Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
บทวิเคราะห์ Love Story in Harvard : เรื่องของหัวใจที่ไม่ต้องใช้ "ตัวบท" อธิบาย โดยผมคนเดิมครับ ^ ^ ติดต่อทีมงาน

พบกับผม immeuble อีกครั้งนะครับ หลังจากที่ผมเคยเขียนบทวิเคราะห์เรื่อง New Heart และ On Air มาแล้ว มาวันนี้ผมขอนำเสนอบทวิเคราะห์ซีรีส์ Love Story in Harvard ครับผม ให้เข้ากับบรรยากาศเดือนแห่งความรัก ประกอบกับตอนนี้ที่ช่อง 7 นำกลับมาฉายอีกครั้งพอดี อาจจะยาวซักหน่อยนะครับ ลองอ่านกันดู รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน

**********************************************

Love Story in Harvard : เรื่องของหัวใจที่ไม่ต้องใช้  “ตัวบท” อธิบาย

      ครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อละคร Love story in Harvard หรือในชื่อภาษาไทย “กฎหมายรักฉบับฮาร์วาร์ด” สิ่งแรกที่โผล่เข้ามาในห้วงความคิดของผมเท่าที่คิดออกก็คือ มันก็คงเหมือนๆ กับละครเกาหลีรักโรแมนติคทั่วไปล่ะน่า เพียงแต่ละครเรื่องนี้อาจจะขายภาพความเป็นอินเตอร์หน่อย ด้วยการไปถ่ายทำที่อเมริกา มันเลยชวนให้สนใจและอยากติดตามมากขึ้น มีพระเอกหล่อ นางเอกสวย มีพระรองอกหัก มีนางร้ายขี้อิจฉาจอมวีน ก็ครบองค์ประกอบละครรักโรแมนติคแล้ว แต่แล้วความคิดทั้งหมดของผมในครั้งแรกก็ได้เปลี่ยนไป เมื่อผมได้ติดตามดูละครเรื่องนี้เรื่อยมา มารู้ตัวอีกทีก็ถอนตัวไม่ได้เสียแล้ว  นอกจากเรื่องความรักที่สุดแสนโรแมนติคที่เป็นหัวใจหลักของละครเรื่องนี้แล้ว ยังเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกหลายเรื่องที่นำเสนอผ่านละครนี้

     Love Story in Harvard เป็นละครของช่อง SBS ของเกาหลีใต้ ออกอากาศเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2004 จนถึงมกราคม 2005 และนำมาออกอากาศทางโทรทัศน์ในประเทศไทยครั้งแรกทางช่อง 7 ช่วงกลางปี 2006 เป็นละครที่ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในเกาหลีและไทย และล่าสุด ช่อง 7 ก็ได้นำมาออกอากาศอีกครั้งในปี 2011 นี้ ช่วงหนังรอบเช้าวันพุธถึงศุกร์ 8.30 น. เริ่มต้นตั้งแต่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นผลงานสร้างชื่อที่โดดเด่นมากของพระเอก Kim Rae Won และนางเอก Kim Tae Hee แม้ว่าจะผ่านไปแล้ว 7 ปีก็ตาม  แต่ก็เป็นละครที่หลายคนยังคงตราตรึงและประทับใจอยู่จนถึงทุกวันนี้


เรื่องย่อ

    เรื่องราวเริ่มต้นที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด “คิมฮอนวู” นักศึกษากฎหมายหนุ่มจากเกาหลี ผู้มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะเรียนกฎหมายเพื่อไปปกป้องประเทศ ครอบครัวของฮอนวูเป็นครอบครัวนักกฎหมายโดยสายเลือด ปู่ของเขาเคยเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา และพ่อของเขาก็เคยเป็นทนายฝีมือเยี่ยม อีกทั้งฐานะทางบ้านก็ดี “ฮองจองมิน” หรือ “อเล็กซ์ ฮอง” นักศึกษากฎหมายชาวเกาหลีที่ย้ายไปอยู่อเมริกาตั้งแต่ 2 ขวบ เป็นคนฉลาดหลักแหลม มีความทะเยอทะยานสูง พ่อของเขาเคยถูกพ่อของคิมฮอนวูในฐานะทนายของบริษัทฟ้องร้องจนในที่สุดก็แพ้ ต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างและต้องอพยพไปอเมริกาเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ต่อมาพ่อของเขาก็เสียชีวิต เขาจึงมุ่งมั่นอย่างมากเพื่อไขว่คว้าหาความสำเร็จในชีวิต ทั้งสองคนตกหลุมรัก “ลีซูอิน” นักศึกษาแพทย์สาวชาวเกาหลี ที่อพยพมาอยู่อเมริกาตั้งแต่ 9 ขวบกับพ่อของเธอหลังจากที่สูญเสียแม่ไป บ้านของเธอมีฐานะทางการเงินไม่ค่อยดีนัก พ่อของเธอเปิดร้านบาร์บีคิวเล็กๆ ในตลาด ขณะที่เธอก็ต้องทำงานพาร์ตไทม์หลายแห่งเท่าที่เธอทำได้เพื่อมาเป็นเงินทุนสำหรับใช้เรียนและดำรงชีวิต แต่เธอก็เป็นที่คนจิตใจดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่นที่ยากไร้ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ทั้งคิมฮอนวู และฮองจองมินหลงรักเธอ และพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะครอบครองหัวใจของเธอให้ได้ ในที่สุด ก็เป็นฮอนวูที่ได้หัวใจเธอไป และจองมินก็ต้องผิดหวัง แต่แล้ววันหนึ่ง..เธอก็จากฮอนวูไป เมื่อเธอได้รับทุนไปเป็นแพทย์อาสาที่อเมริกาใต้ ตามความฝันของเธอเองเมื่อเข้ามาเรียนแพทย์ที่นี่ แต่ในใจลึกๆ ของเธอแล้วนั้น ไม่เคยรักใครมากเท่าฮอนวู แต่เธอก็เลือกที่จะเดินตามฝันของตัวเอง ขณะที่ฮอนวูก็ต้องทนทุกข์ทรมานและเจ็บปวดกับการเดินจากไปของซูอิน และเขาก็ไม่สามารถลืมเธอได้เลย

     หลายปีต่อมา เมื่อจบการศึกษา ฮอนวูกลับมาเป็นทนายความที่โซล โดยที่หัวใจของเขาไม่ได้เปิดรับใครอื่นนอกจากซูอิน ขณะที่ซูอินก็ทำงานวิจัยทางการแพทย์ให้กับมูลนิธิแฮมิลตั้น  ต้องเดินทางไปทั่วโลก ส่วนจองมินก็เป็นทนายความของสำนักงานกฎหมายเจมส์ ยู ในอเมริกา และหมั้นกับ “ยูจินอา” ลูกสาวของเจ้าของสำนักงานกฎหมายที่เขาทำงานอยู่นั้นเอง เพียงเพื่อหวังจะใช้เป็นบันไดสู่ความสำเร็จ แต่ในใจเขาก็ยังคงมีแต่ซูอินคนเดียวเท่านั้น ทั้งสามคนต้องกลับมาเจอกันอีกครั้งที่โซล เมื่อซูอินกลับมาทำวิจัยให้มูลนิธิแฮมิลตั้นที่นี่สองเดือน ขณะที่ฮองมินก็บินจากอเมริกามาเพื่อจัดการคดีความในฐานะทนายความของบริษัท DA Chemical ที่ถูกกล่าวหาว่าปล่อยสารพิษ ทำลายสุขภาพของชาวบ้านในหมู่บ้านชินมันรี ขณะที่ทนายความเดิมของชาวบ้านในคดีนี้ก็คือทนายรุ่นพี่ในสำนักงานกฎหมายของฮอนวู ซึ่งต่อมาเขาเสียชีวิตลง ฮอนวูจึงอาสาเข้ามารับช่วงต่อคดีนี้ ทั้งสามคนก็กลับมาพบกันอีกครั้งด้วยหน้าที่และจุดยืนที่แตกต่างกัน ผลสรุปสุดท้ายของการต่อสู้คดีความ ความรักที่ไม่ลงตัวของทั้งฮอนวูและซูอินจะมีบทลงเอยเช่นไร ความหวังเล็กๆ ของจองมินจะสำเร็จหรือไม่ คุณสามารถหาคำตอบได้จากละครเรื่องนี้ และรับรองได้ว่าไม่ผิดหวัง มีครบทุกรสชาติแน่นอนครับ


ทำไมต้อง Harvard?

     เป็นที่ทราบกันดีว่า Harvard เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของโลก ตามการจัดอันดับของหลายๆ สำนักในปัจจุบัน ซึ่งก็เป็นเครื่องแสดงถึง “มาตรฐาน” ในการเรียนการสอนที่ยอดเยี่ยมที่สุด จะสังเกตเห็นวิธีการเรียนหนังสือของนักศึกษาในละครเรื่องนี้ จะนำเสนอภาพการเรียนแบบ “สัมมนา” ที่ผู้เรียนต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือหลายสิบเล่ม เพื่อมาสนทนากับอาจารย์และเพื่อนร่วมชั้น โดยที่ต้องสามารถคิด วิเคราะห์ และโต้แย้งได้อย่างมีเหตุผล ขณะที่การสอบก็ต้องค้นคว้าและเรียบเรียงออกมาเป็นข้อเขียน “ในแบบของตนเอง” แตกต่างจากวิธีการเรียนหนังสือในสังคมตะวันออกอย่างยิ่ง (โดยเฉพาะประเทศไทย) ที่เน้นการท่องจำอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่เว้นแม้แต่ระดับอุดมศึกษา ที่ “เลคเชอร์” ของอาจารย์เปรียบเหมือน “คำสอนอันศักดิ์สิทธิ์” ที่ผู้เรียนต้องเอาไปเขียนตอบ (และวิธีนี้ก็ทำให้นักศึกษาไทยหลายคนได้คะแนนดี ได้เกรดดี จนหลงนึกไปว่าตัวเองเก่ง ทั้งที่ตัวเองยังไม่รู้อะไรเลย)

     ผมคิดว่าที่ผู้สร้างเลือกฮาร์วาร์ดเป็นฉากหลังและจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดของละครเรื่องนี้ เพราะต้องการที่จะนำเสนอ “ศักยภาพ” ของเกาหลีในระดับโลก ผ่าน “การศึกษา” นั่นเอง การที่ชาวเกาหลีสองคนใน Law School และหนึ่งคนใน Medical School สามารถเรียนในมหาวิทยาลัยที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในโลก เรียนโหดที่สุด สอบเข้ายากที่สุด รวมทั้งสอบออกยากที่สุด จึงแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่ไม่ธรรมดาของชาวเกาหลีนั่นเอง ฮอนวู จองมิน และซูอิน จึงไม่ได้เป็นแต่เพียงนักศึกษาชาวเกาหลีเท่านั้น แต่ยังเป็นภาพสะท้อนของ “ชาวตะวันออก” ที่มีศักยภาพทัดเทียมและไม่ด้อยไปกว่า “ชาวตะวันตก” และยิ่งไปกว่านั้น ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าผู้สร้างได้ทำให้มันชัดเจนและ “เหนือชั้น” มากไปอีก คือ ทำให้ทั้งฮอนวูและจองมินเล่นบท “ผู้นำ” นักศึกษาคนอื่นๆ ในชั้นเรียน มันชัดเจนมากตรงที่คนผมสีทอง ตาสีฟ้า ไม่ได้มีบทบาทโดดเด่นอะไรมากมายทั้งการสัมมนาในชั้นเรียนและการทำงานกลุ่ม ขณะที่คนผมสีดำ ตาสีดำ มีเพียงสองคนในชั้นเรียน แต่กลับมีบทบาทนำอย่างโดดเด่นมาก ทั้งการออกความคิด การทุ่มแรงกายแรงใจ การวางแผนกลวิธีต่างๆ จึงสะท้อนว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว ตะวันตกไม่สามารถผูกขาดบท “ผู้นำ” ได้แต่เพียงผู้เดียวอีกต่อไป ถึงแม้มันจะเป็นละคร แต่ผมก็เชื่อว่าในชีวิตจริงในหลายวงการ ก็มีบทพิสูจน์ชัดเจนว่า ตะวันออกก็ไม่แพ้ตะวันตกครับ


เกาหลีเก่า vs เกาหลีใหม่

     เป็นภาพความขัดแย้งที่ชัดเจนมากที่นำเสนอผ่านละครเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิธีคิดหรือวิธีปฏิบัติ เกาหลีเก่าในที่นี้หมายถึงคนรุ่นพ่อ ทั้งพ่อของฮอนวูและซูอิน ส่วนเกาหลีใหม่หมายถึงฮอนวู ซูอิน และจองมิน เกาหลีเก่าเป็นพวกที่ยังมีความคิดแบบอนุรักษ์นิยม โดยเฉพาะพ่อของฮอนวู สิ่งที่บ่งชี้ความคิดดังกล่าว คือ การบังคับให้แต่งงานคลุมถุงชนกับผู้หญิงที่พ่อเลือกมาให้ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าวิธีการแบบนี้จะยังคงมีอยู่ในโลกยุคโลกาภิวัตน์ในสังคมตะวันออก ส่วนพ่อของซูอินนั้น ยังมีกลิ่นอายความเป็นอนุรักษ์นิยมอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับเป็นพวกหัวเก่าเสียหมด อาจเป็นเพราะย้ายไปอยู่อเมริกานานแล้ว จึงเปิดรับความคิดแบบเสรีนิยมมากขึ้น กรณีเก่า-ใหม่นี้ปะทุเป็นความขัดแย้งที่ชัดเจนในครอบครัวของฮอนวู ส่วนครอบครัวของซูอินนั้นกลับไม่มีปัญหาความขัดแย้งแต่อย่างใด

     เกาหลีใหม่นั้น มิใช่เกาหลีที่อยู่ในโลก “เกาหลี” อย่างเดียวโดยไม่เปิดรับภายนอกเหมือนเดิมอีกต่อไป แต่เป็นเกาหลีที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เสรีภาพในการเลือกกำหนดชีวิตตนเอง” (Self - Determination) สังเกตได้จากฮอนวูเลือกที่จะเป็นทนายด้วยฝีมือตัวเอง ช่วยเหลือผู้ไม่มีปากเสียงในคดีความ และพยายามที่จะไม่ใช้อิทธิพลของพ่อเพื่อประโยชน์ในหน้าที่การงาน (อันเป็นวิธีแบบเก่า) ส่วนซูอินก็เลือกที่จะเป็นแพทย์อาสาให้กับมูลนิธิแฮมิลตั้น เดินทางไปทำวิจัยทางการแพทย์ทั่วโลก ซึ่งเป็นการเลือกทางเดินของเธอเอง แม้ว่าพ่อเธอจะอยากให้เธอคอยอยู่ดูแลเขาข้างๆ แต่ที่สุดแล้วก็เคารพการตัดสินใจและยอมให้เธอเดินตามความฝันของตัวเองโดยไม่บังคับลูก ขณะที่จองมินใฝ่ฝันและทะเยอะทะยานที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพทนายความ อีกทั้งสูญเสียพ่อแม่ไปแล้ว จึงมีความมุ่งมั่นอย่างมากกล่าวให้ถึงที่สุด ฉากหลังที่เป็นประเทศสหรัฐอเมริกาก็มีนัยยะสำคัญต่อเรื่อง “เสรีภาพ” อย่างยิ่งด้วยเช่นกัน

     นอกจากนี้ ละครเรื่องนี้ยังนำเสนอภาพ “เกาหลีใหม่” ผ่านทาง “ไลฟ์สไตล์” ของตัวละครตลอดทั้งเรื่องด้วย เช่นเรื่องอาหาร ผมคิดว่าเราเห็นการกิน “ฟาสต์ฟู้ด” แบบอเมริกัน มากกว่า “กิมจิ” หรืออาหารเกาหลีอื่นๆ เสียอีก หรือเรื่องดูหนังฟังเพลง มีการพูดถึง หรือนึกถึงเพลงและหนังอเมริกัน “คลาสสิค” เสียมาก หรือแม้แต่เรื่องกีฬา สังเกตได้ว่าทั้งฮอนวูและจองมิน จะเล่นกีฬาแข่งกันอยู่อย่างเดียวคือ “บาสเก็ตบอล” ซึ่งเป็นกีฬาประจำชาติอเมริกัน แทนที่จะเป็นเบสบอล หรือฟุตบอล ซึ่งเป็นกีฬายอดนิยมในเกาหลี

     สิ่งที่ผมต้องการจะบอกคือ โลกเปลี่ยนไปแล้ว เราไม่อาจดำรงอยู่ด้วย “ความเป็นตัวเรา” แบบยึดมั่นถือมั่น ไม่เปิดรับโลกภายนอกเลยอีกต่อไปแล้ว ทั้งฮอนวู ซูอิน และจองมิน พูดกันอย่างง่ายๆ ก็คือเกาหลีที่เป็น “อินเตอร์” แต่ไม่ใช่อินเตอร์ในแบบที่ว่าตามตะวันตกไปเสียหมดทุกเรื่อง แต่เป็นอินเตอร์ที่สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมแบบตะวันตกได้ พูดภาษาอังกฤษได้ ใช้ชีวิตแบบอิสรเสรี และสิ่งที่ผมคิดว่าสำคัญที่สุดของความเป็นอินเตอร์ของเกาหลีใหม่เหล่านี้ คือ พวกเขาสามารถทำงานในบรรยากาศความเป็นสากลได้ จุดนี้เป็นจุดสำคัญสำหรับหลายๆ หน่วยงาน โดยเฉพาะองค์กรข้ามชาติทั้งบริษัท องค์การระหว่างประเทศ หรือ NGOs ต่างก็ต้องการคนลักษณะเช่นนี้ไปทำงานในปัจจุบัน


ความคิดเรื่องกฎหมายกับความยุติธรรม : จุดกำเนิด “ทนายเทพ” และ “ทนายมาร”

     สิ่งที่จะไม่พูดไม่ได้เสียเลยในละครเรื่องนี้ คือเรื่อง “กฎหมาย” กับ “ความยุติธรรม” แน่นอนว่าละครเรื่องนี้ได้ฉายภาพความแตกต่างแบบสุดขั้วของทั้งสองสิ่งนี้ โดยผ่านทางฮอนวูและจองมิน กล่าวคือ ฮอนวูเป็นภาพตัวแทนของชุดความคิดที่ว่าด้วยกฎหมายมีไว้ใช้ปกป้องคนอ่อนแอ คนยากไร้ คนที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงในสังคม เพราะฉะนั้น ความยุติธรรมสำหรับฮอนวู ก็คือการที่ “คนตัวเล็ก” ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างถูกต้องเหมาะสมและเสมอภาคต่อหน้ากฎหมาย มิใช่ถูกเอารัดเอาเปรียบอีกต่อไป ขณะที่จองมินเป็นภาพตัวแทนของชุดความคิดที่ว่าด้วยกฎหมายเป็นเครื่องมือแห่งอำนาจ ที่เอาไว้ใช้ปกป้องผู้มีอำนาจ ผู้มีอิทธิพล เพื่อรักษาผลประโยชน์นั้นไว้ เพราะฉะนั้น ความยุติธรรมสำหรับจองมิน ก็คือ “คนตัวใหญ่” ต้องไม่ได้รับผลกระทบกระเทือน และตัวเขาเองก็จะต้องประสบความสำเร็จ ได้ผลตอบแทนอย่างงาม ซึ่งการกระทำดังกล่าวก็ไม่ได้ผิดกฎหมายแต่อย่างใด ด้วยฝีมือการซิกแซ็กทางกฎหมายขั้นเทพของจองมิน แม้ว่าในตอนท้ายเขาจะเริ่มรู้สึกผิดต่อสิ่งที่เขาได้ทำไป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้เขากล้าทำเช่นนั้น ก็เป็นเพราะความทะเยอทะยานสูงของตัวเขาเอง

     ชุดความคิดเป็นตัวกำหนด “สมอง” และ “การกระทำ” ของตัวเรา เมื่อชุดความคิดเรื่อง “กฎหมาย” และ “ความยุติธรรม” ตามที่นำเสนอผ่านละครเรื่องนี้มีสองชุด ดังนั้น มันจึงเป็นบ่อเกิดของ “ชุดการกระทำ” อีกสองชุดตามมา กล่าวคือ ฮอนวูก็เป็นภาพสะท้อนชุดการกระทำแบบ “ทนายเทพ” ที่เล่นบทเป็นผู้พิทักษ์และปกป้อง “คนตัวเล็ก” ในสังคม ขณะที่จองมินก็เป็นภาพสะท้อนชุดการกระทำแบบ “ทนายมาร” ที่เล่นบทเป็นผู้ปกป้อง “คนตัวใหญ่” โดยไม่สนใจใยดีกับ “คนตัวเล็ก” เพียงเพื่อหวังจะประสบความสำเร็จส่วนตัวด้วย

      ในทัศนะผม ทนายเทพ และทนายมารมีอยู่จริงอย่างปฏิเสธไม่ได้ในทุกสังคม เพียงแต่ประเด็นของผมอยู่ที่การตั้งคำถามว่า แท้จริงแล้วเราสามารถจัดประเภทคนในลักษณะ “สุดขั้ว” ได้ในทุกอาชีพ ทุกตำแหน่ง ทุกสถานะจริงหรือ? มันสามารถแบ่งแยกคนที่ “ดีที่สุด” กับ “เลวที่สุด” ได้ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ? เพราะโดยส่วนตัวผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องอะไรที่มันสุดโต่งมากนัก แต่เพราะมันเป็นละคร ผมจึงเข้าใจผู้สร้างที่ต้องการนำเสนอภาพให้มันแตกต่างชัดเจนมากขนาดนี้ เพื่อให้เห็นภาพ “พระเอก – ผู้ร้าย” ที่ชัดเจน

     แต่ในชีวิตจริงผมคิดว่ามนุษย์เราก็ยังเป็นมนุษย์ มีกิเลสตัณหา ทนายความก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ผมจึงไม่คิดว่าจะมีทนายที่ “ดีที่สุด” หรือ “เลวที่สุด” ได้ขนาดนั้น แต่ผมกลับเชื่อว่าความดีเลวมันมีปะปนคละเคล้ากันไปในแต่ละคนเสียมากกว่า ทั้งอาชีพทนายและอาชีพอื่นๆ (อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวผมนะครับ  ผู้อ่านอาจจะไม่เห็นด้วยกับผมก็ได้ สามารถถกเถียงกันได้ในประเด็นนี้)


บทพิสูจน์รักแท้ : แล้วเราก็หากันจนเจอ

     ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน แต่สำหรับความรักของฮอนวูและซูอิน คงไม่ได้พิสูจน์กันด้วยระยะทางที่ไกลแสนไกล แต่พิสูจน์ด้วยระยะเวลาของ “ความรัก” ที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใด “หัวใจก็ยังคงมีแต่เธอคนเดียวเท่านั้น” เมื่อซูอินเดินทางไปเป็นแพทย์อาสาที่อเมริกาใต้ ทิ้งฮอนวูไว้แต่เพียงลำพัง ทั้งที่เธอก็รักเขามากอย่างที่ไม่เคยรักใครมาก่อน แต่เธอก็เลือกตามความฝันตัวเอง ทั้งสองคนต่างก็ต้องเจ็บปวดที่ต้องพลัดพรากจากกัน เวลาผ่านไปหลายปี ทั้งสองคนต่างก็ไม่ได้เปิดรับใครอื่นเข้ามาในหัวใจ ต่างยังเก็บภาพความทรงจำของเธอคนเดียวเอาไว้ ด้วยความหวังว่า วันหนึ่ง จะได้พบเธอผู้เป็นที่รักอีกครั้ง

    แล้วโชคชะตาก็นำพาให้ทั้งคู่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งที่โซล เมื่อซูอินกลับมาทำวิจัยทางการแพทย์ให้กับมูลนิธิแฮมิลตั้น ส่วนฮอนวูเป็นทนายความ และด้วยความเกี่ยวข้องกันเรื่องงานในคดีความของบริษัท DA Chemical กับชาวบ้านหมู่บ้านชินมันรี ทำให้ทั้งคู่ต้องมาเจอหน้ากันอีกครั้ง เบื้องแรกที่ทั้งสองต้องเจอหน้ากันอีกครั้ง ความรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจก็หวนคืนกลับมา ฮอนวูเชื่อมาตลอดว่าซูอินทิ้งเขาไป ขณะที่ซูอินก็รู้สึกผิดมาโดยตลอด เธอรักฮอนวูมาก แต่เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่า “ขอโทษ” ด้วยความรู้สึกเช่นนี้เองที่ทำให้ทั้งคู่ต่างก็ต้องหลอกตัวเอง และหลอกอีกฝ่ายหนึ่งว่า “ลืมเธอไปแล้ว” เพื่ออำพรางความรู้สึกที่แท้จริง ไม่ให้ต้องรู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป

     แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม รักแท้ก็คือรักแท้ รักแท้นั้นก้าวข้าวมิติเรื่องกาลเวลาและสถานที่ ทั้งสองคนจึงไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไป ในทางกลับกัน กลับค่อยๆ เปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงว่า “ขาดเธอไม่ได้” อีกต่อไป ถ้าไม่รักกันจริงก็คงไม่เก็บเธอไว้ในใจแต่เพียงผู้เดียวมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา สำหรับผม รักแท้เช่นนี้น่าทึ่ง และน่าประทับใจมาก ถึงแม้ว่าจุดเริ่มต้น จะใช้เวลาเพียงไม่นานเพื่อรู้จักคำว่า “รัก” แต่หลังจากนั้น ละครเรื่องนี้ได้นำเสนอว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้น มิใช่เป็นเพียงความหลงชั่ววูบ แต่มันเป็น “ความรัก” ที่แท้จริง แม้ต้องพลัดพรากไปนานเพียงใด หัวใจยังคงเหมือนเดิม ในที่สุดโชคชะตาก็นำพาให้ “เราหากันจนเจอ” ความรักแบบนี้จะมีอยู่ในชีวิตจริงหรือไม่ ผมไม่รู้ แต่ตราบเท่าที่เราเชื่อว่ารักแท้มีอยู่จริง ไม่ว่าจะห่างไกลเพียงใด หรือเวลาผ่านไปนานเท่าไร มันก็ยังคงมีอยู่จริง รอให้เราค้นพบอยู่ แม้ว่าเราอาจต้องรอปาฏิหาริย์ แต่หลายครั้งปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นในชีวิต โดยที่เราไม่ทันตั้งตัวมิใช่หรือ?


“ความรักชนะทุกสิ่ง”

    ความรักมีอานุภาพมากเกินกว่าจะมีสิ่งใดต้านทานได้ อานุภาพของมันไม่สามารถวัดออกมาเป็นค่าตัวเลขทางสถิติได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เราไม่รู้ว่ามันมีปริมาณเท่าไร มีความสามารถขนาดไหน แต่เรารู้ว่าเมื่อใดที่เรามีความรัก เมื่อนั้นก็ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่เราจะทำไม่ได้ ความรักจึงเปรียบเสมือน “พลังพิเศษ” ที่ผลักให้เรากล้าและมีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป โดยเฉพาะอุปสรรคและปัญหาต่างๆ ในชีวิต จากในเรื่อง ความรักของฮอนวูและซูอิน ได้ช่วยให้ทั้งคู่ฝ่าฟันอุปสรรคสำเร็จหลายต่อหลายครั้ง

     ความรักมีพลังผลักดันฮอนวูอย่างไร? ตั้งแต่เมื่อครั้งเรียนที่ฮาร์วาร์ด ตอนที่ซูอินถูกคณะกรรมการสอบสวนวินัยเรื่องการรักษาผู้ป่วยโดยไม่มีใบอนุญาต และเกิดผลข้างเคียงจากการรักษา โดยที่เธอทำการรักษาคนหมดสติ ด้วยการใช้มีดกรีดที่คอเพื่อเปิดช่องลมหายใจ ถ้าไม่ใช่เพราะความรัก ฮอนวูก็คงไม่มุ่งมั่นค้นคว้าหาข้อมูลทางกฎหมายเพื่อจะใช้ช่วยซูอินข้ามวันข้ามคืนอยู่ที่ห้องสมุด ปรึกษากับศาสตราจารย์หลายต่อหลายครั้ง จนในที่สุดเขาก็ได้ใช้ความรู้ทางกฎหมายนั้นปกป้องเธอจากการถูกลงโทษจากคณะกรรรมการสอบสวนวินัย และจากเหตุการณ์นั้นจึงทำให้ซูอินรักและประทับใจในตัวฮอนวูมาก

     แล้วความรักมีพลังผลักดันซูอินอย่างไร? เมื่อตอนที่ทั้งคู่กลับมาเจอกันอีกครั้งที่โซล แม้ว่าจะมีเรื่องกินแหนงแคลงใจกันตอนที่ซูอินทิ้งฮอนวูไป แต่เมื่อปรับความเข้าใจกันได้เหมือนเดิม และกลับมาคบกันอีกครั้ง ก็ทำให้ชิวิตทั้งเธอและเขากลับมามีความสุขอีกครั้ง แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อซูอินพบว่าตัวเองกำลังเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดร้ายแรงที่ไขกระดูก ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป แต่มีประโยคหนึ่งที่ซูอินจะพูดอยู่กับตัวเอง พูดกับพ่อ หรือแม้แต่พูดกับจองมินเสมอ ก็คือ “ฉันจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อฮอนวู ฉันต้องไม่ตาย” เพราะความรักที่เธอมีต่อฮอนวูมันมากเกินกว่าที่เธอจะยอมตายและจากเขาไปอีกครั้ง ดังนั้น เธอจึงต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ ความรักนี้เองที่เป็นพลังจุดความหวังในชีวิตของเธอในการก้าวพ้นอุปสรรคร้ายแรงนี้ไป แม้ว่าอาการของเธอจะทรุดลงเรื่อยๆ และเซลล์มะเร็งก็เริ่มแพร่กระจายมากเกินกว่าจะทำคีโมไหว แต่เพราะความรัก ทำให้เธออยู่ต่อไปได้ และบทสรุปสุดท้าย เธอก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้จริงๆ (ส่วนว่าเป็นไปได้อย่างไร ต้องติดตามดูเอาในเรื่องครับ)

     ฉะนั้น ความรักจึงมีความสามารถพิเศษบางประการที่ไม่สามารถตรวจสอบหรืออธิบายด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้ ไม่ได้เป็นสสาร จับต้องไม่ได้ แต่ทำไม มันถึงมีพลานุภาพกับชีวิตของเราได้มากถึงเพียงนี้ ผมเองก็ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้เหมือนกัน ผมจึงแนะนำว่า ถ้าอยากรู้ว่าความรักมีอานุภาพมากเพียงใด ก็ต้องลอง “มีรัก” ดูสักครั้งสิครับ แล้วจะรู้ว่า “รัก..มันใหญ่มาก”


“รักแท้ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน”

     การทำสิ่งใดๆ ก็ตามด้วยใจที่บริสุทธิ์ ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนไม่มีจุดประสงค์อื่นใดแอบแฝง นอกไปจากทำให้คนที่เรารักนั้นมีความสุข สิ่งนี้ถือเป็น “รักแท้” อย่างแท้จริง สิ่งที่ฮองจองมินไม่มี ไม่เข้าใจ และไม่อาจทำได้อย่างคิมฮอนวู เพื่อพิชิตใจลีซูอิน ก็คือสิ่งเหล่านี้เอง อาจเป็นเพราะด้วยตัวเขาเองที่ต้องเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยว มีปมในวัยเด็กจากการที่ครอบครัวเขาต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างภายหลังแพ้คดี เขาจึงทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะประสบความสำเร็จ ทว่า เขารู้จักแต่วิธีที่ “หยาบกระด้าง” โดยเขาเชื่อว่าถ้าตัวเขาประสบความสำเร็จ ซูอินจะมารักเขาเอง แต่หารู้ไม่ ความรักระหว่างคนสองคนไม่ได้ “คลิก” กัน ด้วยเหตุเพียงเพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีอำนาจ มีเงินทอง เขาไม่เคยรู้จักวิธีที่ “นุ่มนวล” ซึ่งง่ายกว่าวิธีหยาบกระด้าง นั่นคือ ทำสิ่งใดก็ตามให้อีกฝ่ายหนึ่งเห็นถึง “หัวใจ” ที่แท้จริง ให้เธอรักเราในแบบเรา สิ่งที่สะท้อนความไม่เข้าใจในเรื่องนี้ชัดเจนที่สุด ก็คือตอนที่ซูอินไปขอร้องจองมินให้ช่วยฮอนวูในคดีความบริษัท DA Chemical หลังจากขึ้นศาลนัดแรกแล้ว ฮอนวูถูกกล่าวหาว่าจ้างพยาน และอาจถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทนายความ ประโยคที่จองมินพูดกับซูอินก็คือ “ถ้าผมช่วยเขาแล้ว ผมจะได้อะไร คุณจะหันกลับมารักผมมั้ยล่ะ” พร้อมกับร้องไห้เบาๆ ด้วยเหตุนี้ เพราะว่าเขาไม่เคยทำอะไรด้วยหัวใจ เขาจึงไม่มีทางรู้จักความรักที่แท้จริงได้

     ในทางกลับกัน ฮอนวูถึงแม้จะไม่ได้ฉลาดหลักแหลม “ขั้นเทพ” แบบจองมินในเรื่องกฎหมาย เขาอาจจะไม่ได้มีความทะเยอทะยานที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน แต่สิ่งที่เขาทำเสมอมา คือ ทำทุกอย่างด้วยใจจริง ให้ซูอินได้เห็นหัวใจที่แท้ของเขา เช่นในตอนที่ยังเรียนที่ฮาร์วาร์ด เขาก็เข้าไปช่วยดูแลผู้ป่วยติดเชื้อเอดส์กับชมรมอาสาสมัครดูแลผู้ป่วยติดเชื้อเอดส์ที่ซูอินเป็นสมาชิก แม้ว่าจุดเริ่มต้นก็คือต้องการอยู่ใกล้เธอ แต่นานวันเข้าเขาก็เริ่มผูกพันกับกิจกรรมนี้ และทำให้เขายิ่งผูกพันกับเธอมากขึ้น หรืออยู่เป็นกำลังใจให้เธอในยามที่เธอท้อแท้และสิ้นหวังตอนที่เธอถูกกรรมการวินัยสอบสวน หรือการช่วยเธอทำกับข้าว ทำงานบ้าน ทั้งที่เป็นงานของเธอเองที่เธอมารับจ้าง แต่สิ่งเหล่านี้ก็แสดงให้เห็นถึงหัวใจที่แท้ และเธอเองจากที่เคยปิดประตูหัวใจมาตลอด ก็ค่อยๆ เปิดรับฮอนวูเข้ามา เป็นคนแรก และคนเดียวในหัวใจเธอ หรือกระทั่งตอนที่กลับมาโซล ภายหลังจากที่ปรับความเข้าใจกันได้แล้ว เขาก็ยังคงทำเหมือนเดิม คือ ไม่ทอดทิ้งเธอ และดูแลเธออย่างดีที่สุด แม้ว่าจะมีอุปสรรคมากมาย เช่น พ่อบังคับให้เขาคลุมถุงชนแต่งงานกับผู้หญิงที่จัดเตรียมไว้ หรือ ตอนที่ซูอินถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลืองชนิดร้ายแรงที่ไขกระดูก เช่นนี้แล้ว ลองจินตนาการตามว่า ผู้ชายสองคนที่รักผู้หญิงคนเดียวกัน คนหนึ่งทุ่มเทกายและใจให้กับเธอแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่คาดหวังว่าจะได้รับรักตอบแทนหรือไม่ ถึงยังไม่ได้ ก็จะทำอยู่ต่อไป ขณะที่อีกคนหนึ่ง คาดหวังจะได้รับจากเธอคนเดียวทันที แต่ไม่ได้ทำอะไรที่แสดงให้เห็นถึงหัวใจที่แท้จริง เช่นนี้แล้ว ถ้าคุณเป็นผู้หญิง คุณก็คงมีคำตอบในใจแล้วใช่ไหมว่า คุณจะเลือกรักคนแบบไหน?

     “รักแท้ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน” จึงเป็น “ความรัก” ที่แท้จริงและมั่นคงยืนยาว ถ้าเมื่อไรมันกลายเป็นการหวังผลตอบแทนจากอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว มันก็ไม่ใช่ความรักอีกต่อไป แต่มันคือ “ข้อตกลงทางธุรกิจ” เพราะความรักไม่ได้วางอยู่บนความสัมพันธ์แบบต่างตอบแทนระหว่างคนสองคน แต่มันวางอยู่บนความสัมพันธ์แบบ “ต่างเติมเต็ม” กันและกันระหว่างคนสองคนต่างหาก


บทส่งท้าย

    ผมไม่มีคำพูดอื่นใดที่จะกล่าวถึงละครเรื่องนี้มากไปกว่าคำว่า “สมบูรณ์แบบ” เพราะมันได้เรียงร้อยถักทอเรื่องราวทั้งหมดออกมาได้สวยงามทั้งหมด จบลงตรงที่ทุกคนมีความสุข แม้จะมีบางคนที่ยังเจ็บปวดและผิดหวังอยู่บ้าง แต่สุดท้ายละครเรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของตัวละครที่เติบโตขึ้นและ “เข้าใจชีวิต” และยอมรับความเป็นจริงมากขึ้น ผลจึงออกมาว่าทุกฝ่าย “ยอมจบ” เรื่องราวของตัวเองแต่โดยดี และกลับไปเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง แตกต่างจากละครอีกหลายเรื่องที่กลายเป็นเรื่องของ “ผู้แพ้ – ผู้ชนะ” และตอนจบก็เป็นตอนจบเฉพาะผู้ชนะอย่างเดียว แต่ผู้แพ้ไม่ได้อยู่ตอนจบนั้นด้วย ซึ่งผมคิดว่ามันก็เป็นการจบเรื่องที่ดี แต่ไม่สมบูรณ์ ผมยอมรับว่าผู้สร้างละครเรื่องนี้เก่งมากในการ “สมานแผล” ผู้แพ้และผู้ชนะให้ “เนียน” อย่างไร้ตำหนิจริงๆ จนกลายเป็นว่าภาพตอนจบนั้นสวยงาม ประทับใจ และสมบูรณ์แบบจริงๆ

     อยากรู้ว่ารักแท้มีจริงหรือไม่ รักแท้โดยไม่หวังผลตอบแทนเป็นอย่างไร ลองดูละครเรื่องนี้สิครับ รับรองว่าคุณจะประทับใจในความรักในเรื่องนี้อย่างแน่นอน และเป็นความรักที่อมตะ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร คุณก็ยังคิดถึงอย่างแน่นอน อย่างที่ผมกำลังคิดถึงฮอนวูกับซูอินอยู่ในตอนนี้ไง :D


นักแสดงหลัก

Kim Rae Won as Kim Hyun-woo
Kim Tae Hee as Lee Soo-in
Lee Jung Jin as Hong Jung-min (Alex Hong)
Kim Min as Yoo Jin-ah

“การที่เราจะเรียนรู้เพื่อรู้จักใครสักคนมันไม่ใช่การเสียเวลาหรอกนะ”

ประโยคที่ลีซูอินบอกกับฮองจองมิน ในห้วงเวลาที่เธอเริ่มตกหลุมรักคิมฮอนวูเข้าแล้ว..

จากคุณ : immeuble
เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 54 22:33:10




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com