ความคิดเห็นที่ 1 เข้ามาติดตามครับ จากคุณ : Ice-man เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:15:55

ความคิดเห็นที่ 2 ความสามารถในการ “หยุดวัตถุ” 1) Kraftwerk 2) Catch the Rainbow จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:17:32

ความคิดเห็นที่ 3 Kraftwerk ร่างต้น – Sale (5/9) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:18:49

ความคิดเห็นที่ 4 มีความสามารถในการ “ตรึง” วัตถุที่สัมผัสให้อยู่กับที่แม้ในอากาศก็ตาม โดยไม่จำกัดชนิดของวัตถุหรือจำนวน รวมทั้งสามารถใช้ความสามารถนี้กับร่างกายทุกส่วนของตนเองได้แม้แต่ภายในปาก  และหากเคาะ (ส่งแรง) ให้กับวัตถุที่ถูกตรึงอยู่หลายๆครั้ง ก็จะเกิดพลังงานสะสม และเมื่อปลดความสามารถ วัตถุนั้นก็จะพุ่งออกไปเหมือนกระสุน จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:19:22

ความคิดเห็นที่ 5 Catch the Rainbow ร่างต้น – Blackmore (7/14) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:19:46

ความคิดเห็นที่ 6 มีความสามารถในการ “หยุดน้ำฝน” ให้ค้างอยู่กลางอากาศ และใช้เหยียบเดินได้  น้ำฝนที่ถูกหยุด ส่วนที่เป็นปลายเม็ดฝน จะมีความคมมากสามารถบาดร่างกายได้ นอกจากนี้ Blackmore ยังสามารถโจมตี ด้วยการแยกส่วนของใบหน้าตามรอยที่น้ำฝนหยดใส่ เช่น ปาก ไปกัดศัตรูได้ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:20:21

ความคิดเห็นที่ 7 ความสามารถในการ “ละลาย-ทำให้อ่อนตัว” 1) Ratt 2) Spice Girl 3) Oasis 4) Yoyoma จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:21:05

ความคิดเห็นที่ 8 Ratt ร่างต้น – หนู “ไอ้หูแหว่ง”  (4/13) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:21:34

ความคิดเห็นที่ 9 สแตนด์เป็นลักษณะเหมือนป้อมปืน โจมตีด้วยการยิงเข็มซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด สามารถ “ละลายวัตถุที่สัมผัสได้ทุกชนิด” ซึ่งหนูที่เป็นร่างต้นนี้ ใช้ความสามารถในการละลายเนื้อแล้วอัดเป็นก้อน เพื่อเก็บไว้กินเป็นอาหาร จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:22:00

ความคิดเห็นที่ 10 โอ้ สวัสดีครับ คุณ Ice-man  นอนดึกเหมือนกันเนาะ (^_^) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:22:34

ความคิดเห็นที่ 11 ก้อนเนื้อแบบนี้ ลักษณะเหมือนกับ Meatloaf เลยครับ Meatloaf เป็น เมนูที่ทำจากเนื้อบด (อาจเป็นเนื้อวัว / หมู / แกะ ฯลฯ) ทำให้สุกโดยการอบ หรือรมควัน โดยจะออกมารูปร่างเป็นก้อนๆ (loaf) Meatloaf  มีต้นกำเนิดจากแถบยุโรป  ว่ากันว่าเมนูเนื้อบดเป็นเมนูได้รับการบรรจุอยู่ในตำราอาหารโรมัน ที่ชื่อว่า Apiciusในช่วงศตวรรษที่ 5  Meatloaf เป็นอาหารพื้นบ้านของชาวเยอรมัน เบลเยียม และดัชท์  รวมทั้งยังนับเป็นญาติกับ Meatball ของอิตาเลียน  (แล้วลูกชิ้นนายฮั่งเพ้งของเราล่ะ) สำหรับ American Meatloaf มีที่มาจาก Scrapple (เป็นอาหารของชาวเยอรมัน-อเมริกัน ในเพนซิลเวเนีย มีส่วนผสมของเนื้อหมูบดและcornmeal)  ส่วน Meatloaf ที่รับรู้กันในปัจจุบัน เพิ่งมาปรากฏเอาในตำราอาหารในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 วิธีทำแบบก้นครัว ตามนี้เลยครับ http://topicstock.pantip.com/food/topicstock/2007/07/D5653353/D5653353.html จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:23:42

ความคิดเห็นที่ 12 Spice Girl ร่างต้น - Trish Una (5/10) มีความสามารถในการทำให้วัตถุ “กลายสภาพเป็นอ่อนนุ่ม” คล้ายยาง ซึ่งทำให้วัตถุนั้นถูกโจมตีอย่างไรก็ไม่พัง หรือดัดแปลงใช้ประโยชน์แบบอื่น เช่น เปลี่ยนหัวเครื่องบินให้กลายเป็นร่มชูชีพ แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 54 00:25:10 จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:24:17

ความคิดเห็นที่ 13 แล้วมนุษย์รู้จักยางตั้งแต่เมื่อไหร่? ความเป็นมาของยาง : http://www.reothai.co.th/Para1.htm โลกเพิ่งจะมีโอกาสรู้จักและใช้ประโยชน์จากยางเมื่อประมาณปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 นี้ เอง ในขณะที่ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ผู้ค้นพบโลกใหม่เดินทางไปอเมริกาในครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ.. 2036 (1493) ก็ได้พบว่า มีชาวพื้นเมืองบางเผ่าทั้งในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ได้รู้จักและใช้ประโยชน์จากยางกันบ้างแล้ว เช่น ชาวพื้นเมืองในอเมริกากลางที่ทำรองเท้าจากยางโดยการใช้มีดฟันต้นยาง แล้วรองน้ำยางใส่ภาชนะ หลังจากนั้น จึงเอาเท้าจุ่มลง ไปในน้ำยางนั้น หรือเอาเท้าวางไว้บนภาชนะแล้วเทน้ำยางราดลงบนเท้า ก็จะได้รองเท้า ที่เข้ากับเท้าพอดี หรือบางเผ่าในอเมริกาใต้ทำเสื้อกันฝนและผ้ากันน้ำจากยาง หรือเผ่ามา ยันในอเมริกาใต้ ที่ทำลูกบอลด้วยยาง แล้วนำมาเล่นโดยการให้กระเด้งขึ้นลงเพื่อเป็นการ สักการะเทพเจ้า จึงทำให้โคลัมบัสและคณะมีความแปลกใจเป็นอันมาก และคิดกันไปว่า ในลูกกลมๆที่เด้งได้นั้น ต้องมีตัวอะไรอยู่ข้างในเป็นแน่ หลังจากนั้นเมื่อโคลัมบัสเดินทาง กลับยุโรป ก็ได้นำวัตถุประหลาดนั้นกลับไปด้วย โคลัมบัสจึงเป็นชาวยุโรปคนแรกที่ได้มีโอกาสสัมผัสยาง และนำยางเข้าไปเผยแพร่ในยุโรป การส่งยางเข้ามาในยุโรปในระยะแรกนั้นต้องใช้เวลานานมาก กว่าที่ยางจะเดินทางจาก แหล่งกำเนิดจนมาถึงยุโรป ยางก็จะจับตัวกันเป็นก้อนเสียก่อน ดังนั้น ยางที่เข้ามาในยุโรปสมัยแรกๆ นั้น จึงเป็นยางที่ผลิตเป็นสินค้าแล้วเนื่องจากมนุษย์ยังไม่รู้จักวิธีที่จะทำให้ยางที่จับตัวกันเป็นก้อนละลายและทำเป็นรูปทรงที่ต้องการได้อย่างไร การผลิตยางจึงต้องทำทันทีหลังจากได้น้ำยางมาก่อนที่ยางจะจับตัวกันเป็นก้อน ในอเมริกากลางและอเมริกาใต้เช่น ในประเทศเม็กซิโก ก็มีหลักฐานว่าได้มีการใช้ประโยชน์จากยางกันบ้างแล้ว แต่เป็นการผลิตอย่างง่ายๆเช่น ทำผ้า ยางกันน้ำ ลูกบอล และ เสื้อกันฝน เป็นต้น จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:26:11

ความคิดเห็นที่ 14 การค้นพบ - พ.ศ. 2143 (1600) ก็ยังไม่มีความพยายามที่จะนำกรรมวิธีทำยางเข้ามาในยุโรป - พ.ศ. 2279 (1736) ชาลส์ มารี เดอลา คองดามี ได้ส่งตัวอย่างยางจากลุ่มน้ำอเมซอน กลับมาที่ฝรั่งเศส และสรุปว่าไม่สามารถนำน้ำยางกลับไปยุโรปเพื่อการผลิตได้ เพราะ ยางจะแข็งตัวเสียก่อนที่จะถึงยุโรป - พ.ศ. 2313 เฮอริสแซน พบว่า น้ำมันสน [Terpentine] สามารถละลายยางที่จับตัวกัน เป็นก้อนได้ และยังพบต่อไปอีกว่า Ether เป็นตัวละลายยางได้ดีกว่าน้ำมันสน - พ.ศ. 2313 (1770) โจเซฟ พริสลี่ (คนเดียวกับที่ค้นพบอ๊อกซิเจน) ค้นพบว่า ยางใช้ลบรอยดำของดินสอได้ จึงเรียกยางว่ายางลบ [Rubber] ตั้งแต่นั้น - พ.ศ. 2334 (1791) โฟร์ ครอย ค้นพบการป้องกันไม่ให้ยางจับตัวกันเป็นก้อนโดยการเติมด่างที่มีชื่อว่า Alkali ลงไปในน้ำยาง แต่การค้นพบนี้ก็ต้องเป็นหมันอยู่ถึง 125 ปีเพราะไม่มีใครสนใจ - พ.ศ. 2363 (1820) โธมัส แฮนค็อก (อังกฤษ) ประดิษฐ์เครื่องฉีกยางได้สำเร็จ แต่ก็ปกปิดไว้ โดยบอกคนที่ถามว่าเป็นเครื่องดองยาง [Pickle] และยังพบด้วยว่า ความร้อนทำให้ยางอ่อนตัวลงได้ และจะปั้นใหม่ให้เป็นรูปอะไรก็ได้ ตามต้องการ - พ.ศ. 2375 (1832) แฮนค็อกได้ปรับปรุงเครื่องฉีกยางของเขาให้ดีขึ้น และเรียกเครื่องที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ว่าดังกล่าวว่า เครื่อง Masticator ซึ่งเป็นเครื่องต้นแบบของเครื่องฉีกยางที่ใช้กันถึงทุกวันนี้ โธมัส แฮนคอก จึงได้รับเลือกให้เป็น "บิดาแห่งอุตสาหกรรมการยาง" - พ.ศ. 2380 (1837) แฮนค็อกประดิษฐ์เครื่องรีดยางได้เป็นผลสำเร็จ [Spreading] - พ.ศ. 2379 (1836) ทางอเมริกาก็ประดิษฐ์เครื่องบดยางได้สำเร็จเหมือนกัน - พ.ศ. 2386 (1843) ชาลส์ กูดเยียร์ (อเมริกา) ค้นพบกรรมวิธีในการทำให้ยางคงรูป โดยการ "อบความร้อน" [Vulcanisasion] และยางที่ผสมกำมะถันและตะกั่วขาว เมื่อย่างไฟแล้ว แม้จะกระทบร้อนหรือเย็นจัด ยางจะเปลี่ยนรูปไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สิ่งที่ชาลส์ค้นพบนี้ แฮนค็อกก็ค้นพบในอีก 2 ปีต่อมา และนำผลงานไปจดทะเบียน [Patent] ทันที แต่ชาลส์ไปจดทะเบียนหลังแฮนค็อก 2 - 3 สัปคาห์ แต่โลกก็ยังให้เกียรติแก่ ชาลส์ กูดเยีย ว่าเป็นผู้ที่คิดกรรมวิธีนี้ได้ก่อน - พ.ศ. 2389 (1846) โธมัส แฮนค็อก ประดิษฐ์ยางตันสำหรับรถม้าทรงของพระนางเจ้าวิคตอเรีย - พ.ศ. 2413 (1870) จอน ดันลอป ผลิตยางอัดลมสำหรับจักรยานได้สำเร็จ - พ.ศ. 2438 (1895) มีผู้ประดิษฐ์ยางอัดลมสำหรับรถยนต์ได้สำเร็จ การค้นพบกรรมวิธีในการทำให้ยางคงรูปได้นั้น นับได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก สำหรับวิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งในช่วงเวลานั้น มีการค้นพบและมีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ทางวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นมากมาย เช่น เจมส์ วัตต์ สร้างเครื่องจักรไอน้ำ โรเบิร์ต ฟูลตัน สร้างเครื่องจักรเรือไอน้ำ จอร์จ สตีเวนสัน สร้างหัวรถจักรไอน้ำ ไมเคิล ฟาราเด สร้างเครื่องกำเนิดไฟฟ้า มอส สร้างเครื่องส่งโทรเลข เป็นต้น แต่ความสำเร็จต่างๆ เหล่านั้น คงจะขาดความสมบูรณ์ไปมากถ้ายังขาดความรู้เรื่องการทำยางให้คงรูป เพราะยางที่คงรูปแล้ว [Vulcanised Rubber] จะช่วยเติมความไม่สมบูรณ์เหล่านั้นให้เต็มเช่น เป็นตัวห้ามล้อรถไฟ หรือทำสายไฟ และสายเคเบิ้ลใต้น้ำ เป็นต้น จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:27:29

ความคิดเห็นที่ 15 ตามมาชมนะครับ จากคุณ : shine_o เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:28:24

ความคิดเห็นที่ 16 Oasis ร่างต้น – Secco (5/24) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:29:46

ความคิดเห็นที่ 17 เป็นสแตนด์ที่อยู่ในรูปของบอดี้สูทเหมือน White Album มีความสามารถในการทำให้ดินหรือวัตถุที่สัมผัส “เหลว” กลายเป็นโคลน  ซึ่งทำให้ร่างต้นสามารถเคลื่อนไหวใต้ดินได้เหมือนว่ายน้ำ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:30:16

ความคิดเห็นที่ 18 คุณ shine_o...ขอบคุณครับ (^_^)/ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:30:54

ความคิดเห็นที่ 19 ในทาง ดนตรี โอเอซิส หมายถึง วงดนตรีที่นักร้อง (น้องชาย) กับมือกีตาร์ (พี่ชาย) ทะเลาะกันเอง ส่วนในทาง ภูมิศาสตร์ โอเอซิส หมายถึงอาณาบริเวณส่วนใดของทะเลทราย ที่มีพืชขึ้นอยู่ในลักษณะที่ไม่ใช่สังคมพืชทะเลทราย ซึ่งโดยปกติ จะปรากฏรอบๆตาน้ำ หรือแหล่งน้ำประเภทอื่นๆ โอเอซิสมักเป็นแหล่งพักพิงของสัตว์ต่างๆ และอาจรวมถึงมนุษย์ด้วย หากโอเอซิสนั้นมีพื้นที่มากพอ ตำแหน่งที่ตั้งของโอเอซิสนั้น มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ในการค้า หรือการขนส่งผ่านทะเลทราย กองคาราวานจำเป็นที่จะต้องแวะพักยังโอเอซิสต่างๆ เพื่อสะสมน้ำและอาหาร ในการเดินทางต่อๆไ ป โอเอซิส ที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือAl-Ahsa (Al-Hasa / El Hasa) กินพื้นที่ 24% ของ Saudi Arabia และ 68% ของพื้นที่ฝั่งตะวันออก มีประชากรมากกว่า 1.5 ล้าน ครอบคลุม660,000 ตร.กม.  ห่างจากอ่าวเปอร์เซีย 60กม. จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:31:20

ความคิดเห็นที่ 20 Yoyoma ร่างต้น - D & G  (6/17) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:32:02

ความคิดเห็นที่ 21 เป็นสแตนด์อัตโนมัติ มีความสามารถในการ “ใช้น้ำลายกัดกร่อนวัตถุทุกชนิด” จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:32:19

ความคิดเห็นที่ 22 โอ้ สุดยอดไปเลยครับท่าน จากคุณ : ขี่รถถีบไปจีบเธอ เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:32:23

ความคิดเห็นที่ 23 น้ำลาย คือสสารที่คล้ายน้ำและมักจะเป็นฟอง ถูกผลิตขึ้นในปากของมนุษย์และสัตว์อื่นๆ เป็นส่วนใหญ่ น้ำลายถูกผลิตขึ้นจากต่อมน้ำลาย น้ำลายของมนุษย์ประกอบด้วยน้ำ 98% ส่วนที่เหลือเป็นอิเล็กโทรไลต์ เมือก สารยับยั้งแบคทีเรีย และเอนไซม์ชนิดต่างๆ เอนไซม์ในน้ำลายสามารถย่อยแป้งและไขมันที่อยู่ในอาหารในระดับโมเลกุล ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการย่อยอาหาร น้ำลายช่วยชะล้างอาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟันและปกป้องไม่ให้เกิดการเน่าเสียจากแบคทีเรีย นอกจากนี้ น้ำลายยังช่วยหล่อลื่นและปกป้องฟัน ลิ้น และเนื้อเยื่ออ่อนบางภายในช่องปาก สัตว์หลายชนิดมีพัฒนาการการใช้น้ำลายเฉพาะทางมากไปกว่าการย่อยอาหาร นกนางแอ่นใช้น้ำลายที่เหนียวคล้ายยางในการสร้างรัง ซึ่งรังนกนางแอ่นนี้ใช้ทำเครื่องดื่มรังนก งูพิษเช่นงูเห่าปล่อยน้ำลายที่มีพิษออกมาทางเขี้ยวเพื่อใช้ในการล่าสัตว์หรือการป้องกันตัว และแมลงบางชนิดเช่นแมงมุมหรือหนอนผีเสื้อ สร้างใยของมันขึ้นมาจากต่อมน้ำลาย หน้าที่ที่เกี่ยวกับการย่อยอาหารของน้ำลาย คือการทำให้อาหารเปียกและช่วยสร้างก้อนอาหารทำให้กลืนได้อย่างง่ายดาย น้ำลายประกอบด้วยเอนไซม์แอมีเลส (Amylase) ที่สามารถย่อยแป้งให้กลายเป็นน้ำตาลมอลโทส (Maltose) และเดกซ์ทริน (Dextrin) ดังนั้นการย่อยอาหารจึงเริ่มต้นเกิดขึ้นตั้งแต่ในปากก่อนที่อาหารจะตกลงถึงกระเพาะอาหาร ต่อมน้ำลายก็ยังสร้างเอนไซม์ลิเพส (Lipase) เพื่อช่วยย่อยไขมันด้วยเช่นกัน ความเชื่ออย่างหนึ่งเกี่ยวกับน้ำลายว่า น้ำลายมีสารฆ่าเชื้ออยู่ตามธรรมชาติ ซึ่งทำให้ผู้คนที่เชื่อนำไปสู่ "การเลียแผลตัวเอง" คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งฟลอริดาในเมืองเกนส์วิลล์ได้ค้นพบว่า มีโปรตีนชนิดหนึ่งเรียกว่า Nerve Growth Factor (NGF) ในน้ำลายของหนูทดลอง บาดแผลที่ใช้ NGF รักษาสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าแผลที่ไม่ได้ใช้เป็นสองเท่า นั่นหมายความว่าน้ำลายสามารถช่วยรักษาแผลได้ในสัตว์บางชนิด อย่างไรก็ตามไม่มีการตรวจพบ NGF ในน้ำลายของมนุษย์ แต่มีสารยับยั้งแบคทีเรียอย่างอื่นเช่น อิมมูโนกลอบูลินเอ (Immunoglobulin A: IgA) แลกโตเฟอร์ริน (Lactoferrin) และแลกโตเพอรอกซิเดส (Lactoperoxidase) สิ่งนี้แสดงว่าการเลียแผลของมนุษย์ไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ แต่การเลียนั้นอาจช่วยขจัดสิ่งสกปรกหรือช่วยกำจัดเซลล์ที่ติดเชื้อได้โดยตรงจากการเลียปัดออกไป ดังนั้นการเลียจึงอาจเป็นวิธีหนึ่งของการทำความสะอาดของมนุษย์หรือสัตว์ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ถ้าไม่มีน้ำบริสุทธิ์ให้ใช้ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:33:18

ความคิดเห็นที่ 24 ในน้ำลายประกอบด้วย น้ำ 98% อิเล็กโทรไลต์ - โซเดียม 2–21 มิลลิโมลต่อลิตร (น้อยกว่าพลาสมาของเลือด) - โพแทสเซียม 10–36 มิลลิโมลต่อลิตร (มากกว่าพลาสมาของเลือด) - แคลเซียม 1.2–2.8 มิลลิโมลต่อลิตร - แมกนีเซียม 0.08–0.5 มิลลิโมลต่อลิตร - สารประกอบคลอไรด์ 5–40 มิลลิโมลต่อลิตร (น้อยกว่าพลาสมาของเลือด) - สารประกอบไบคาร์บอเนต 25 มิลลิโมลต่อลิตร (มากกว่าพลาสมาของเลือด) - สารประกอบฟอสเฟต 1.4–39 มิลลิโมลต่อลิตร เมือก (Mucus) ส่วนหลักประกอบด้วย - มิวโคพอลิแซ็กคาไรด์ (Mucopolysaccharides) - ไกลโคโปรตีน (Glycoprotein) สารยับยั้งแบคทีเรีย เช่น - สารประกอบไทโอไซยาเนต (Thiocyanate) - อิมมูโนกลอบูลินเอ (Immunoglobulin A: IgA) - ไฮโดรเจนเพอรอกไซด์ (Hydrogen peroxide) เอนไซม์ มีสามชนิดเป็นหลัก - แอลฟา-แอมีเลส (α-amylase) ทำงานที่ค่า pH เท่ากับ 7.4 - ไลโซไซม์ (Lysozyme) ช่วยทำให้แบคทีเรียสลายตัว - ลิเพสในปาก (Lingual lipase) ทำงานที่ค่า pH ประมาณ 4.0 ซึ่งเอนไซม์ชนิดนี้จะยังไม่ทำงานจนกว่าอาหารจะถูกส่งไปยังกระเพาะอาหารแล้ว เซลล์ ทั้งเซลล์ของมนุษย์ 8 ล้านเซลล์ และเซลล์แบคทีเรีย 500 ล้านเซลล์ต่อมิลลิลิตร ซึ่งผลผลิตของแบคทีเรียจะถูกปล่อยปนกับน้ำลาย อันเป็นสาเหตุของอาการปากเหม็น (Halitosis) Opiorphin สสารชนิดใหม่ที่เพิ่งค้นพบ ใช้สำหรับบรรเทาอาการปวด จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:34:39

ความคิดเห็นที่ 25 แล้วทำไมน้ำลายถึงหลั่งออกมาจากต่อมน้ำลายมากกว่าปกติเวลาเจอของเปรี้ยว หรือทานเปรี้ยว http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=housemomotaro-and-me&date=19-05-2008&group=2&gblog=3 กรรมวิธีการพิสูจน์ ทำดังนี้ แรกเริ่มเตรียมน้ำมะนาวไว้ 10 ซีซี แล้วให้เค้นน้ำลายออกมาให้ได้ประมาณ 10 ซีซี เช่นเดียวกัน วัดค่าความเป็นกรดเป็นด่างของน้ำมะนาวจะได้ที่ประมาณ 3.5 ถือว่าเป็นกรดอย่างมาก หลังจากนั้นก็เติมน้ำลายอีก 10 ซีซีลงไป วัดค่าความเป็นกรดเป็นด่างอีกครั้ง ผลออกมาน่าประหลาดใจ ได้ค่าความเป็นกรด-ด่าง 7.0 พอดี นั่นแสดงว่า การหลั่งน้ำลายออกมาเมื่อทานของเปรี้ยวนั้น เป็นการปรับค่าความเป็นกรด-ด่างภายในช่องปากนั่นเอง ขณะเดียวกัน น้ำมะนาว 10 ซีซี หากใช้น้ำกลั่นเติ่มลงไปเรื่อย ๆ จะต้องใช้ปริมาณเท่าไรถึงจะทำให้ค่าความเป็นกรด-ด่าง เท่ากับน้ำลาย 10 ซีซี หรือออกมาได้ 7 เหมือนกัน ผลก็คือต้องใช้น้ำมาถึง 5 ลิตร หรือ 5000 ซีซี จึงจะปรับค่ากรด-ด่างได้เท่ากับน้ำลาย 10 ซีซี คำถามต่อไปคือ มูลเหตุที่น้ำลายหลั่งออกมาเพื่อปรับค่ากรด-ด่างนั้นมีไว้เพื่ออะไร คำตอบก็คือ ป้องกันกรดที่มีรสเปรี้ยวทั้งหลายที่ทานเข้าไปนั้นไปทำลายฟันที่อยู่ในช่องปากนั่นเอง โดยทางรายการได้ทำการทดลองต่อ คือ นำเอาฟัน(ของใครไม่รู้) มาลองแช่ในน้ำมะนาว 10 ซีซีนั้น แช่ไว้อยู่อย่างนั้นเป็นเวลา 3 วัน ผลคือฟันซี่นั้นมีขนาดเล็กลงอย่างเห็นได้ชัดมาก ท่านที่ชอบท่านเปรี้ยว ก็ลองสังเกตุดูว่าตัวเองอาจจะมีอาการฟันกร่อน หรือฟันผุได้ อาการเสียวฟันก็เกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน มีอีกคำถามคือ ทำไมเวลาทานเปรี้ยว แทบทุกคนต้องทำหน้าตาแบบตาหยี ตาหวานซะแบบนั้น คำตอบก็คือ เป็นเพราะการทำงานของกล้ามเนื้อบางส่วนที่อยู่บริเวณโดยรอบต่อมน้ำลาย ซึ่งมีการหดตัวเพื่อบีบรัด ให้น้ำลายหลั่งออกมา สรุปจากทั้งหมดทั้งมวล ก็คือ เวลาทานเปรี้ยวแล้ว สาเหตุที่น้ำลายหลั่งออกมาอย่างมากมายนั้นก็เพื่อป้องกันกรดไปกัดกร่อน ฟันที่อยู่ในช่องปากนั่นเอง จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:36:13

ความคิดเห็นที่ 26 ความสามารถในการ “ลดขนาด” 1) Soft Machine 2) Little Feet 3) Goo Goo Dolls 4) ทารกตัวเขียว (ความสามารถนี้ ท่านชาย ไม่น่าชอบนะครับ 55) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:37:06

ความคิดเห็นที่ 27 Soft Machine ร่างต้น - Mario Zucchero (5/8) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:37:27

ความคิดเห็นที่ 28 มีความสามารถในการทำให้วัตถุ “แฟบลง” เหมือนลูกโป่งถูกปล่อยลม   เมื่อใช้เข็มขนาดใหญ่ในมือแทงเป้าหมาย (ทั้งคน-วัตถุ)ร่างกายของเป้าหมายจะฟีบลง จนแบนแต๊ดแต๋ และสแตนด์จะสามารถลากร่างแบนๆนั้นไปไหนก็ได้  นอกจากนี้ ยังสามารถเอาวัตถุที่ทำให้แฟบลงแล้วมาคลุมวัตถุอีกชิ้น แล้วเคลื่อนไหวระหว่างวัตถุ 2 ชิ้นนี้ได้ เช่น เอาเรือยอร์ชแบนมาคลุมเรือยอร์ชปกติ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:38:00

ความคิดเห็นที่ 29 Little Feet ร่างต้น – Formaggio (5/11) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:38:28

ความคิดเห็นที่ 30 จะใช้ใบมีดที่นิ้วชี้โจมตีเป้าหมาย มีความสามารถทำให้ร่างกายของตนเอง และเป้าหมาย ”หดเล็กลง” และเป้าหมายจะหดลงเรื่อยๆตามระยะเวลาที่ผ่านไป โดยไม่มีที่สิ้นสุด  แต่หากทำให้กลับสภาพเดิมจะทำได้ในพริบตา จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:38:48

ความคิดเห็นที่ 31 Goo Goo Dolls ร่างต้น – Guess (6/3) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:39:10

ความคิดเห็นที่ 32 มีความสามารถในการ “ทำให้มนุษย์มีขนาดเล็กลง” จนเหลือขนาดเท่าหนู แต่ทำให้ตัวเองเล็กลงไม่ได้ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:39:37

ความคิดเห็นที่ 33 ทารกตัวเขียว  (6/18) ชื่อสแตนด์ไม่ปรากฏ แต่มีความสามารถในการ “ทำให้วัตถุที่เข้าหาตนเองมีขนาดเล็กลง และขยายใหญ่ขึ้นเมื่อออกห่าง” เมื่อใช้ป้องกันตัว ศัตรูจะไม่สามารถเข้าถึงตัวได้อย่างแน่นอน เพราะขนาดจะถูกลดลงไปในสัดส่วน 1/2 ไปเรื่อยๆ ดูภาพประกอบนะครับ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:42:29

ความคิดเห็นที่ 34 สัดส่วนการลดขนาด จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:42:48

ความคิดเห็นที่ 35 ความสามารถในการ “ซ่อมแซม-รักษา” 1) Crazy Diamond 2) Pearl Jam จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:43:24

ความคิดเห็นที่ 36 Crazy Diamond ร่างต้น - Josuke Higashikata  (4/2) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:44:00

ความคิดเห็นที่ 37 เป็นสแตนด์มีทั้งความแข็งแกร่ง ความเร็ว และความแม่นยำ ใกล้เคียงกับ Star Platinum  มีพลังขนาดปัดการ์ดของ Star Platinum ได้ รวมทั้งหมัดมีความเร็วถึง 300 กม./ชม. ความสามารถของ Crazy Diamond คือ การ “ฟื้นฟู-ซ่อมแซม-เปลี่ยนแปลง” วัตถุและร่างกายมนุษย์ ยกเว้นตัวเองให้คืนสภาพเดิม หรือเปลี่ยนสภาพ-รวมกับวัตถุตามแต่ใจของร่างต้น จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:44:34

ความคิดเห็นที่ 38 Pearl Jam ร่างต้น - Antonio Trussardi  (4/10) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:45:01

ความคิดเห็นที่ 39 เป็นสแตนด์รูปร่างคล้ายหัวหอม มีความสามารถในการ “รักษา” โรคที่อยู่ในร่างกายของเป้าหมาย โดยสแตนด์จะปนอยู่ในอาหารที่เป้าหมายรับประทาน ซึ่งร่างต้นนอกจากจะทำอาหารอร่อยแล้ว ยังมีความสามารถในการวินิจฉัยโรคอีกด้วย จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:45:22

ความคิดเห็นที่ 40 Pearl Jam คือวงดนตรี (Grunge) ร็อคจากซีแอทเทิล  แล้วชื่อ Pearl Jam มาจากไหน? ตอนแรกEddie Vedder นักร้องนำอธิบายว่า Pearl มาจาก ชื่อของย่าทวด ที่แต่งงานกับชาวพื้นเมืองอเมริกันและมีสูตรทำแยม(Jam) จากต้นกระบองเพชร peyote ที่อร่อยมากๆ  แต่ตอนหลังก็ออกมาบอกว่า ที่เล่าไปมันโม้ทั้งเพ (ฮา..ยกเว้นย่าทวดชื่อ Pearl จริงๆ) เรื่องจริงคือ มือเบส Jeffrey Allen Ament นึกชื่อ Pearl ขึ้นมา  และทางวงเติมคำว่า Jam เข้าไปตอนที่ร่วมคอนเสิร์ต Neil Young และ Neil เล่นอิมโพรไวส์เพลงไปซะร่วม 20 นาที เลยกลายเป็นการเล่น Jamming และกลายเป็น Jam ในที่สุด จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:45:54

ความคิดเห็นที่ 41 ความสามารถในการ “เปลี่ยนรูปร่างหน้าตา” 1) Khnum 2) Surface 3) Cinderella จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:46:30

ความคิดเห็นที่ 42 Khnum ร่างต้น – Oingo (3/25) มีความสามารถในการเปลี่ยนใบหน้า (รวมทั้ง น้ำเสียงและทรงผม) เป็นใครก็ได้ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:47:37

ความคิดเห็นที่ 43 Surface ร่างต้น - Toshikazu Hazamada  (4/8) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:48:03

ความคิดเห็นที่ 44 เป็นสแตนด์ที่มีรูปร่างเป็นตุ๊กตาไม้  (ลักษณะเหมือน หุ่น copy ของปาร์แมน) เมื่อเป้าหมายแตะโดนตุ๊กตา  ตุ๊กตานั้นก็จะ ”เปลี่ยนร่างให้เหมือนเป้าหมายทุกประการ” ไม่ว่าจะรูปร่าง หน้าตา น้ำเสียง หรือนิสัย ยกเว้นจะมีน็อตอยู่ตรงกลางหน้าผาก นอกจากนี้ เป้าหมายจะถูกควบคุมการเคลื่อนไหวโดยตุ๊กตาเหมือนกับส่องกระจก ตุ๊กตาทำอย่างไร ก็จะทำตามนั้น จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:48:33

ความคิดเห็นที่ 45 ปาร์แมน เป็นใคร? : http://www.kudson.com/clm.php?action=detail&contentid=6&columnid=878&sid=&cid= ปาร์แมนนั้น ถูกวาดขึ้นมาเป็นหนังสือการ์ตูนออกมาก่อนในช่วงปี 1978-1981 (พ.ศ. 2521-2524) โดย FUJIKO F. FUJIO ผู้สร้างสรรค์การ์ตูนอมตะตลอดกาลอย่างโดราเอม่อน โดยปาร์แมนเป็นเรื่องราวของ ผู้พิทักษ์ความยุติธรรมกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอิงตามกระแสที่คนชื่นชอบภาพยนตร์แนวนี้ โดยมีหัวหอกในเวลานั้นก็คือ SUPERMAN ผู้เป็นฮีโร่ที่มาพร้อมผ้าคลุม กับ BATMAN ฮีโร่ผู้ปิดบังฐานะตัวเอง ซึ่งทั้ง 2 เรื่องกำลังได้รับความนิยมในญี่ปุ่นขณะนั้น  ที่เพิ่งดังคงเพราะช่วงนั้นหมดยุคทองของหนังฮีโร่แปลงกายไปแล้ว ปาร์แมนเลยได้รับอิทธิพลจากการ์ตูนอเมริกันแทน จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:49:16

ความคิดเห็นที่ 46 ปาร์แมนนั้นก็เข้ามาเมืองไทยในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกับญี่ปุ่น และยังถูกสร้างเป็นการ์ตูนTV (TV ANIMATION) ด้วยในปี 1979 และสร้างใหม่อีกครั้งในปี 1983 ซึ่ง การ์ตูน TV ชุดที่ 2 นี่แหละครับ ที่เคยเข้ามาฉายในบ้านเรา น่าเสียดายที่ผมจำปีแม่นๆไม่ได้ แต่ว่าน่าจะหลังจากญี่ปุ่นซักปี-2ปี โดยมาฉายทางช่อง 9 ช่วงเช้าวันเสาร์และอาทิตย์ จนจบชุดไป และยังเคยมาฉายซ้ำช่วงเย็นๆอยู่อีกพักนึง แม้จะมีชื่อเสียงไม่มากเท่าโดราเอม่อน ที่ยังดังมาจนถึงป่านนี้ แต่ก็ยังมีคนรู้จักมากกว่า นินจาฮัตโตริที่ฉายทางช่อง 3 อยู่ดีล่ะครับ (นินจาฮัตโตริเป็นผลงานของ Fujiko A. Fujio) จะว่าไงดีนะ ปาร์แมน เนี่ย อย่างที่เขียนไปแล้วล่ะครับว่า ได้รับอิทธิพลจากSUPERMAN คุณFUJIKO F FUJIO เลยเอาชื่อSUPERMAN มาล้อเลียน โดยลิ้นของคนญี่ปุ่นแล้วจะเรียกSUPERMANว่า ซู-ปา-มัง FUJIKO F FUJIO เลยตัด (SU) ซู ออกไปเหลือเพียง PERMAN และเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า ปามัง และเวลามาฉายในบ้านเราก็เลยเรียกว่า ปาร์แมน ตามเค้าไปด้วยน่ะสิครับ... ก็เลยเป็นว่าเราเรียกผิดกันมาตั้ง 10 กว่าปีแน่ะ พอมาตอนนี้ก็คงเปลี่ยนไม่ได้แล้วล่ะครับ เลยเรียกว่า ปาร์แมน ไปตามความคุ้นเคยก็แล้วกัน... เรื่องราวของปาร์แมนเริ่มขึ้นที่ BIRDMAN (บ้านเราเรียกเค้าว่าบ๊าดแมน ตามญี่ปุ่น) ต้องการหาเด็กๆชาวโลกมาพิทักษ์โลกแทนตนเองที่มีงานป้องกันดาวอื่นๆจนล้นมือ โดยคนแรกที่บ๊าดแมนจำใจเลือกก็คือ สึวะ มิสึโอะ เด็กนักเรียนประถมที่ไม่เอาไหนในเรื่องกีฬาเลย แต่ก็มีจิตใจใฝ่ดี มารับหน้าที่เป็น ปาร์แมนเบอร์ 1 ซึ่งคอยออกปฏิบัติการตามใจตัวเอง หรือ ตอนที่จวนตัวจากการโดนเพื่อนแกล้ง (อ้าว? จะปกป้องใครได้มั้ยเนี่ย?) โดยชุดและอุปกรณ์ของปาร์แมนนั้นจะถูกบี้เป็นก้อนเล็กๆยัดใส่ในกระเป๋ากางเกง ได้ และพอบิดๆมันอีกที ก็จะขยายเป็นหมวกและผ้าคลุม เมื่อสวมทั้ง 2 สิ่งแล้วมิสึโอกะ ก็จะกลายเป็น (ซุป)เปอร์แมน หรือ ปาร์แมนที่เรารู้จักกันดีนี่เอง...หลังจากนั้นไม่นานบ๊าดแมนก็คัดเลือกปาร์แมนเบอร์ 2,3 และ 4 ออกมาเรื่อยๆ โดยเบอร์ 2 เป็นลิง..ชิมแปนซีชื่อ บู้บี้ ที่เลือกมาคงเพราะลิงไม่มีความโลภล่ะมั้ง??? ที่นี้พอทั้ง 2 เบอร์พึ่งพาไม่ค่อยได้ เบิร์ดแมนเลยลองหาเด็กผู้หญิงมาเป็นปาร์แมนเบอร์ 3 แทน ทีนี้เค้าไปเลือกเอาดาราเด็กผู้หญิงชื่อดังในเรื่อง ชื่อของเธอคือ โฮชิโนะ สึมิเระ ที่เบื่อหน่ายกับตารางเวลาที่แสนแน่นและเป็นปาร์แมนด้วยความเต็มใจ เหมือนจะเป็นหัวหน้าทีมไปกลายๆแล้ว โดยเรียกตัวเองว่า ปาร์โกะ (โกะ-เป็นคำญี่ปุ่นที่เอาไว้ลงท้ายชื่อเด็กผู้หญิงครับ) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:50:04

ความคิดเห็นที่ 47 ทีนี้บางทีอาชญากรไม่ได้มีเฉพาะในเมืองหลวงเท่านั้น ที่ต่างจังหวัดก็น่าจะมีปาร์แมนเหมือนกัน บ๊าดแมนเลยคัดเลือกเด็กชายชาวโอซาก้าผู้ขยันขันแข็งมาเป็นปาร์แมนหมายเลข 4 ซึ่งเค้าก็เรียกตัวเองอีกว่า ปาร์ยัง ปกติปาร์ยังนั้นจะทำงานด้วยความรับผิดชอบสูง แถมยังหัวไวอีกต่างหาก เค้าน่าจะเป็นที่พึ่งในยามยากของเพื่อนๆได้ แต่จริงๆแล้ว ปาร์ยังเองก็แอบเอาพลังพิเศษของตัวเองไปรับจ้างขนของและส่งของอยู่บ่อยๆ เพราะเค้ามองกาลไกลจึงเริ่มหาเงินสะสมไว้ตั้งแต่ยังเด็กเลยทีเดียว...เล่น เอา บ๊าดแมนปวดหัวกับพฤติกรรมของปาร์แมนทั้ง 4 อยู่เกือบตลอด อุปกรณ์ของปาร์แมนมี 4 อย่าง  คือ http://www.superhui.com/music/thai/tcartoon/parman/parman.html หน้ากากที่ทำให้มีกำลังเพิ่มขึ้น 6,600 เท่า ผ้าคลุมที่บินได้ด้วยความเร็ว 119 กม./ชม. ตราสัญลักษณ์ติดหน้าอกรูปตัว P (เห็นในทีวีเรียกว่า "วอนเบะ") เป็นอุปกรณ์สื่อสารกับปาร์แมนคนอื่นๆ แถมยังเป็นอุปกรณ์ช่วยหายใจ เวลาลงไปในน้ำด้วย และ เจ้าหุ่นก๊อปปี้สำหรับใช้เป็นตัวแทนในเวลาที่ต้องออกไปปฏิบัติหน้าที่ โดยเพียงแค่ใครก็ตามที่กดจมูกของมัน ก็จะก๊อปปี้คนๆนั้นออกมาแบบชนิดเหมือนเปี๊ยบเลย (แต่มักใช้วิธีการแยกแยะได้โดยสีของจมูกที่แตกต่าง) แต่จริงๆแล้ว นิสัยจะต่างกันนิดๆหน่อย ตรงที่เรียบร้อยกว่าตัวจริงน่ะสิครับ เลยก่อเรื่องอยู่บ่อยๆเหมือนกัน และยังมีความลับอีกนิดหน่อยคือ ถ้าเอาหน้าผากมาแตะกัน พวกมิสึโอะก็จะสามารถรับการถ่ายทอดประสบการณ์จากเจ้าหุ่นได้ด้วยนะ สิ่งที่ปาร์แมนทุกคนต้องพยายามอย่างมากที่สุด นอกเหนือจากการช่วยปกป้องโลก ก็คือ การรักษาความลับการเป็นปาร์แมนไว้ให้ดีที่สุด เพราะหากมีใครล่วงรู้ความจริงเกี่ยวกับตัวจริงของปาร์แมนแล้วล่ะก็ บ๊าดแมนจะทำลายสมองของปาร์แมนคนนั้นทันที (ประมาณว่าทำลายความทรงจำน่ะครับ...) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:50:31

ความคิดเห็นที่ 48 เพลง opening แบบภาษาไทยครับ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:50:57

ความคิดเห็นที่ 49 Cinderella ร่างต้น - Aya Tsuji  (4/16) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:51:27

ความคิดเห็นที่ 50 มีความสามารถในการ “เปลี่ยนร่างกาย” ของเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นดวงตา รูปหน้า หรือลายนิ้วมือ  อีกนัยหนึ่งคือ สามารถเปลี่ยนโหงวเฮ้งได้นั่นเอง ซึ่งผู้ที่เข้ารับการเปลี่ยนใบหน้า โชคชะตาของเจ้าตัวจะเปลี่ยนไปด้วย แต่จะต้องคอยเติมลิปสติกทุก 30 นาที ไม่เช่นนั้นจะสูญเสียใบหน้าของตนเองไป จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:52:02

ความคิดเห็นที่ 51 นอกจากเป็นชื่อวงร็อคแล้ว ซินเดอเรลล่า เป็นเทพนิยายปรัมปราที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงทั่วทั้งโลก มีการดัดแปลงเป็นรูปแบบต่างๆ มากมายกว่าพันครั้ง (มีใครไม่รู้จักบ้าง) เนื้อเรื่องเกี่ยวกับเด็กสาวกำพร้าผู้หนึ่งที่อยู่ในอุปถัมภ์ของแม่เลี้ยงกับพี่สาวบุญธรรมสองคน แต่ถูกทารุณและใช้งานเยี่ยงทาส ต่อภายหลังจึงได้พบรักกับเจ้าเมืองหรือเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ ตำนานซินเดอเรลล่ามีปรากฏในเทพนิยายหรือนิทานพื้นบ้านประเทศต่างๆ ทั่วทั้งโลกโดยมีชื่อของตัวเอกแตกต่างกันออกไป ทว่าฉบับที่มีชื่อเสียงที่สุดเป็นของนักเขียนชาวฝรั่งเศสชื่อ ชาร์ลส แปร์โรลต์ ในปี ค.ศ. 1697 ซึ่งอิงมาจากวรรณกรรมของ จิอัมบัตติสตา เบซิล เรื่อง La Gatta Cenerentola ในปี ค.ศ. 1634 ในเรื่องนี้ตัวเอกมีชื่อว่า เอลลา (Ella) แต่แม่เลี้ยงกับพี่สาวใจร้ายของเธอพากันเรียกเธอว่า ซินเดอเรลล่า (Cinderella) อันหมายถึง "เอลลาผู้มอมแมม" ซึ่งกลายเป็นชื่อเรียกเทพนิยายในโครงเรื่องนี้โดยทั่วไป ซินเดอเรลล่า ได้รับการโหวตจากเด็กๆ กว่า 1,200 คนจากการสำรวจโดย cinema chain UCI เป็นเทพนิยายยอดนิยมอันดับหนึ่งในดวงใจ เมื่อปี ค.ศ. 2004 ผลสำรวจจาก google trend เมื่อปี ค.ศ. 2008 ก็พบว่า ซินเดอเรลล่า เป็นเทพนิยายที่ได้รับความนิยมและกล่าวถึงมากที่สุดในโลกอินเทอร์เน็ต โครงเรื่องของซินเดอเรลล่าน่าจะมีกำเนิดมาแต่ยุคสมัยคลาสสิก นักประวัติศาสตร์กรีกชื่อ สตราโบ ได้บันทึกไว้ในหนังสือ จีโอกราฟิกา เล่ม 17 ตั้งแต่ราวหนึ่งร้อยปีก่อนคริสตกาล ถึงเรื่องราวของเด็กสาวลูกครึ่งกรีก-อียิปต์ผู้หนึ่งชื่อ โรโดพิส (Rhodopis) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเนื้อเรื่องที่เก่าแก่ที่สุดของซินเดอเรลล่า โรโดพิส (ชื่อมีความหมายว่า "แก้มกุหลาบ") ต้องอยู่ซักเสื้อผ้ามากมายขณะที่เหล่าเพื่อนหญิงรับใช้พากันไปเที่ยวงานเต้นรำซึ่งฟาโรห์อามาซิสทรงจัดขึ้น นกอินทรีย์นำรองเท้าของเธอที่ประดับกุหลาบไปทิ้งไว้ที่เบื้องบาทของฟาโรห์ในนครเมมฟิส พระองค์ตรัสให้สตรีในราชอาณาจักรทดลองสวมรองเท้านี้ทุกคนเพื่อหาผู้สวมได้พอเหมาะ โรโดพิสสวมได้พอดี ฟาโรห์ตกหลุมรักเธอและได้อภิเษกสมรสกับเธอ ต่อมาเนื้อเรื่องนี้ปรากฏอีกครั้งในงานเขียนของเคลาดิอุส ไอเลียนุส (Claudius Aelianus) แสดงให้เห็นว่าโครงเรื่องซินเดอเรลล่าเป็นที่นิยมมาตลอดยุคคลาสสิก บางทีจุดกำเนิดของตัวละครอาจสืบย้อนไปได้ถึงช่วง 600 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งมีสตรีในราชสำนักเธรซคนหนึ่งใช้ชื่อเดียวกันนี้ และเป็นผู้รู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดีกับ อีสป นักเล่านิทานยุคโบราณ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:52:55

ความคิดเห็นที่ 52 ความสามารถเกี่ยวกับ “สังขาร” 1) Sethan 2) The Grateful Dead จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:53:31

ความคิดเห็นที่ 53 Sethan ร่างต้น – Alessi (3/28) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:53:59

ความคิดเห็นที่ 54 เป็นสแตนด์ในรูปของเงา ที่เมื่อสัมผัสกับเงาของเป้าหมาย หรือเป้าหมายเหยียบโดนเงาของร่างต้น จะถูก “ทำให้กลายเป็นเด็ก ทั้งรูปร่างและสมอง-ความทรงจำ” ยิ่งสัมผัสเงานานเท่าไร ก็ยิ่งลดอายุย้อนไปวัยเด็กลงมากเท่านั้น (จนถึงขึ้นเป็นตัวอ่อนในครรภ์เลยทีเดียว) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:54:35

ความคิดเห็นที่ 55 The Grateful Dead ร่างต้น – Prosciutto (5/15) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:55:01

ความคิดเห็นที่ 56 สแตนด์ที่มีความสามารถทำให้ร่างกาย ”แก่ลง” มีผลกับตนเองและคนรอบข้าง ยิ่งใช้สแตนด์สัมผัสโดยตรงยิ่งแก่เร็วมากขึ้น ซึ่งอัตราความเร็วในการแก่  ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของคนคนนั้น หากร่างกายมีความเย็นจะแก่ช้า  เมื่อถูกทำให้แก่ จะแก่ลงทั้งร่างกาย จิตใจ และความทรงจำ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:55:26

ความคิดเห็นที่ 57 สุดยอดครับ มีสาระและละเอียดดีมากครับ จากคุณ : bigcy เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:55:57

ความคิดเห็นที่ 58 ในเรื่อง Prosciutto  ใช้ความสามารถกับผู้โดยสารทั้งขบวนรถไฟ โดยไม่กลัวว่า Trish จะแก่ตายไปซะก่อน  เพราะรู้ว่า ร่างกายผู้หญิงเย็นกว่าผู้ชาย.......ยังไง? http://www.tpa.or.th/publisher/admin/newbook/P1013%20intro.pdf ต้องกล่าวถึง อุณหภูมิ และ Metabolism อุณหภูมิร่างกายกับMetabolismพื้นฐานมีความสัมพันธ์กันโดยตรง การเผาผลาญส่วนใหญ่ใช้ไปในการรักษาระดับอุณหภูมิ ของร่างกาย ถ้าอายุและขนาดร่างกายใกล้เคียงกัน มีวิถีการดำเนินชีวิตและสภาพแวดล้อมใกล้เคียงกัน คนที่มีอุณหภูมิร่างกายสูงหรือคนตัวร้อนจะมีการเผาผลาญสารอาหารสูงกว่า เพราะต้องการพลังงานเพื่อMetabolismพื้นฐานสูงกว่า ในทางตรงกันข้าม คนที่มีอุณหภูมิร่างกายต่ำหรือ คนตัวเย็นจะมีการเผาผลาญต่ำกว่า เพราะความต้องการ พลังงานเพื่อMetabolismพื้นฐานต่ำ  แล้วที่ว่าแตกต่าง จะต่างกันสักเท่าไหร่ คำตอบคือ แม้ว่าอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่า แม้เพียงแค่ 1 องศา Cแต่ความต้องการพลังงานพื้นฐานจะลดลงถึง 12% ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นคนที่ต้องการพลังงานวันละ 2,000 กิโลแคลอรี และ 70% ของความต้องการนี้ต้องใช้เพื่อMetabolism พื้นฐาน ซึ่งก็คือ 1,400 กิโลแคลอรี และ 12% ของพลังงานเพื่อMetabolismพื้นฐานนี้คือ 168 กิโลแคลอรี ในขณะที่การเดินออกกำลัง 30 นาทีโดยทั่วไปจะใช้พลังงานประมาณ 100 กิโลแคลอรี (ค่านี้อาจแตกต่างกันไปบ้างในแต่ละคน) ดังนั้นถ้าอุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น 1 องศาเซลเซียสแล้ว แม้ว่าจะนอนหลับอยู่ แต่พลังงาน ส่วนที่ใช้เพิ่มขึ้นใน 1 วัน ก็ยังสูงกว่ากว่าการเดินออกกำลัง 30 นาทีเสียอีก Metabolismพื้นฐานในผู้ชายจะสูงกว่าผู้หญิงกว่าผู้หญิงเมื่อมีน้ำหนักตัวเท่ากัน ความแตกต่างดังกล่าว มาจากความแตกต่างของปริมาณกล้ามเนื้อนั่นเอง โดยธรรมชาติผู้ชายมีปริมาณกล้ามเนื้อมากกว่า ผู้หญิง ดังนั้นจึงมี Metabolismพื้นฐานสูงกว่า ปริมาณกล้ามเนื้อนั้นก็เหมือนกับอุณหภูมิร่างกาย คือมีความสัมพันธ์เป็นสัดส่วนโดยตรงกับMetabolismพื้นฐาน กล่าวคือ เมื่อปริมาณกล้ามเนื้อมาก  Metabolismพื้นฐานก็สูง สาเหตุเป็นเพราะ “ความร้อน (ซึ่งก็คืออุณหภูมิร่างกาย)” ที่ร่างกายเราสร้างขึ้นนั้นมาจากกล้ามเนื้อเป็นหลัก อธิบายให้ง่ายขึ้นก็คือ  เมื่อปริมาณกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น  Metabolismพื้นฐานก็จะเพิ่มขึ้นได้ โดยธรรมชาติ และเมื่อMetabolismพื้นฐานเพิ่มขึ้น อุณหภูมิร่างกายก็เพิ่มขึ้นได้ตามธรรมชาตินั่นเอง จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:56:05

ความคิดเห็นที่ 59 ความสามารถในการ “เปลี่ยนแปลงวัตถุ-ร่างกายในรูปแบบอื่นๆ” The Hand / Echoes Act 3 / Achtung Baby / Kiss / Burning Down the House / Diver Down / Planet Waves จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:57:20

ความคิดเห็นที่ 60 - การลบ The Hand ร่างต้น - Okuyasu Nijimura  (4/5) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:58:50

ความคิดเห็นที่ 61 The Hand เป็นสแตนด์มีความสามารถในการ “ลบ” โดยสิ่งที่ถูกมือขวาของ The Hand สัมผัสจะถูกลบทิ้งไป (ซึ่งร่างต้นเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ถูกลบหายไปอยู่ที่ไหน)  นอกจากนี้ ยังสามารถลบอากาศออกทำให้เกิดช่องว่างในอากาศ ใช้ในการร่นระยะทาง หรือเรียกได้อีกอย่างว่าการเคลื่อนย้ายมวลสารในพริบตา The Hand เป็นการยืนยันว่า แม้สแตนด์จะแข็งแกร่งเพียงใด หากร่างต้นไม่ฉลาดใช้ก็หมดความหมาย (>_<) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:59:25

ความคิดเห็นที่ 62 - การเพิ่มน้ำหนัก Echoes Act 3 ร่างต้น - Koichi Hirose  (4/1) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 00:59:58

ความคิดเห็นที่ 63 เป็นการพัฒนาของสแตนด์ในขั้นที่ 3  ปรากฏออกมาเป็นสแตนด์รูปร่างเหมือนมนุษย์ มีความสามารถในการ “เพิ่มน้ำหนัก” ให้วัต:-)ิ่งสแตนด์อยู่ใกล้ วัตถุนั้นจะยิ่งหนักจนขยับไม่ได้  ตัวสแตนด์เรียกความสามารถนี้ว่า 3Freeze   มันเป็นความสามารถคนละเรื่องกับ 2 ACT แรกเลยนะครับเนี่ย จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 01:00:18

ความคิดเห็นที่ 64 - การล่องหน Achtung Baby ร่างต้น – ทารกเพศหญิง (ภายหลังโจสตาร์รับไปเลี้ยง และตั้งชื่อว่า Shizuka)  (4/11) มีความสามารถในการ “ทำให้ตนเองและสิ่งที่อยู่รอบๆโปร่งแสง” หรือ ล่องหน จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 01:00:57

ความคิดเห็นที่ 65 มีนิยายเกี่ยวกับการล่องหนที่โด่งดัง คือ เรื่องมนุษย์ล่องหน (The Invisible Man) เป็นนิยายวิทยาศาสตร์ที่เขียนโดย H.G.Wellsนักเขียนชาวอังกฤษ ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1897ลงเป็นตอนในนิตยสารPearson's Magazineและรวมเล่มในปีเดียวกัน เนื้อเรื่องกล่าวถึงนักวิทยาศาสตร์ชื่อ กริฟฟิน ซึ่งตั้งสมมุติฐานว่า ถ้าร่างกายมนุษย์มีดรรชนีหักเหเท่ากับอากาศ  ร่างกายจะไม่ดูดซับแสงหรือสะท้อนแสง และทำให้มองไม่เห็น กริฟฟินได้ทำการทดลองด้วยตัวเอง ประสบความสำเร็จและทำให้ตนเองกลายเป็นมนุษย์ล่องหน แต่ไม่สามารถทำให้ร่างกายตัวเองกลับมามีดรรชนีหักเหเท่าเดิมได้ นอกจากนี้กระบวนการเคมีที่เกิดขึ้นยังมีผลกระทบต่ออารมณ์และสภาพจิตใจของกริฟฟิน กริฟฟินใช้แถบผ้าพันปกปิดร่างกาย สวมแว่นดำและหมวกปกคลุม หลบไปทำการทดลองในเมืองเล็กๆ และขอความช่วยเหลือจากเพื่อนเก่าชื่อ ดร.เคมป์ ในขณะที่ชาวเมืองเริ่มรู้สึกผิดปกติกับการมาของชายลึกลับที่ใช้ผ้าพันทั้งตัว เกิดอาชญากรรมแปลก แต่ตำรวจไม่สามารถจับใครได้ ในที่สุดกริฟฟินก็สามารถกลับมามีร่างกายเป็นปกติได้ แต่เป็นในขณะที่เขากำลังจะตาย เพราะถูกตำรวจไล่ล่า นวนิยายถูกดัดแปลงสร้างเป็นภาพยนตร์หลายครั้ง ครั้งที่ได้รับคำชื่นชมมากที่สุด คือฉบับปี 1933ใช้ชื่อว่าThe Invisible Man กำกับโดยJames Whale นำแสดงโดย  Claude Rains ได้รับความสำเร็จ ได้รับการยกย่องเป็นภาพยนตร์นิยายวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่ง และมีการสร้างภาคต่อๆ มาอีกหลายภาคในช่วงนั้น คือThe Invisible Man Returns (1940),Invisible Agent (1942) และThe Invisibleman's Revenge(1944)) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 01:01:37

ความคิดเห็นที่ 66 ในปี 2000 ภาพยนตร์เรื่องHollow Manเป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากเรื่อง มนุษย์ล่องหน กำกับโดย Paul Verhoeven นำแสดงโดย Elisabeth Shue, Kevin Bacon และJosh Brolin The Invisible Man 1933 Trailer จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 01:02:12

ความคิดเห็นที่ 67 - แบ่งวัตถุ Kiss ร่างต้น - Hermes Costello (6/1) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 01:02:43

ความคิดเห็นที่ 68 ความสามารถจะปรากฏออกมาในรูปสติ๊กเกอร์  เมื่อเอาไปแปะวัตถุ วัตถุนั้นจะ ”ถูกทำให้เป็น 2 ชิ้น” ที่มีคุณสมบัติเหมือนกันทุกประการ  แต่หากแกะสติ๊กเกอร์ออกของ 2 ชิ้นจะกลับมารวมเป็นชิ้นเดียว และอยู่ในสภาพเสียหาย และร่างต้นยังสามารถเข้าไปอยู่ และทำให้คนอื่นเข้าไปอยู่ในระหว่างของ 2 สิ่งได้ที่กลับมารวมกันได้ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 01:03:33

ความคิดเห็นที่ 69 Kiss แปลว่า จูบ คือการนำเอาริมฝีปากสัมผัสกับร่างกายของอีกคนหนึ่ง การแสดงการจูบในแต่ละวัฒนธรรมมีความหมายที่แตกต่างกันไป การจูบอาจเพื่อแสดงความรักหรือความใคร่  ความนับถือ การทักทายและแสดงความโชคดี การจูบในหลายวัฒนธรรมทั่วโลกโดยมากจะเป็นการแสดงความรัก ในบางวัฒนธรรมการจูบเป็นการทักทาย โดยเฉพาะประเทศในยุโรป แต่ในบางครั้งการจูบก็ไม่ใช่สิ่งที่เกิดประจำวัน อย่างเช่นชนพื้นเมืองในออสเตรเลีย ชาวตาฮิติ หรือหลายเผ่าในแอฟริกา การศึกษาเรื่องการจูบเริ่มในต้นศตวรรษที่ 20 โดยนักประวัติศาสตร์ธรรมชาติที่ชื่อ Ernest Crawley เขียนไว้ว่า "การจูบเป็น การแสดงอเนกประสงค์ในชีวิตสังคมของความศิวิไลซ์ชั้นสูงกว่าของความรู้สึก ความใคร่ ความรัก (เพศ ความเป็นพ่อเป็นแม่ และความเป็นลูก) และความเคารพ" Crawley ยังกล่าวว่า การสัมผัส "เป็นความรู้สึกของความเป็นแม่ และการจูบเป็นการสัมผัสและรูปแบบพิเศษของการติดต่อกันที่ใกล้ชิด" อย่างไรก็ตามเขากล่าวว่า การจูบเป็นเรื่องแปลกใน "กลุ่มผู้ไม่เจริญกว่า" แต่กระนั้นในบรรดาผู้มีความศิวิไลซ์สูงกว่า Crawley เห็นความแตกต่างว่า การจูบในอียิปต์โบราณไม่เป็นที่รู้จัก แต่ก็แสดงให้เห็นในกรีกยุคต้น, อัสซีเรียและอินเดีย การจูบกันของความรักนั้น นักมานุษยวิทยาในศตวรรษที่ 19 ที่ชื่อ Cesare Lobroso  ระบุมีต้นกำเนิดและพัฒนามาจากการจูบของมารดา  Crawley สนับสนุนมุมมองนี้โดยกล่าวว่า ในสังคมญี่ปุ่น ก่อนศตวรรษที่ 20 "เป็นสิ่งที่ไม่ตระหนักถึง ยกเว้นเพียงมารดาจูบทารกของเธอ" ขณะที่ในแอฟริกาและคนป่าเถื่อนไร้ศาสนาภรรยาหรือคนรักกันต่างก็ไม่จูบกัน อย่างไรก็ตามในวัฒนธรรมกรีกและละติน การจูบกันถือเป็นเรื่องปกติ เมื่อพ่อแม่จูบลูกของเขาหรือคนรัก หรือคนแต่งงานกันแล้วต่างก็จูบกัน การจูบในสังคมตะวันตกยังมีใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาหลายอย่าง เพื่อแสดงความศักดิ์สิทธิ์ ส่วนการจูบ 10 วิธีที่ทำให้แฟนคุณอ่อนระทวย หาอ่านได้จากไร้สาระนุกรมนะครับ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 01:05:19

ความคิดเห็นที่ 70 - ใช้วัตถุที่ถูกทำลายแล้ว Burning Down the House ร่างต้น - Emporio Alnino  (6/4) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 01:06:02

ความคิดเห็นที่ 71 มีความสามารถในการ “มองเห็นวิญญาณของสิ่งของที่ถูกทำลายไป และใช้สิ่งของนั้นๆได้”  เช่น หากไฟแช็ค ถูกทำลาย  Emporio สามารถใช้วิญญาณไฟแช็ค (ที่ปรากฏรูปร่างเหมือนเดิม) ในการจุดไฟได้ ในเรื่องกล่าวว่า สิ่งของทุกชนิดมีวิญญาณ (เหมือนมนุษย์) และเมื่อถูกทำลาย (ตาย) ก็จะเหลือวิญญาณไว้ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 01:07:02

ความคิดเห็นที่ 72 - เปลี่ยนโครงสร้าง Diver Down ร่างต้น - Narciso Anasui  (6/9) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 01:07:35

ความคิดเห็นที่ 73 ตอนปรากฏตัวครั้งแรก มีความสามารถ “ถ่ายทอดสปีด-พลังของสแตนด์เข้าไปในวัตถุแล้วปล่อยออกมา” เช่น ถีบประตู แล้ว แรงถีบนั้นก็พุ่งออกมาจากประตูอีกที หลังจากนั้น ก็กลายเป็น “สามารถแทรกตัวเข้าในวัตถุทุกชนิด (รวมถึงสิ่งมีชีวิตด้วย) และเปลี่ยนโครงสร้างของวัตถุนั้นๆได้” เช่นเปลี่ยนร่างกายคนให้กลายเป็นกับดัก เปลี่ยนโครงสร้างประตูให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกำแพง  เปลี่ยนหน้าตาของคนอื่นให้เหมือนตนเอง  หรือฝังร่างกบแล้วเชื่อมระบบประสาทของกบเข้ากับสแตนด์ Yoyoma เป็นต้น เรียกว่าเป็นการพัฒนาของสแตนด์ก็ได้ละมั้งครับ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 01:08:03

ความคิดเห็นที่ 74 - เรียกอุกกาบาต Planet Waves ร่างต้น - Viviano Westwood (6/15) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 01:08:33

ความคิดเห็นที่ 75 สามารถ “เรียกอุกกาบาต” ให้ตกลงมาในตำแหน่งที่ต้องการได้ (อลังการมากๆ) ข้อมูลอ้างอิงในเรื่อง กล่าวว่า หากทำให้อุกกาบาตเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลกในมุม 6.5 องศา +,- 0.9 องศา ก็จะไม่ถูกแรงต้านทานของบรรยากาศโลกดีดกระเด็น และไม่ถูกเผาไหม้จนหมดก่อนจะถึงพื้นโลก จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 01:09:01

ความคิดเห็นที่ 76 ความสามารถในทาง “การปลูกถ่าย-เนื้อเยื่อ” 1) The Empress 2) Baby Face (1) 3) Cream Starter แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 54 01:11:19 จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 01:11:05

ความคิดเห็นที่ 77 The Empress ร่างต้น – Nena (3/15) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 01:11:52

ความคิดเห็นที่ 78 ใช้การโจมตีด้วยการ “ปลูกถ่ายสแตนด์ในร่างเป้าหมาย” ซึ่งแผลที่เกิดขึ้นจะเป็นตุ่มเหมือนโดนแมลงต่อย และจะค่อยๆเติบโตขึ้น มีหน้า-แขน-ขา-รูปร่าง  และจะพยายามสังหารเป้าหมาย โดยเนื้อหนังของสแตนด์ก็คือเนื้อหนังของเป้าหมายนั่นเอง จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 01:12:22

ความคิดเห็นที่ 79 ตัวอย่างของความสามารถนี้ (ในธรรมชาติ) ที่เป็นประโยชน์ คือ แตนเบียน http://news.enterfarm.com/ แตนเบียนจัดเป็นแมลงในกลุ่มเดียวกับผึ้ง ต่อ แตน ด้วยลักษณะการดำรงชีวิตของแตนเบียนชนิดนี้จะไม่ทำอันตรายต่อคน แต่กลับเป็นเพชฌฆาตที่ร้ายกาจ ของแมลงศัตรูพืช ด้วยพฤติกรรมการวางไข่ไว้ในแมลงศัตรูพืช และใช้น้ำเลี้ยงภายในตัวแมลงเป็นอาหารสำหรับการเจริญเติบโต และทำให้แมลง ศัตรูพืชตายในที่สุด ทั้งนี้แตนเบียนในประเทศไทยมีด้วยกันหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดมีความสามารถในการกำจัดแมลงศัตรูต่างชนิดกัน แตนเบียนที่ทำหน้าที่กำจัดแมลงศัตรูพืช คือ แตนเบียนเพศเมีย โดยอาวุธที่ร้ายกาจ คืออวัยวะวางไข่เรียวยาว ปลายแหลม คล้ายฉมวกขนาดจิ๋ว สำหรับแทงและวางไข่ในตัวหนอนแมลงวันผลไม้ ทั้งนี้แตนเบียนเพศเมียสามารถค้นหาเป้าหมายในการวางไข่ได้จากการรับกลิ่นสาร เคมีที่ผลิตจากปฏิกิริยาการสุกเน่าของผลไม้ และเสียงสั่นจากการเคลื่อนไหวของแมลงศัตรูพืช โดยแตนเบียนแต่ละตัวสามารถวางไข่ได้ตลอดชีวิตประมาณ 100 ฟอง จึงสามารถควบคุมแมลงศัตรูพืชได้เป็นจำนวนมาก และเนื่องจากแตนเบียนเป็นแมลงที่มีความพิเศษคือมีไข่ที่สามารถฟักเป็นตัว อ่อนได้โดยไม่ต้องรับการผสมจากตัวผู้ ซึ่งไข่ที่ไม่ได้รับการผสมนี้จะให้ตัวอ่อนแตนเบียนเพศผู้ ในขณะที่ไข่ที่ได้รับการผสมจะได้ตัวอ่อนแตนเบียนเพศเมีย ดังนั้นปัญหาที่พบคือ จำนวนตัวอ่อนที่เกิดขึ้นเป็นเพศผู้เสียส่วนใหญ่ เนื่องจากแตนเบียนเพศเมียจะมุ่งเน้นการวางไข่มากกว่าการผสมพันธุ์กับเพศผู้ การใช้แตนเบียนในการควบคุมแมลงศัตรูพืชให้มีประสิทธิภาพ ควรมีการเพาะเลี้ยงให้ได้แตนเบียนที่มีเพศเมียมากกว่าเพศผู้ เพื่อให้สามารถควบคุมแมลงได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น ซึ่งจากการศึกษาพบว่า วิธีการควบคุมระบบสืบพันธุ์ให้ไข่ได้รับการผสม หรือได้รับการปฏิสนธิต้องอาศัยปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารระหว่างเพศ ผู้และเพศเมีย การสื่อสารดังกล่าว ได้แก่ การสื่อสารด้วยเสียง (การขยับปีกของเพศผู้) และกลิ่น (pheromone) ซึ่งมีผลให้เพศเมียยอมรับการผสมพันธุ์ เพิ่มโอกาสให้ตัวอสุจิผสมกับไข่ได้มากยิ่งขึ้น แตนเบียนเพศเมียจะเลือกวางไข่ที่ได้รับการผสมลงในตัวอ่อนแมลงวันผลไม้ที่มี ขนาดใหญ่หรือสมบูรณ์ และมักจะเลือกวางไข่ที่ไม่ได้รับการผสมในแมลงวันผลไม้ขนาดเล็ก ดังนั้นไข่ที่ได้รับการผสมนอกจากจะผลิตตัวอ่อนเพศเมียที่มีประสิทธิภาพใน การกำจัดแมลงวันผลไม้ในรุ่นต่อไปแล้ว ยังสามารถกำจัดแมลงวันผลไม้ที่มีความสมบูรณ์และมีความสามารถในการทำลายผลไม้ ได้มากได้ดีกว่าอีกด้วย จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 01:13:16

ความคิดเห็นที่ 80 Baby Face ร่างต้น – Melone (5/16) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 01:13:48

ความคิดเห็นที่ 81 เป็นสแตนด์ในรูปของเครื่องคอมพิวเตอร์ มีความสามารถในการ “สร้างสแตนด์อัตโนมัติ” ที่แข็งแกร่งกว่าสแตนด์อัตโนมัติทั่วไป เนื่องจากมีการเรียนรู้ได้นั่นเอง วิธีการคือ Melone จะใช้เลือด-เซลล์ (DNA) ของคนที่จะใช้เป็นพ่อ มารวมเข้ากับร่างของผู้หญิงที่ใช้เป็นแม่ โดยต้องคำนึงถึงสุขภาพ วัน-เดือน-ปีเกิด และกรุ๊ปเลือด ให้เข้ากับพ่อด้วย  จากนั้นจะทำให้ท้อง และใช้เวลาตั้งครรภ์ 3.03 นาที  เมื่อคลอดออกมาแล้วจะต้องสอนให้สแตนด์มีการเรียนรู้สิ่งต่างๆ รวมถึงวิธีการฆ่า ซึ่งอารมณ์และสัญชาตญาณของสแตนด์ จะได้มาจากนิสัยของแม่ด้วย   สแตนด์จะมีการเติบโตและพัฒนาการต่างๆเหมือนมนุษย์ และปรากฏเป็นร่างเนื้อที่ใครๆก็เห็นได้  จะทำการสื่อสารกับ Melone ผ่านทางหน้าจอของสแตนด์ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 01:14:42

ความคิดเห็นที่ 82 Cream Starter ร่างต้น - Hot Pants (7/12) จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 01:15:11

ความคิดเห็นที่ 83 มีความสามารถในการ “เปลี่ยนเนื้อคนให้เป็นครีม”   กล่าวคือ สแตนด์มีรูปร่างเหมือนที่ฉีดสเปรย์  เมื่อร่างต้นใช้จะดูดเอาเนื้อส่วนมือ-แขนของตัวเองพุ่งออกมาเป็นครีมซึ่งมีความแรงและมีความคมขนาดตัดแขนคนให้ขาดได้  ครีมที่ออกมาจะยังคงเป็นเนื้อหนังของร่างต้น และเปลี่ยนสภาพกลับไปมาระหว่างครีม-มือได้   หากร่างต้นจับร่างเป้าหมายไว้ จะสามารถดูดเนื้อเป้าหมายออกมาได้ รวมทั้งใช้โจมตีด้วยการพ่นครีมใส่เป้าหมาย เช่น พ่นใส่หน้า ครีมนั้นจะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกับใบหน้า ปิดตาปิดจมูกให้ขาดใจตาย  และยังสามารถใช้ในการแปลงโฉมได้อีกด้วย โดยการฉีดสเปรย์บางๆไว้ที่หน้า และเมื่อแตะเป้าหมายก็จะเปลี่ยนหน้าได้ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 01:16:09

ความคิดเห็นที่ 84 สำหรับ Part 2 ก็หมดเท่านี้ครับ โปรดติดตาม Part 3 ไม่นานเกิดรอ! (^0^)/ จากคุณ : blame me เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 01:17:08

ความคิดเห็นที่ 85 สาระ+บันเทิง จากคุณ : Speak เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 01:18:37

ความคิดเห็นที่ 86 ติดตามๆๆๆ >< จากคุณ : zerostream เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 01:21:25

ความคิดเห็นที่ 87 เจาะเกาะติดกันเลยทีเดียว จากคุณ : ExoticVet เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 01:26:56

ความคิดเห็นที่ 88 สุดยอดครับ จากคุณ : ขี่รถถีบไปจีบเธอ เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 01:37:05

ความคิดเห็นที่ 89 เป็นหลักฐานอย่างดีเยี่ยมเลยว่า อาจารย์  อาราคิ  แกเป็นคนที่ ใส่ใจกับการ์ตูนของแกมาก ทุกอย่างในเรื่อง ทั้ง ตัวละครมนุษย์ และตัวละคร Stand ความสามารถของ Stand  เนื้อเรื่อง  ทุกอย่าง ล้วนแต่เก็บข้อมูลมาอย่างดี   จนทำให้ การ์ตูน ออกมา มีความสมบูรณ์แบบ ไร้ข้อบกพร่อง เช่นนี้ คนที่ไม่เคยอ่าน โจโจ้ สนใจหามาอ่าน เมื่อได้ดู กระทู้นี้ก็เป็นได้ น่านับถือ  จขกท. และ อาจารย์ อาราคิ จริงๆ เลยครับ นับวันนับเดือนนับปี อาจารย์แกยิ่งหน้าเด็กลงๆๆ เรื่อยๆ ช่างเป็นคนที่มีการพัฒนาในด้าน ร่างกาย ได้อย่างสร้างสรรค์ จริงๆ หรือ เพราะ อาจารย์แก เป็นผู้ใช้ Stand พวกความสามารถ เปลี่ยนรูปร่างหน้าตา กับ สังขาร และ ปลูกถ่าย-เนื้อเยื่อ กัน  (ฮา)   ท่าทาง Stand ของ อาจารย์จะชื่อว่า The Invulnerable (แปลว่า การคงประพันชาตรี) ล่ะมั้งครับ แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 54 10:36:15 แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 54 03:20:30 แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 54 03:04:59 จากคุณ : Blackrx เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 02:51:38

ความคิดเห็นที่ 90 สุโค่ย จากคุณ : UdornBoy2 เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 06:24:18

ความคิดเห็นที่ 91 ...เข้ามาโหวต จากคุณ : joyka เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 09:57:37

ความคิดเห็นที่ 92 ตั้งกี่กระทู้ ก็จะตามไปโหวตมันทุกกระทู้ เอิ๊ก ~ ขอสแตนด์จงอยู่คู่กับท่าน ~ จากคุณ : น้องหยิก เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 10:57:43

ความคิดเห็นที่ 93 อ่านจนต้องกลับไปให้กิ๊ฟ สาระสุดๆเล้ยยย จากคุณ : y2thumb เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 14:49:42