครกันแน่คืออดีตชายคนรัก
อีกฉากที่เสียดสีชนชั้นกลางได้ไม่แพ้กันคือการนัดกินเหล้ากับเพื่อนของจีวู คนหนึ่งในกลุ่มชี้หน้าด่าผู้หญิงหากินที่พวกเขากอดอยู่ว่าทำศัลยกรรมมาทั้ง นั้น ขณะที่ในเวลาต่อมาหญิงสาวคนหนึ่งกลับถามจีวูว่าเคยอ่านเรื่องสั้นของ กาเบรียล การ์เซีย มาร์เควซ หรือเปล่า ? และเพื่อนของตนกลับไม่มีใครรู้จักสักคน (ฉากนี้เหมือนเป็นการอ้างอิง และแสดงถึงแรงบันดาลใจของ คีดุค เพราะเนื้อหากึ่งจริงกึ่งแฟนตาซีของเขานั้นใกล้เคียงกับวรรณกรรมแนว Magical-Realism(สัจจนิยมมหัศจรรย์) ซึ่งนักเขียนรางวัลโนเบลคนนี้เป็นหนึ่งในหัวขบวนสำคัญ)
จีวู และเซฮี ต่างสลับบทบาทกันเป็นผู้เฝ้ามองกันและกัน เปลี่ยนสถานภาพจากคนชิดใกล้กลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน พบพานเรื่องราวและผ่านประสบการณ์อันคล้ายคลึง ราวกับจมอยู่ในวังวนของเข็มนาฬิกาที่หมุนวนกลับคืนซ้ำ แม้จะเปลี่ยนแปลงโฉมหน้า หรือตัวตนไปกี่ครั้ง มนุษย์ทุกคนก็ไม่อาจหลีกลี้หนีพ้น
ตัว คิม คีดุค เองเคยกล่าวว่า “มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตทีคงทนต่อกาลเวลา และความรัก เพื่อแสวงหาความแปลกใหม่ให้ชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่จบไม่สิ้น” คงไม่แปลกนักถ้าคำกล่าวนี้ และตัวหนังเรื่องนี้ เขาจะพาดพิงถึงชนชั้นกลาง กลุ่มคนส่วนใหญ่ในสังคมปัจจุบันที่มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ผ่านเทคโนโลยีอันทันสมัย โดยไม่เคยมองเห็นซึ่งจุดหมายในชีวิต แน่นอนว่าหมายรวมถึงการเปลี่ยนใบหน้าผ่านคลินิกทำศัลยกรรม ที่แม้จะผ่านความเจ็บปวดทรมานทั้งกายและใจ ตัวตนภายในจะกลวงจนว่างเปล่า แต่คนเหล่านี้ก็ยินยอมจะเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นคนใหม่ เพื่อให้เปลือกนอกดำรงตนอยู่ในสังคมอย่างยั่งยืน
ภาพสุดท้ายของหนัง เรื่องนี้จึงปิดด้วยผู้คนจำนวนมากที่เดินเบียดเสียด หญิงสาวหลายคนเดินอย่างเริงร่าผ่าเผย มั่นอกมั่นใจ ก่อนจะตัดไปที่รูปปั้นมือสองมือ ตัวแทนความสัมพันธ์ของจีวู และเซฮี ที่กำลังค่อยๆ จมอยู่ใต้กระแสน้ำที่ล้นขึ้นตามห้วงเวลา คล้ายกระแสชีวิตที่มีขึ้นมีลงเป็นอนิจจัง แต่พวกเขาไม่เคยมองเห็น
จากคุณ |
:
yuttipung
|
เขียนเมื่อ |
:
9 ก.พ. 54 10:47:31
|
|
|
|
 |