สวัสดีพี่มีน พี่ฟาง พี่ก้อย พี่จิ๊บ พี่หนุ่ยค่ะ :) ขอบคุณพี่ก้อยมาที่แปลมาให้อ่านกันนะคะ *โดดจูบ* กรี๊ดด 55+
วันนี้บ้านดูเงียบๆ หรือว่าลูกแก้วคิดไปเองไม่รู้ แปลอันนี้จาก JYJFiles มาฝากกันนะคะ
[Trans] การรายงานข่าวโดยสำนักข่าวญี่ปุ่น: ทำไมดาราเกาหลีถึงยื่นฟ้องบริษัทของพวกเขา
JP News coverage on why Korean celebrities file lawsuits against their companies
Source: kr.news.yahoo.com (นักข่าว: โอจองริม)
Translated by: Jimmie of TheJYJFiles (shared by: TheJYJFiles)
แปลไทย: ลูกแก้วใสกิ๊งระริ๊ง (walking along with JYJ @ pantip
"ดาราเกาหลีขอเป็นแต่ 'เงิน' เท่านั้น"
[New Daily] วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ปี 2011 เวลา 10:11 น.
"ถ้าหากนักแต่งเพลงรุ่นพี่ขายลิขสิทธิ์เพลงของนักแต่งเพลงรุ่นน้องไป รุ่นน้องคนนั้นจะไม่สามารถคัดค้านและได้แต่เพียงกล้ำกลืนน้ำตาตัวเองไว้ ความสัมพันธ์แบบศักดินาในประเทศเกาหลีนั้นเป็นเรื่องเกินจะจินตนาการสำหรับประเทศญี่ปุ่น"(ตัวแทนจากค่ายเพลงญี่ปุ่น)
ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ สำนักข่าวญี่ปุ่นได้รายงานว่า "นิตยสารญี่ปุ่นรายสัปดาห์ให้เหตุผลเรื่องความขัดแย้งระหว่างไอดอลเพลงป๊อปของเกาหลีกับบริษัทบริหารดูแลศิลปิน อย่างในกรณีของดงบังชินกิและ KARA ว่าเป็นเพราะเรื่อง 'การเรียกว่าเป็นครอบครัว' ที่เป็นลักษณะเฉพาะของเกาหลี"
นิตยสารญี่ปุ่นรายสัปดาห์ ชูคันบยุน (Shukanbyun) ฉบับวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ได้สัมภาษณ์ดีเจและผู้เชี่ยวชาญเรื่องวงการเพลงป๊อปเกาหลีคือฟุรุยะ มาซายูกิ ตัวแทนดนตรีที่ได้ทำงานร่วมกับวง KARA นักข่าวบันเทิงญี่ปุ่น ตัวแทนจากค่ายเพลงญี่ปุ่นและบุคคลอื่นๆ อีก และได้ตีพิมพ์บทความสรุปจากการสืบข่าวมาว่าทำไม "วงการบันเทิงเกาหลีถึงได้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากประสบกับความขัดแย้ง"
"ในประเทศเกาหลี ธุรกิจวงการบันเทิงมีการใช้การเรียกกันเป็นครอบครัวแบบเฉพาะตัว เพราะความสัมพันธ์ระหว่างศิลปินกับบริษัทนั้นไม่ได้ถูกมองเห็นว่าเป็นการติดต่อทางธุรกิจ แต่เป็นเสมือนหนึ่งครอบครัว บริษัท SM Entertainment เรียกศิลปินที่เซ็นต์สัญญากับบริษัททั้งหมดรวมกันว่า 'SM Town' และบริษัท YG Entertainment ก็ทำแบบเดียวกันโดยเรียกว่า 'YG Family' ทั้งสองบริษัทได้พัฒนาสร้างภาพลักษณ์ดังกล่าวขึ้นมา เพราะว่าบริษัททั้งบริษัทแสดงตนว่ามีลักษณ์เป็นครอบครัว จะขัดคำสั่งกรรมการผู้จัดการบริษัทซึ่งรับบทเป็นคุณพ่อนั้นไม่ได้ แม้ว่าคนทั่วไปจะคิดว่าก่อนจะยื่นฟ้องร้องนั้นเป็นไปได้ที่จะประนีประนอมกันผ่านการเจรจาก่อน แต่ศิลปินที่เซ็นต์สัญญากับบริษัทเหล่านี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะตอบรับว่า 'ได้ตามปรารถนาครับ/ค่ะ' กับผู้ที่เป็นเสมือนพ่อที่ย้ำอยู่เสมอว่า 'เราดูแลคุณอยู่นะ' ฟุรุยะ มาซายูกิผู้เคยเป็นพิธีกรงานแสดงของ KARA งานหนึ่งในญี่ปุ่นบอกกับนิตยสารว่า "การยื่นฟ้องร้องในกรณีนี้เป็นการส่งสัญญาว่าอยากจะเจรจาด้วยนะ เพราะมันไม่มีหนทางอื่นแล้ว"
ตามที่สำนักข่าวญีป่นได้รายงาน นิตยสารเล่มนี้ไม่เพียงกล่าวถึงเรื่อง 'การเรียกว่าเป็นครอบครัว' แต่ยังชี้ให้เห็นว่าระบบการอุปถัมภ์ไอดอลที่มีแต่เฉพาะในประเทศเกาหลีนั้นเป็นต้นตอของปัญหาด้วย ระบบจำต้องมี 'สัญญาทาส' เพราะบริษัทบริหารดูแลศิลปินต้องดูดเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในสำหรับที่พัก การเรียนการสอน ค่าเดินทางและค่าการศึกษาในช่วงเวลาระหว่างที่รับศิลปินฝึกหัดผ่านการคัดตัวจนถึงตอนที่พวกเขาได้เดบิวต์ จากนั้นจึงถูกจูงใจให้จำเป็นต้องตักตวงเงินทุนกลับมา "ในศิลปินฝึกหัด 100 คนที่รับเข้ามา มีเพียง 5 คนเท่านั้นที่จะกลายเป็นดารา ทั้งห้าคนนั้นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะรับผิดชอบหาเงินค่าฝึกหัดได้เสียไปกับคนทั้ง 100 คน ในกรณีของดงบังชินกิ สัญญาจ้างระยะเวลา 13 ปีนั้นได้ถูกเรียกว่าเป็น 'สัญญาทาส' แต่ระยะเวลาสัญญายาวนานขนาดนั้นก็เพราะไม่แน่ว่าพวกเขาจะทำเงินได้เท่าไหร่หลังจากโด่งดังเป็นดารานานเท่าไหร่แล้ว" (ผู้ประกาศข่าวกีฬาเกาหลี)
"แม้ว่าระยะเวลาสัญญาจะถูกตัดทอนให้สั้นลง แต่เพื่อจะหาเงินมาชดเชยที่ลงทุนไปในระยะเวลาที่สั้นลง บริษัทก็จะต้องบังคับให้ศิลปินมีตารางงานที่หนักมากเกินไป การออกสื่อมากๆ อย่างนั้นไม่ใช่กลยุทธที่ดีเพราะจะทำให้ผู้ชมเกิดความเบื่อหน่ายได้เร็ว ซึ่งยิ่งทำให้ระยะเวลาอาชีพการเป็นศิลปินสั้นเข้าไปอีก" (ผู้รายงานข่าวบันเทิงญี่ปุ่น)
นิตยสารยังชี้ให้เห็นถึงวิธีการคำนวณรายได้ที่ขัดแย้งกันเองอย่างมากในธุรกิจวงการบันเทิงเกาหลี คุณยามาดะ ประธานของสมาคมนักเขียนเอเชียจำได้ว่า "ผมเคยมอบเงินค่าลิขสิทธิ์เพลง (สำหรับหนึ่งเดือนนั้น) ให้กับนักร้องเกาหลีคนนึง พอเห็นจำนวนเงิน เขาถามว่า 'นี่เงินค่าลิขสิทธิ์สำหรับกี่ปีเหรอครับ?' ผมซ่อนความตกใจไว้ไม่อยู่เลยครับ" และวิพากษ์วิจารณ์เรื่องค่าชดเชยลิขสิทธิ์ในธุรกิจวงการบันเทิงเกาหลีซึ่งอยู่ในระดับด้อยพัฒนาถึงขั้นน่าหัวร่อ ยิ่งไปกว่านั้น นิตยสารได้กล่าวถึงตัวแทนจากค่ายเพลงญี่ป่นและบริษัทบันเทิงผู้วิจารณ์ศิลปินเกาหลี "ศิลปินเกาหลีรู้จักแต่เพียงคำว่าเงิน เงิน" แต่นี่ก็เพราะมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องรายได้ที่ไม่สะอาดไม่โปร่งใสในเกาหลี พอพวกเขามาประเทศญี่ปุ่นและแสดงปฏิกริยาไวต่อปัญหาเกี่ยวกับเรื่องสัญญาจ้างหรือเงินรายได้
นิตยสารรายสัปดาห์เล่มนี้สรุปไว้ว่า "ผลที่ตามมา เหตุผลที่ศิลปินเกาหลีพยายามขยายตัวมายังต่างประเทศก็เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีชีวิตรอดในตลาดภายในประเทศ ตลาดการขายซีดีในเกาหลีได้ถดถอยมากจนยากที่จะหาร้านขายซีดีจริงๆ ในประเทศและการดาวน์โหลดเพลงผิดกฎหมายก็แพร่หลายมาก จนเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้เงินค่าลิขสิทธิ์ เพราะผู้คนสามารถไปชมรายการเพลงที่ออกอากาศทางทีวีได้เพียงแค่ยืนต่อแถว บัตรคอนเสิร์ตจึงขายไม่ออก ดังนั้นในกรณีนี้ที่คำกล่าวที่ว่า KARA 'ทำเงินในญี่ปุ่นได้มากเป็นสิบเท่าเมื่อเทียบกับในเกาหลี' ดังนั้น 'KARA เป็นคนทรยศที่หวังเงิน' เป็นคำพูดที่ทำให้เข้าใจผิด สำนักข่าวญี่ปุ่นจบการรายงานแต่เพียงเท่านี้