ผมเชื่อว่าหลายคนดูหนังเรื่องนี้แล้วพากันคิดไปในแนวที่ว่า หนังสอนเราว่าอย่าไปบังคับเด็กและการเรียนการสอนในตำรานั้นเป็นวิธีครำครึ เราควรหันมาใช้วิธีสอนให้เด็กคิดกันเยอะๆ อย่าไปยึดกับตำราอีกเลยจะดีกว่า ผมเองก็เคยคิดเช่นนั้นเหมือนกันครับ จนพอโตขึ้นค่อยมามองหนังลึกลงไปอีกขั้น... เลยยิ่งทึ่งในบทหนังเข้าไปอีก
ดูเผินๆ เหมือนหนังจะวิพากษ์ระบบการศึกษาที่พึ่งพาแต่ตำรา แล้วก็ตำหนิพ่อแม่ชอบบังคับจิตใจลูก แต่เอาเข้าจริงหนังไม่ได้ชวนให้คิดแค่นั้น แต่ยังแอบวิพากษ์แนวทางใหม่ของครูคีตติ้งผ่านทางโศกนาฏกรรมของนักเรียนชายคนหนึ่งด้วย (***ผมจะเขียนแบบมีสปอยล์ปนแล้วนะครับ หากไม่อยากทราบก็ไม่ต้องอ่านต่อดีกว่าครับ ข้ามไปอ่านความเห็นต่อไปได้เลยครับ***)
คนที่ดูมาแล้วย่อมจำได้ครับ ว่านักเรียนคนนั้นคือ นีล หนึ่งในตัวเอกของเรื่องที่พ่อแม่คาดหวังให้เรียนสูงๆ ไปต่อแพทยศาสตร์ ซึ่งนีลก็ถูกปลูกฝังมาตลอดว่าต้องเรียนดี ต้องเป็นหมอ เขาก็ตั้งใจตามนั้นเสมอมา จนกระทั่งได้แรงบันดาลใจจากครูคีตติ้งที่สอนให้ลูกศิษย์จับความฝันของตัวเองให้ได้ พร้อมทั้งพิจารณามันว่าเราชอบความฝันนั้นมากน้อยแค่ไหน ก่อนจะเดินหน้าสานฝันให้มันเป็นจริง
ในที่สุดนีลก็ค้นพบว่าตนเองชอบการแสดงเป็นอย่างยิ่ง เลยอยากให้พ่อแม่ช่วยสนับสนุน แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน พ่อแม่ก็ไม่เข้าใจ จนนีลต้องแอบไปแสดงละครเวทีท้องถิ่น ซึ่งเขาแสดงได้ดีนะครับ มีพรสวรรค์จนน่าปรบมือ แต่นั่นกลับไม่อาจเปลี่ยนใจพ่อแม่ได้เลย สุดท้าย เขาเลยตัดสินใจว่าหากไม่ได้เข้าสู่ถนนสายการแสดง ก็ขอจบชีวิตตนเองลงดีกว่า... จากนั้นก็อย่างที่เดากันได้ครับ เกิดเป็นโศกนาฏกรรม เป็นบทสรุปที่น่าสลดใจ
คนส่วนมากมักวิจารณ์เรื่องนี้ไปในแนวทางว่าพ่อแม่บังคับลูกเกินไป แต่ผมก็มองอีกด้านหนึ่งว่าจุดจบของนีล ส่วนหนึ่งก็เป็นความรับผิดชอบของครูคีตติ้งด้วยเช่นกัน
ครูคีตติ้งนั้นสอนสั่งความรู้แบบใหม่ให้นักเรียนด้วยความปรารถนาดีจากใจ อยากบันดาลใจนักเรียนทุกคนให้มีพลังตามความฝัน แบบที่ครูคีตติ้งเองก็เคยได้รับมาจากอาจารย์ของเขา
ครูคีตติ้งอยากให้ลูกศิษย์ได้เรียนรู้ชีวิตอย่างคุ้มค่า ไม่ใช่เอาแต่ตาจ้องตำราเรียน จนลืมมองสิ่งรอบข้างที่มีคุณค่าไม่แพ้กัน
แต่สิ่งที่ครูคีตติ้งพลาดไปคือ เด็กเหล่านี้ถูกบังคับมานาน เมื่อพวกเขาถูกจุดประกายสู่ความเป็นอิสระ มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะพุ่งเข้าหามันราวกับค้างคาวที่กรูออกนอกถ้ำ และตามธรรมชาติแล้ว การกรูกันไปแบบนั้นก็ย่อมมีทางความสุขสมหวังและความผิดหวังรออยู่ที่ปลายทาง เช่นเดียวกับฝูงค้างคาวที่ออกมาแต่ละทีก็มีทั้งรอดและตาย นี่เองคือสิ่งที่ครูคีตติ้งคาดไม่ถึง ว่าหากลูกศิษย์เจอความผิดหวังแล้วผลมันจะรุนแรงแค่ไหน
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมช่วงท้ายหลังเกิดเรื่อง ครูคีตติ้งจึงไม่พยายามแก้ตัว ไม่พยายามบอกกล่าวอะไรกับนักเรียนให้มากมาย เพราะเขาต้องการทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ตระหนักในความผิดพลาดของตนเองอย่างสงบ...
จากคุณ |
:
หมื่นทิพ (เทพบุตรตบะแตก!!)
|
เขียนเมื่อ |
:
23 ก.พ. 54 16:37:00
|
|
|
|