กรี๊ดดด พี่นิ้วไขว้ :) หวัดดีค่า หวัดดีพี่น้ำอ้อย พี่อี๊ด พี่แก้ว พี่จิ๊บและทุกคนรอบบ้านด้วยนะคะ ตื่นเต้นไปหน่อยค่ะ เจอพี่นิ้วไขว้มาแปลด้วย (จะแปลต่อให้ก็เหลืออยู่จิ๊ดเดียวเอง รอพี่มาแปลต่อดีกว่าเน๊อะ ก๊ากกก)
มาต่อบทความจาก JYJFiles ตอนที่ 3 จนจบแล้วค่ะ รักจิืมมี่ผู้เก่ง เริ่ดและแรงที่สุดง่ะ จุ๊บๆๆ
[Trans Op-ed] บทบรรยายเรื่องเครื่องสำอางค์ ตอนที่ 3: ความล้าหลังทางจิตใจ ทางสังคมและทางศีลธรรมไป 3,000 ปี (2)
A Cosmetic(s) Discourse, Part III: Psychological, Social and Moral Retardation by 3000 Years
Written by: Jimmie of TheJYJFiles
Shared by: TheJYJFiles
แปลไทย: ลูกแก้วใสกิ๊งระริ๊ง (walking along with JYJ @ pantip)
บทบรรยายเรื่องเครื่องสำอางค์ ตอนที่ 3:
ความล้าหลังทางจิตใจ ทางสังคมและทางศีลธรรมไป 3,000 ปี
การรักษาด้วยการช็อตไฟฟ้า
การยืนยันของบทบรรยายเรื่องเครื่องสําอางค์ในความศักดิ์สิทธิ์ของการทําตามเงื่อนไขสัญญาใดๆ การจูงใจโดยใช้คําว่าข้อบังคับ ความรับผิดชอบ เกียรติยศและอํานาจนั้น ชวนให้นึกถึงเรื่องการทดลองของมิลแกรมอันโด่งดัง ในปี 1962 นักจิตวิทยาและอาจารย์ประจํามหาวิทยาลัยเยล นายสแตนลีย์ มิลแกรม ได้ทําการทดลองที่ขึ้นชื่อในเรื่องผลการทดลองที่สร้างความปั่นป่วนและวิธีการทดลองที่เป็นที่ถกเถียงกัน (การทดลองเกือบถูกปฏิเสธจากคณะกรรมการจริยธรรมของมหาวิทยาลัย); ผลการทดลองได้รับการตีพิมพ์ในปี 1963 การทดลองนั้นประกอบด้วยคนหนึ่งในฐานะ "นักเรียน" ผู้ถูกมัดติดกับเก้าอี้โดยมีสายลวดไฟฟ้าอยู่ที่ข้อมือ ในขณะที่ "คุณครู" อีกคนผู้เป็นอาสาสมัครเข้าร่วมการทดลองนั้นนั่งอยู่อีกห้องและอ่านคําถามต่อนักเรียนผ่านไมโครโฟนออกลําโพง ถ้านักเรียนตอบคําถามผิด คุณครูจะต้องปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านลวดไปซ็อตนักเรียน ความแรงของกระแสไฟฟ้านั้นจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามจํานวนคําถามที่ตอบผิด เริ่มจากตํ่าสุดที่ 15 โวลต์จนถึงสูงสุดที่ 450 โวลต์ซึ่งแรงถึงขนาดทําให้ตายได้ มีคนอีกคนหนึ่งแต่งตัวเหมือนนักวิทยาศาสตร์เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมีอํานาจ อยู่ในห้องเดียวกับผู้ถูกทดลองซึ่งคือ "คุณครู" และกระตุ้นให้ผู้ถูกทดลองทําตามบทหรือหน้าที่ในฐานะคุณครูจนถึงที่สุด จนกระทั่งได้กดปล่อยกระแสไฟฟ้าแรง 450 โวลต์ที่ทําให้ถึงตายได้ต่อนักเรียนที่อยู่อีกห้องหนึ่ง
แต่ความจริงแล้ว นักเรียนนั้นเป็นเพียงนักแสดงที่จ้างมา เขาไม่ได้ถูกช็อตไฟฟ้าจริงแต่ระบบเสียงอีกอันหนึ่งเปิดเล่นเสียงกรีดร้องที่อัดไว้แล้วล่วงหน้าเพื่อให้คุณครูคิดว่านักเรียนนั้นกําลังเจ็บปวดแสนสาหัสเมื่อความแรงของกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จุดประสงค์ของการทดลองนี้ก็เพื่อหาผลของผู้ที่แสดงท่าทีมีอํานาจและแนวคิดทางศีลธรรมเชิง "เพื่อประโยชน์ต่อวิทยาศาสตร์" ต่อความสามารถของมนุษย์ที่จะทําให้อีกฝ่ายเจ็บปวดรุนแรง จะมีคนกี่คนที่กดปล่อยกระแสไฟฟ้า 450 โวลต์ เมื่อได้รับคําสั่งจากคนที่เขาเห็นว่ามีอํานาจมากกว่าหรือว่าเห็นแก่นัยยะของภาระหน้าที่เบื้องหลัง แม้ว่าจะได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความทุกข์ทรมานของคนอีกคน?
คุณสามารถหาดูวิดีโอและรายละเอียดถอดความจากการทดลองจริงได้ รวมถึงการแสดงเล่นเลียนแบบที่ดีและเหมือนจริงโดยสถานีโทรทัศน์ BBC ในปี 2009 อย่างไรก็ตาม เวอร์ชั่นของการทดลองที่เราชอบเป็นส่วนตัวคืออันนี้ [T/N ลูกแก้ว: คลิปวิดีโอแนบไว้ล่างสุดค่ะ]
ในการทดลองจริงของมิลแกรม รวมถึงการแสดงเลียนแบบทุกครั้งหรือการทดลองที่คล้ายคลึงกัน ผู้ร่วมการทดลองมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ร่วมการทดลองจนจบและปล่อยกระแสไฟฟ้าแรง 450 โวลต์ที่ทําให้ถึงแก่ชีวิต ในกลุ่มคนเหล่านั้นมีผู้ร่วมทดลองหลายคนที่บอกว่าเหตุผลที่ทําก็เพราะรู้สึกมี "หน้าที่ที่ต้องทําตาม" หรือว่าพวกเขา "ไม่อยากจะทําให้การทดลองเสียหาย" หรือว่าเขาต้อง "ให้เกียรติต่อข้อตกลง/สัญญา" หรือ "ผู้ชายชุดขาวคนนั้นบอกผมว่าอีกคนจะไม่เป็นอะไร" เหล่านี้เป็นเหตุผลที่บทบรรยายเรื่องเครื่องสําอางค์คงจะเห็นด้วยว่าถูกต้อง แม้ว่าผลคือจะมีมนุษย์คนหนึ่งที่ถูกช็อตไฟฟ้าจนตายถ้าหากการทดลองนั้นเป็นเรื่องจริง 100 เปอร์เซ็นต์ ที่จริงแล้ว ไม่เพียงแต่บทบรรยายเรื่องเครื่องสําอางค์จะเห็นว่าการจัดรูปแบบการทดลองของมิลแกรมนั้นเป็นการสร้างสถานการณ์ที่ยอมรับได้อย่างเต็มที่ แต่คงจะโปรยทั้งคําอนุญาตพร้อมให้ช็อคโกแลต (ไม่งั้นก็ให้โบนัสปลายปี)
ที่สุดแล้ว สิ่งที่สําคัญกว่าคือการดํารงไว้ซึ่งข้อตกลงที่มีเนื้อความเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายเดียวอย่างผ่อนปรนไม่ได้ และผู้มีอํานาจรักษาหน้าที่อย่างนั้นหรือ? คงไม่ใช่เรื่องที่คนต้องทุกข์ทรมานหรือความไม่มีศักดิ์ศรีทางกฎหมายอย่างแน่นอนงั้นสิ
ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่คนมีจู๋เป็นคนเลวร้าย...
แม้ว่าการอ้างอิงอย่างเหนื่อยยากถึงเรื่อง 'การรักษาคําสัญญา''เกียรติยศ' 'ความไว้ใจ' และ 'อํานาจที่ไม่สามารถล้มล้างได้' ทําให้บทบรรยายดูราวกับว่าชาญฉลาดทางศีลธรรม แต่บทบรรยายเรื่องเครื่องสําอางค์และพวกที่ถือมาตรฐานของบทบรรยายนี้แสดงถึงระบบการเห็นคุณค่าที่ตกยุคไปแล้วพร้อมๆ กับระบบศักดินา วิธีที่บทบรรยายอธิบายแนวความคิดนั้นถูกปั้นแต่งขึ้นมาอย่างจงใจ เพื่อค้ำจุนและสนับสนุนระบบศักดินาที่มีโครงสร้างแบบหัวหน้าก่อตั้ง และมีการดำเนินงานใช้ระบบพ่อ-ลูก รวมถึงมีต้นกำเนิดอย่างถืออุดมการณ์เหนือกว่าของเพศชาย ดังนั้นความหมายของคำว่า 'เกียรติยศ' 'การรักษาคําสัญญา''ความไว้ใจ'ฯลฯ ที่ถูกหยิบยกขึ้นโดยบทบรรยายนั้นเต็มไปด้วยความขัดแย้งในตัวเอง และการมีสองมาตรฐานที่จำเป็นต่อการดำรงอำนาจที่จุดสูงสุดของลำดับชั้นปกครองและมีประโยชน์มากที่สุดต่อสถานภาพของผู้นั้น
ดังนั้น ระบบการเห็นคุณค่าที่แสดงออกโดยบทบรรยายนี้จริงๆ แล้วเก่ายิ่งกว่าระบบศักดินาสมัยยุคกลาง มันทำให้ระลึกถึงช่วงเวลาอันสวยงามก่อนคริสตกาล ยามเมื่อการผิดสัญญานั้นจะได้รับการลงโทษด้วยการประหารหรือการถูกหั่นร่างกายออกเป็นสองท่อน ยามเมื่อชายมีภรรยา 16 คนเพื่อเอาพวกเธอไปเป็นของพนันหรือสัญญาแลกกับวัวของเพื่อนบ้าน ยามเมื่อ 50 เปอร์เซ็นต์ของประชากรมนุษย์ที่มีจู๋นั้นรู้สึกว่าพวกเขามีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้กับร่างกายของคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง
เพราะฉะนั้น เหล่า Hotel Girls และพี่สาวร่วมโลกทุกคนที่ไปคบค้าสมาคมกับพวกเธอ เราขอให้คุณโชคดีในการเป็นฝ่ายรับของระบบการเห็นคุณค่าที่พวกคุณสนับสนุนกันเก่งเหลือ แม้ว่าจะเป็นเรื่องน่าเสียดายที่พวกคุณถึงขีดจํากัดในการวิวัฒนาการเทียบเท่ากับมนุษยชาติเมื่อ 3,000 ปีที่แล้ว แต่ JYJ กับคนที่สนับสนุนพวกเขาทุกคนอยากจะมีชีวิตอยู่ในยุคศตวรรษที่ 21 มากกว่า โปรดมาอยู่ยุคเดียวกับเราเมื่อทําได้นะ