Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
THE KING'S SPEECH : WHEN THE KING CAN SPEAK NO WRONG ติดต่อทีมงาน

เมื่อกษัตริย์มิอาจตรัสติดๆขัดๆ  (เนื้อหา spoil นะครับ)

The king’s speech เป็นหนึ่งในหนังเต็งรางวัลออสการ์ ที่สร้างความประทับใจให้กับคนดูจำนวนมากทั่วโลกในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ตัวหนังมีโครงสร้างที่เรียบง่ายชัดเจน กล่าวถึงมนุษย์ผู้หนึ่งที่พยายามหลบเลี่ยงปมด้อยของตัวเองมาโดยตลอด แต่แล้ววันหนึ่งชะตากรรมก็บังคับให้ต้องเผชิญหน้ากับปมด้อยดังกล่าวอย่างหลบเลี่ยงไม่ได้ และก็ต้องเอาชนะมันไปให้ได้ ไม่ใช่เพียงเพื่อตัวเอง แต่อยู่ในระดับเพื่อมนุษยชาติเลยทีเดียว

ปมด้อยดังกล่าวนั้นคืออาการติดอ่าง...พู......ดตะ.....กุ...ก.ต..ะกั.....ก

อาการติดอ่าง หากเกิดขึ้นกับคนธรรมดาแม้จะเป็นเรื่องน่าอาย แต่ก็ยังนับเป็นปัญหาส่วนบุคคล ทว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากอาการนี้เกิดขึ้นกับคนที่เป็นผู้นำในเครือจักรภพอังกฤษ อาณาจักรที่พระอาทิตย์ไม่มีวันตกดิน ท่ามกลางสภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2  ที่ทักษะในการสื่อสารนั้นเป็นที่เรื่องจำเป็นอย่างยิ่งยวดในการที่จะแย่งชิงมวลชน และสร้างขวัญกำลังใจให้กับพสกนิกรทั้งในประเทศอังกฤษและอื่นๆทั่วโลก

ช่วงเวลาดังกล่าวนั้น โลกได้หมุนไปตามจังหวะความต้องการของฮิตเลอร์  ผู้ต้องการเว้นวรรคอารยธรรมมนุษย์ไว้ด้วยสงครามโลกครั้งที่ 2  ในหนังมีฉากสั้นๆ ที่แสดงให้ถึงลีลาการสื่อสารของผู้นำกระหายเลือดผู้นี้ ที่เฉียบขาดดุดันระดับสะกดจิตให้คนไปตายแทนได้หลายล้านคน  ในขณะที่พระเอกของเรา...เจ้าชายเบอร์ตี้  กลับมีลีลาการพูดในระดับสากกะเบือยังต้องร่ำไห้  สถานการณ์เช่นนี้จึงสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับพระราชามือใหม่หัดพูดอย่างเบอร์ตี้เป็นอย่างยิ่ง

ฤาพระราชาแห่งดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่มีวันตกดิน กำลังจะต้องถูก ”คราส” ด้วยปมด้อยของตัวเอง?

หนังได้แสดงให้เห็นความเชื่อมโยงบางด้าน ของความทุกข์ทารุณในวัยเด็กของเจ้าชายอัลเบิร์ต (เรียกอย่างรักใคร่ว่า เบอร์ตี้)  ที่ต้องเผชิญกับความบีบคั้นทั้งร่างกายและจิตใจภายใต้ร่มเศวตฉัตรตั้งแต่วัยเยาว์ ทั้งอาการขาโก่งที่ต้องบำบัดด้วยการใส่โครงเหล็กดัดที่สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัส, การถูกบังคับให้ใช้มือขวาทั้งๆที่ถนัดซ้าย, การถูกกลั่นแกล้งรังแกจากพี่เลี้ยง, มิต้องกล่าวถึงความคาดหวังจากพระราชบิดาที่พูดจาเหมือนบังคับขู่เข็ญตลอดเวลา.....ฯลฯ

โศกนาฏกรรมที่เรียงรายตลอดชีวิตของเจ้าชายอัลเบิร์ตนั้น สุดท้ายก็ได้ประทับร่องรอยแห่งความบอบช้ำไว้ด้วยอาการ”ติดอ่าง”

แต่หากเรามองในอีกมุมมองหนึ่งนั้น  อาการติดอ่างอาจนับเป็นการ"ประท้วง" ของตัวเจ้าชายเองต่อความเคร่งครัดเป็นระบบระเบียบที่ตายตัวของราชวงศ์อังกฤษ.....และนับเป็นการแหกจารีตประเพณีอย่างซึ่งๆหน้ามากที่สุดอย่างหนึ่ง (แม้เจ้าตัวจะไม่ต้องการ)


สิ่งที่น่าสนใจ (ของผม) ก็คือ อาการติดอ่างของอัลเบิร์ตนั้นจะรุนแรงมากเวลาที่อยู่ต้องอยู่ในที่สาธารณะ หรือรู้ว่าตนเป็นที่สนใจของคนหมู่มาก แต่ทว่าจะเบาบางมากหรือแทบไม่มีอาการนี้เลยหากอยู่กับคนใกล้ชิดอย่างภรรยา และลูกสาวทั้ง 2 คน ซึ่งทำให้น่าคิดว่าแท้จริงแล้วอาการนี้น่าเป็นการขาดความมั่นใจและโหยหาการยอมรับจากคนรอบข้าง จนกระทั่งพัฒนามาเป็นความเชื่อว่าตนเองมีอาการติดอ่างอย่างถาวร (หากอยู่กับคนในครอบครัว ที่มั่นใจได้ว่าตนเป็นที่ยอมรับอย่างแน่นอน ก็จะไม่มีอาการติดอ่างนั้น)

และที่น่าประหลาดใจ (ของผม) อีกอย่างหนึ่งคือ อาการติดอ่างของเบอร์ตี้นั้น หากให้อ่านออกเสียงแบบไม่ได้ยินเสียงของตน (เช่น หากใส่หูฟังให้ไม่ได้ยินในสิ่งที่ตัวเองพูด) การพูดนั้นจะลื่นไหลเหมือนคนทั่วไป...แต่เมื่อใดที่ได้ยินเสียงที่ตัวเองพูด ร่างกายกลับทรยศบังคับให้ตัวเองติดอ่างซะอย่างนั้น.....

ถ้ามองตามภาษาหนัง + จิดวิทยานั้น ดูราวกับหนังพยายามจะสื่อว่า เบอร์ตี้นั้นถูกจองจำในร่างกายของตัวเอง ด้วยตัวของเขาเอง


สำหรับบทบาทการแสดงนั้น แม้ว่าในความเห็นของผม เจ้าชายอัลเบิร์ตตัวจริงนั้นหล่อกว่า โคลิน เฟริธมาก  และหน้าตาออกไปทางละม้ายกับ Aaron Eckhardt   แต่เฟิร์ธก็แสดงบทบาทของอัลเบิร์ตได้ดีมากทีเดียว  บุคลิกภาพที่สูงสง่าของเฟริธถูกบดบังไว้อย่างมิดชิด  ด้วยสีหน้าอมทุกข์ราวกับถูกยัดดาวเคราะห์เอาไว้เต็มปาก จะพูดจะจาแต่ละครั้ง เล่นเอาคนดูหายใจติดๆขัดๆไปตามๆกัน

ส่วนคุณลุง Geoffrey Rush นั้น มาตรฐานการแสดงแกสูงมากอยู่แล้ว ผมเลยออกจะเฉยๆ (เพราะส่วนตัวชอบแกในเรื่อง shine มากกว่าเยอะ) ส่วนคนอื่นๆอย่างพระราชินีที่แสดงโดย Helena Bonham Carter นั้น ผมออกจะไม่ค่อยชอบเธอนัก อาจเป็นเพราะรู้สึกว่าเธอแลดูไม่ค่อยจะสง่าเท่าไหร่ หรืออาจเพราะเคยเล่นเป็นพวกพังค์ติดยาใน The fight club แล้วผมออกจะติดใจเธอกับบทบาทนั้นมากไปหน่อย...


และสุดท้ายในตอนจบที่ก็แน่นอนว่าจะต้องแสดงให้เห็นถึงการที่มนุษย์เล็กๆคนหนึ่ง ผู้สามารถก้าวข้ามปมด้อยของตนไปเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่นำพาสหราชอาณาจักรให้ผ่านพ้นช่วงเวลาสงครามไปได้อย่างสง่างาม  แม้ระหว่างทางนั้น  จะมีจังหวะเกยตื้นที่เล่นเอาคนดูต้องลุ้นกันใจหายใจคว่ำไปบ้างก็ตาม

แม้จะอดรู้สึกไม่ได้ว่าหนังน่าจะยังสามารถสร้างความบีบคั้นทางอารมณ์ได้มากกว่านี้ได้อีก และในใจแอบซาดิสม์อยากเห็น Robert Zemeckis  (ผู้กำกับ Forrest Gump, Contact,etc.) หรือ David Fincher (Se7en, The Social Network ) มากำกับเรื่องนี้บ้าง แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าดีแล้ว เดี๋ยวจะเสียของเพราะ melodrama (-__-")


หลังจากหนังจบลง...อดนึกถึงที่ผู้ใหญ่ที่เคารพท่านหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า...

"การจะพูดให้คนฟังรู้สึกว่าตัวเองเก่งนั้นทำได้ยาก แต่การพูดแล้วให้คนฟังรู้สึกรักนั้นยากยิ่งกว่า และนับเป็นสุดยอดนักพูดตัวจริง...

....หากพิจารณาตามนี้แล้ว เจ้าชายเบอร์ตี้นั้นคงเป็นสุดยอดนักพูดของโลกคนหนึ่ง แม้ร่างกายจะไม่เอื้ออำนวยนักก็ตาม...

จากคุณ : iMAGiNAriuM
เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 54 23:08:21




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com