ความคิดเห็นที่ 1 คิดเหมือนกัน.. จากคุณ : F_nakhon เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 18:49:05

ความคิดเห็นที่ 2 เอาตอนบักปัญญานอนบนเตียงมาขึ้นฉากแรกก่อน ตอนจบฉายซ้ำอีกที เรณูร้องไห้ฟูมฟาย จากนั้นเดินไปหมุนลูกข่าง...แล้วตัดจบ จากคุณ : Stefanz เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 18:59:02

ความคิดเห็นที่ 3 เห็นด้วยครับ และติดอีกนิดนึงเรื่องครูตาเหล่สองคน เหมือนจงใจใส่ตลกเข้าไป แต่อย่าลืมคิดด้วยนะครับว่าคนพิการดูอาจจะไม่สบายใจก็ได้ เหมือนล้อเลียนโดยไม่ตั้งใจน่ะ หนังไทย ละครไทย เลิกเถอะ เอาคนพิการ หรือทุพลภาพมาล้อเลียนโดยตังใจหรือไม่ตั้งใจมันดูไม่ดีนะ ถ้าจะให้แสดงต้องเลือกบทที่มันพอเหมาะพอดีก็จะทำให้มีศิปะมากขึ้นนะครับ จากคุณ : ChocolateMouss เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 19:03:17

ความคิดเห็นที่ 4 มันคือหนังครับ . . . หนังมันบังคับให้เราไปนู่นไปนี่ทั้งๆ ที่นั่งอยู่ในโรง หรือมันบอกว่าเวลาผ่านไป 30 ปี เราก็ต้องเชื่อ . . . เพราะมันคือหนังครับ (ฮา) แต่ขอเถียงเรื่อง "ปาฏิหาริย์" (สปอยล์แน่นอน) มันไม่ได้จู่ๆ ก็โผล่มานะครับ . . . ถ้าคุณดูตั้งแต่ฉากเปิดเรื่อง ที่เรณูไปเก็บเสื้อผ้าแล้วเจอจดหมายน้อย ที่ัปัญญาเขียนไว้ เรณูร้องว่า "หลวงพ่อ!!!" หรือตอนที่คิดหาเงินมาซื้อเครื่องดนตรี . . . เรณู ก็ยังพูดอยู่ว่า "เฮาต้องถ่าปาฏิหาริย์เด" หรือตอนที่ปัญญาไปขอให้ปลิงออกจาก hum หรือตอนที่หลวงพ่อเอาเงินมาให้ จนกระทั่งฉากสุดท้าย จีวรกะยังบ่มา ก็ได้จีวรจากหลวงพ่อนั่นแหละ รุ่นพี่ผมบอกว่า หนังเรื่องนี้ "โมทีฟ" อยู่ที่หลวงพ่อ หรือพระ หรือพระพุทธศาสนา ซึ่งมันเป็นวิถีคิด ความเชื่อ ความศรัทธาของคน "อีสาน" สุดท้าย . . . ไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ก็ยังมีพระพุทธศาสนาให้ยึดเหนี่ยวจิตใจ จากคุณ : Mr.Saraman เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 19:05:38

ความคิดเห็นที่ 5 มันเป็นอะไรที่ไม่มีข้อพิสูจน์นะ หนังก็ไม่ได้บอกว่าปัญญาฟื้นเพราะกุศลที่ได้บวช มีเคสมากมายที่คนเพิ่งตายใหม่ๆ กลับฟื้นขึ้นมาได้แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย มันไม่มีคำอธิบายอ่ะครับ ตัวหนังอาจจะให้เรามองว่าเป็นเหตุบังเิอิญก็ได้ครับ จากคุณ : ไม่ได้กลัวแต่เกรงใจ เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 19:09:09

ความคิดเห็นที่ 6 อืม ก็เห็นด้วยกับ ความเห็นนะครับ แต่มันผ่านไปแล้ว อย่างว่า ยังไงก็ชอบเรื่องนี้ มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก อยู่ดี เท่ากับศูนย์ส่วนศูนย์เลย ความรักที่มีให้หนังเรื่องนี้ จากคุณ : dokya_pladuk เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 19:11:02

ความคิดเห็นที่ 7 คห.3 ผมมองต่างครับ มันเหมือนซ่อนอะไรไว้บางอย่างที่ครู ครูบ้านนอก ดูแล้วก็ไม่ค่อยจะสมประกอบเท่าไหร่ แล้วจะไปสอนเด็กได้อย่างไร มันสะท้อนอะไรบางอย่าง ของบ้านนี้เมืองนี้ . . . โอกาส . . . ความเท่าเทียมที่มันไม่เคยเกิดขึ้นมาเลย แม้แต่ในอีสานด้วยกัน ก็ยังมีโรงเรียนที่มีคนใหญ่คนโตสนับสนุน ซึ่งก็ไม่ได้สนับสนุนอย่างจริงใจ สนับสนุนเพราะอยากได้ชื่อเสียง ได้หน้าได้ตา ในเมื่อครู ยังต้องพึ่งพากับ พณหัวเจ้าท่าน ทั้งหลายอยู่ . . . ประเทศมันก็ไม่ไปไหน ถ้าลองย้อนกลับมามองในโลกแห่งความจริง . . . เพื่อนๆ ผมที่เรียนเก่งๆ เลือกที่จะเรียนหมอ เรียนวิศวะ เพราะมันทำเงินได้เยอะ คนเรียนเก่ง ที่อยากจะเป็นครู หาได้น้อยมาก . . . แล้วใครล่ะจะไปสอนเด็ก . . . หันไปดูอีกที . . . อ้าว . . . ไอ้เพื่อนคนนั้นที่มันเรียนเกือบบ๊วยนี่หว่า!!! จากคุณ : Mr.Saraman เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 19:12:01

ความคิดเห็นที่ 8 ส่วนตอนจบที่ จขกท. บอกว่าน่าจะเปลี่ยนใหม่ . . . ผมว่าหนังทำได้ดีแล้วครับ มันสะเทือนใจมากๆ ถ้าพากันไปบวชมันจะไม่มีชั้นเชิงสักเท่าไหร่ . . . คุณคิดดูสิ สัญญาณชีพจรหายไปแล้ว จีวรก็ยังไม่มา จะทำยังไง . . . หลวงพ่อปลดจีวรของตัวเองมาห่มให้ปัญญา ซึ้งมากๆ . . . จากคุณ : Mr.Saraman เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 19:18:29

ความคิดเห็นที่ 9 เจ้านายผม ยอมเสียคนเพื่อยกย่องหนังเรื่องนี้ครับ http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A10251887/A10251887.html#176 จากคุณ : Mr.Saraman เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 19:20:07

ความคิดเห็นที่ 10 ถ้าจบแบบใจคนดูต้องการ คนดูเดาได้ หนังมันก็คงขาดอะไรไปน่ะครับ จบแบบนี้กระชากหน่อยก็ดี แต่เสียอย่างเดียว ตอนเดินออกจากโรงแล้ว ตามันยังแดงอยู่นี่ดิ อิอิ ส่วนเ้รื่องเอาตลกที่ พิการทางสายตามาเล่นเป็นครู ตอนแรกผมก็คิดเหมือนกันว่า ครูสาวอีกคนหนึ่งแทบจะไม่ได้มีบทหรือบทพูดอะไรเลยด้วยซ้ำ ตัวละครตรงนี้จะไม่มีก็ได้ ถ้าอยากประหยัดงบของหนัง แต่ลองมองไปในมุมมองของผู้กำกับ ผมคิดว่า ผู้กำกับ ที่เอาเค้ามาเล่นตรงจุดนี้ ไม่ใช่ว่าอยากให้ตลกหรือล้อเลียนอะไร แต่อยากช่วยให้เค้ามีรายได้จากการแสดงมากกว่านะ จากคุณ : Qooma เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 19:23:29

ความคิดเห็นที่ 11 ต่างคนต่างความคิดครับผม ลองคิดหลายๆมุมดู อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวผม ที่โอเคมันซึ้ง มันกินใจ มันดูเร่งด่วน(ที่หลวงพ่อรีบช่วย) แต่ถ้าแบ่งๆกันคนละครึ่ง ปาฏิหาริย์ครึ่งหนึ่ง ความช่วยเหลือทางโลกครึ่งหนึ่ง อย่างงี้จะชนะใจผมมากกว่า ว่าปาฏิหาริย์มีจริง ในสถานการณ์ที่สมเหตุสมผลครับ จากคุณ : natefang เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 19:23:43

ความคิดเห็นที่ 12 อ่าที่คุณSaraman ment มาก็ชักจะเห็นด้วย(ที่จริงก็แอบคิดไว้เล็กๆเหมือนกันว่า นี่เหละคือการสะท้อนความเป็นจริง ) ตอนจบพอมาอ่านที่คนอื่นแลกเปลี่ยนความคิดกันก็คิดว่า หนังเรื่องนี้บทมันสมบูรณืแล้วละ จากคุณ : ChocolateMouss เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 19:27:21

ความคิดเห็นที่ 13 ยังขอเถียง จขกท. ใน คห.11 "ปาฏิหาริย์" ก็คือ "ปาฏิหาริย์" ครับ เวลาที่ทุกอย่างมันดูเหมือนจะจบสิ้น หมดทางไปแล้ว จบเกมส์ กรรมการเตรียมเป่านกหวีด แต่แล้ว . . . สิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ก็เป็นไปได้ นั่นล่ะครับที่เขาเรียกว่า . . . ปาฏิหาริย์ จากคุณ : Mr.Saraman เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 19:38:42

ความคิดเห็นที่ 14 นี้แหละหนังครับ ครบรสชาติไหมละ จบแล้วเรายังมา สนุกต่อในนี้เลย อิๆๆๆ จากคุณ : เพื่อพ่อแม่ลูกเมีย เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 19:45:23

ความคิดเห็นที่ 15 คห.14 แม่นแล้วคับ (ฮา) จากคุณ : Mr.Saraman เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 19:48:00

ความคิดเห็นที่ 16 หนังจบ คนไม่จบ Word of Mouth ผมก็โทรไปชักชวน เร่งเร้าให้บรรดาเพื่อนๆไปดูกัน ขู่อีกว่าถ้าไม่ได้ดูห้ามพูดคำว่า เสียดายอิๆ จากคุณ : ChocolateMouss เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 19:52:32

ความคิดเห็นที่ 17 ผมได้แต่บอกเพื่อนๆ ว่า "ผู้ใดเป็นคนอีสาน คั่นบ่ได้เบิ่งหนังเรื่องนี้ เสียซาดเกิด" จากคุณ : Mr.Saraman เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 19:59:34

ความคิดเห็นที่ 18 สงสัย เวทมนตร์ชาวพันทิป คงจะขลังน่าดู เมื่อวานพาเพื่อน และน้องชายไปดูที่ เมเจอร์ สุขุมวิท รอบดึก พร้อมเป็นเจ้ามือจ่าย เพื่อนถามว่าหนังเรื่องอะไร บอกชื่อไปมันไม่รู้จัก ก็เลยตัดบท มาดูเป็นเพื่อนเหอะน่า ดูจบแล้วค่อยคุยกัน ว่าชอบไม่ชอบ ถึงแม้จะเป็นรอบดึกแต่คนเยอะเชียว เหลือ ที่ว่าง ด้านหน้าติดจอ  ประมาณ 4 แถว  แถมได้ยินคนซุบซิบว่า นี่ตามมาดู เพราะไปอ่านเจอมาในพันทิป   ทั้งโรง พร้อมเพียงกันหัวเราะมากก  ถ้าเป็นแบบนี้ตลอดสัปดาห์ ก็น่าจะยืนระยะไปได้อีกหน่อย พอดูจบ เพื่อนและน้องชายชอบมาก บอกว่าเออ สนุกดี ดูแล้วเบิกบาน เด็กๆ ในเรื่องน่ารักดี   อ่อ  น้องปัญญานี่หน้าคล้ายๆ หลานชายเลยแฮ่ะ อายุคงไล่ๆกันด้วย จากคุณ : Modster เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 20:36:28

ความคิดเห็นที่ 19 ผมว่ามันแสดงถึงความเชื่อครับ Believe ซึ่งมันก็บ่งบอกสังคมชนบทได้ดี  เพราะเค้าอยู่กับศาสนา อยู่กับความเชื่อ เพราะบางทีมันก็มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงๆ  โดยที่ไม่มีเหตุผล     บางครั้งก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ ว่าจริง  หรือไม่จริง เมื่อตัวละครศรัทธาจนหมดใจแล้ว  มันเกิดปาฏิหารย์ขึ้น   มันก็คือความหวัง  ความสุข  คือแสงสว่างที่เกิดขึ้นในจิตใจของคน   ผมว่ามันเป็นสิ่งที่ดีครับ   มันทำให้เราออกจากโรงหนังอย่างแจ่มใสด้วย ซึ่งผมว่า  มันเป็นตอนจบของหนังที่ถูกต้องตาม context ของชีวิตคนไทยชนบท   และมันสมบูรณ์แล้วครับ :-) จากคุณ : ถังเจ๋อ เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 20:39:02

ความคิดเห็นที่ 20 เรื่องครูที่ดูตลก...ผมอยู่กับครูมาตลอด  เห็นครูในเรื่องนี้ ยอมรับว่านี่คือครูไทยในชนบทอาจ ดุูไม่สมบูรณ์ น่าสงสาร  น่าเห็นใจน่าขบขัน แต่น่ารัก  น่านับถือน้ำใจ จากคุณ : หนุ่มน้อยเมืองเหนือ เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 20:59:00

ความคิดเห็นที่ 21 ข้อยมักหลายขนาด เอาใจซอยเด้อซู่ผู้ซู่คน จากคุณ : cat_on_a_hot_tin_roof_ เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 21:35:04

ความคิดเห็นที่ 22 สำหรับเรามันก็แค่รู้สึกสะดุดกับความไม่สมจริงของเครื่องมือทางการแพทย์  (คาบ ET-tube ไม่ต่อ ventilator  แถมใส่ canula อีก)  แต่ก็หยวนๆน่า  คนสร้างหนังเขาไม่ได้อยู่วงการนี้ จากคุณ : Betablocker เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 22:35:35

ความคิดเห็นที่ 23 ^ ^ ประชดป่าวครับ เค้าอาจสื่อถึงความอนาถาของโรงพยาบาลบ้านนอกก็ได้มั๊งนะ จากคุณ : ไม่ได้กลัวแต่เกรงใจ เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 06:37:04

ความคิดเห็นที่ 24 เราว่าคุณหมอ แต่งตัวตลกอ่ะ ส่วนเรื่อง ปาฏิหาริย์ เราว่ามันใช่แล้ว นี่คือมุมมองของคนอิสานนะ เซื่อในสิ่งที่เฮ็ด เฮ็ดในสิ่งที่เซื่อ จบดีแล้ว น้องที่ไปดูกับเรา เขาเป็นคนวาริน เขาบอกว่าบ้านเขาเป็นอย่างนี้จริงๆ ครูบ้านนอก วัดบ้านนอก ก็พูดจาแบบนี้แหละ (เรื่อง Physical ของนักแสดงก็อีกเรื่องนึงนะคะ) ปล. ชอบพระมากเลยจะเอาโบสถ์ไปเข้าไฟแนนซ์ จากคุณ : ทำไมต้องล็อกอิน เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 11:02:38

ความคิดเห็นที่ 25 ต่างคนต่างความคิดครับ ส่วนตัวผมคิดว่า ช็อตที่พระเอาจีวรของตัวเองออกมาห่มให้ ปัญญา นั่นแหละครับ เป็นที่มาของปาฏิหารย์ เพราะ ผ้าเหลืองสื่อถึงพระพุทธศาสนา ซึ่งจะคอยช่วยเหลือคนดีๆ อย่างปัญญาไว้ แต่ยังไงก็ได้ใจผมไปเต็มๆ ครับ หนังเรื่องนี้ ^ ^ จากคุณ : อี๊ด (EID-MU) เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 12:13:50