ตอนที่ 1 พูดถึงความรักแบบฉาบฉวยครับ เพลงประจำฐานคือเพลง Sexy ของ Paradox เริ่มจากไอ้หนุ่มหน้าใสเห็นรุ่นพี่สาวแล้วเข้าก็ไปขอเบอร์ สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็นนั่นแล
หนังเสียดสีถึงความง่ายเหลือเกินกับความสัมพันธ์ของเด็กสมัยนี้ แค่เดินเข้าไปขอเบอร์ โทรคุยแป็บเดียวแล้วก็ไปไหนมาไหนด้วยกันง่ายๆ แต่อะไรที่มันมาง่ายมักไม่จริงและมักไม่นาน
เหมือนที่เราจะเห็นว่ามีควายอยู่คั่นกลางระหว่างสายป่านกับตาตี๋คนนั้นตลอดเวลาที่อยู่บนรถ เรื่องนี้คนสองคนจะได้มีปากใกล้ชิดกันก็แค่ผ่านของกินต่างๆที่ถูกยั่วโดยผู้หญิงเท่านั้น
ดังนั้นเรื่องนี้เป็นการอารัมภบทของการจูบแบบที่เรียกว่า ได้แค่ใกล้ ไม่ได้แอ้มหรอกน้อง เหมือนตอนที่สองคนกำลังกินปลาสวรรค์ด้วยกัน สุดท้ายความรักนะไม่ใช่มวย ต่อยข้ามรุ่นได้อยู่แล้ว แต่น้องต่อยข้ามรุ่นก็โดนสอนมวยแบบนี้แหล่ะครับ ..
ตอนนี้เป็นตอนที่ผมรู้สึกชอบน้อยที่สุดเพราะนอกจากการพยายามทำให้เป็นแค่มิวสิควิดิโอที่ยาวขึ้นของเพลง Sexy (น่าเอาพอลล่ามาเล่นเนอะ >__<) กับการพูดถึงความรักฉาบฉวย รักข้ามรุ่นแล้ว ก็ไม่ค่อยมีอะไรนอกจาก ควาย ที่โชว์อยู่ชัดเจนตลอดเรื่องคอยบอกตอนจบของเรื่องอยู่แล้ว
ตอนที่ 2
"พ่อกับแม่ใครเป็นคนขอแต่งงาน" .. "แม่เอง"
"พ่อกับแม่ใครเป็นคนขอเลิก" .. "แม่เอง"
เรื่องนี้ ผกก ฉลาดที่เลือกคุณ อุ๊ หฤทัย มาเป็นแม่ของเด็กหญิงในเรื่อง คุณอุ๊แทบจะเรียกได้ว่าเป็นตัวแทนของผู้หญิงที่แกร่งในแง่ของงานเพลง และเธอก็มารับบทของแม่ที่เป็นแม่คนเดียวในการดูแลลูกสาวสองคน
การจูบในเรื่องนี้พูดถึงการจูบครั้งแรกของคนสองคน ที่ไม่แน่ใจว่าเป็นการ จูบรัก หรือ จูบลา กันแน่ จึงเป็นที่มาของการ รอรัก หรือ รอเลิก
ดังนั้นประเด็นความรักเรื่องนี้จึงมากกว่าเรื่องแรกเป็นกอง ไม่ว่าจะเป็น ผู้ชายที่ใช้ชื่อ เฟสบุค ว่า Bright Love Bear ผู้ซึ่งหลงไหลกับการให้ตุ๊กตาหมี โดยหนังพยายาม Symbolic ตุ๊กตาหมีคือความรัก ทุกครั้งที่ตาคนนี้โผล่มาแสดงความรักคือการเอาตุ๊กตาหมีมาให้นางเอก แกคงมีความสุขกับการให้ความรักไปเรื่อยๆแค่นั้นแหล่ะ ถึงได้เอาตุ๊กตาหมีไปให้สาวคนอื่นด้วย
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการที่เขาให้ตุ๊กตาหมีกับหญิงอื่น จะทำให้ตุ๊กตาหมีของเขาในห้อง(ใจ)ของเธอลดน้อยลงอย่างที่เราได้เห็นฉากห้องนอนของนางเอก ดังนั้นเธอก็เลยเลือกที่จะรอเขาและการ Chat กันผ่านเฟสบุค ฟังคำโกหกของเขาไปเรื่อยๆ
แต่มีฉากนึงที่ไม่ได้เป็นการ Chat จริงๆ เป็นเพียงความคิดของนางเอกในตอนนี้คือฉากที่เธอพิมพ์เรียก ไบรท์ๆๆๆๆ และผู้ชายก็ตอบมาประมาณว่า อยากขออยู่เงียบๆ อารมณ์ประมาณบอกเลิกนั่นแหล่ะ จำคำไม่ค่อยได้ ซึ่งถ้าเราดูมาตลอดจะเห็นว่าการ Chat กันของสองคนนี้จะมีเสียงลัลล๊าที่แสนน่ารำคัญของฝ่ายชายตลอด มีเพียงฉากนี้ที่ไม่มีเสียงนั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นความคิดของเธอคนเดียวเท่านั้น
ฉากนี้เป็นฉากที่ผมชอบที่สุดในหนังจริงๆ มันแสดงให้เห็นถึงภาวะที่ตัวละครความพยายามที่จะหาคำตอบให้ตัวเอง พยายามหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ โดยการให้คำตอบกับตัวเอง (ใครเคยเจออารมณ์ประมาณนี้จะอินมาก) เพลงประกอบก็ดีมาก แต่สุดท้ายเราก็เห็นว่า เธอก็เลือกที่จะยังคุยฟังคำโกหกของอิตานี่ต่อไป จนแม่มาเห็นและกอดกันร้องไห้ ตอนนั้นแหล่ะที่เธอตัดสินใจว่า "รอเลิก"
สุดท้ายนางเอกสุดสวยของผมก็รอตั้ง 2 ปีเพื่อที่จะได้เดินตามรอยแม่ "พ่อกับแม่ใครเป็นคนขอเลิก" .. "แม่เอง" ด้วยการเล่น เพียงกระซิบ ให้ชายซึ่งแบกตุ๊กตาหมีมาให้เธออีกแล้ว แหม น่าเสียดาย ถ้า เอ๊ด เอี๊ย ในเพลง มาเต็มๆสักหน่อย คงจะได้อารมณ์กว่านี้เยอะ
ตอนที่ 3 ตอนนี้ไม่มีฉากจูบครับ มีอยู่ใน Trailer น่าจะโดนตัดไป เสียดาย หลุดขอบไปเลย
เรื่องนี้ผมชอบที่สุดเพราะเรื่องค่อยๆตล่อมกล่อมคนดูไปเรื่อยๆในบรรยากาศแห่งความเก่า ตั้งแต่สถานที่เก่าๆ การเล่นโขน น้ำจรวด การ์ตูนตาหวานที่เพื่อนนางเอกอ่านแบบเก่ากึ้กกระดาษงี้เหลืองเชียว การเล่นว่าวที่สนามหลวง วัด พระอาทิตย์ตกริมน้ำ บรรยากาศเก่าๆนั่งคุยกันแล้วมีนกบินไปบินมา อะไรอีก นึกไม่ออกแล้ว แต่ไม่พยายามยัดเยียดสิ่งเหล่านี้จนล้นเกินไป
จนมาตบด้วยคำตอบของสัญลักษณ์ทั้งหมด คือเรื่องต้องการพูดถึงความรักแบบบเก่าๆ โบราณๆ จริงจังจริงใจของพระเอก ที่แกเป็นคนซีเรียสเรื่องความรักมากฉากที่พูดว่า สำหรับเราความรักมันเป็นเรื่องใหญ่ (ซึ่งดูเหมือนเป็นการเล่นให้ตรงข้ามกับเรื่องที่1) ดังนั้นพอนางเอกไปควงคนอื่นๆแกก็เลยงอน ง้อยากหน่อยเพราะหนังต้องการสื่อให้เห็นถึงรักที่ค่อนข้างหัวโบราณ คือทั้งๆที่รู้แหล่ะว่าเขาทำประชดเพราะว่างอนแต่สำหรับบางคนเรื่องนี้มันก็เรื่องใหญ่สำหรับบางคนนะ
เหมือนกับที่ทั้งคู่โดนครูนาฏศิลป์ตีตอนแอบตีเล่นกันระหว่างซ้อมนั่นแหล่ะ เรื่องบางเรื่องสำหรับคนอาจจะเล่นๆ แต่สำหรับบางคนมันเป็นเรื่องจริงจัง แม้ว่าตอนนี้การแสดงของนางเอกกับสาวแว่นเพื่อนนางเอกจะทำให้หนังแก่นแก้วก๋ากั่นหลุดจากอารมณ์เก่าๆที่หนังพยายามใส่มาทุกฉากมากไปหน่อย แต่ให้อภัยในความน่ารัก
ตอนนี้จบด้วยเพลงฤดูร้อน ตอนที่อเล็กซ์รู้สึกถึงฤดูร้อนที่ไม่มีเธอเหมือนก่อนเหมือนเก่าขาดเธอ ก็เลยไปตามหานางที่งานบิ๊กเม้าเท่น ซึ่งตาม Trailer ก็ไปจูบกันที่ตรงนั้นแหล่ะครับ อารมณ์คู่นี้คือต้องแน่ใจว่ารักกันแล้วจริงๆ ถึงจะจูบกัน
ตอนที่ 4 .. เคยได้ยินคำพูดนี้ไหมครับ .. " ผู้ชายเริ่มรักจาก 100 มา 0 ส่วนผู้หญิงเริ่มรักจาก 0 มา 100 "
ตอนนี้พูดถึงความสัมพันธ์ของคนสองคนที่เป็นเพื่อนกันมาก่อนแล้วมาเป็นแฟน ฉากแรกๆก็ทำได้โดนดีในการพูดถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ของ 2 คนได้ใน 1 นาที คือจากที่ทั้ง 2 คุย msn กันอยู่ดีๆก็โทรมาบอกชอบ แล้วออกไปนั่งริมน้ำด้วยกัน และลงเอยด้วยการเป็นแฟนกัน แต่ความสนใจของผมคือผมมองว่าตอนนี้พยายาม "สลับ" บทบาท บุคลิกภาพระหว่างชายกับหญิง !
นางเอกตอนนี้คือ เอื้อ(ชื่อเหมือนควรจะเป็นชายมากกว่าหญิง) มีลักษณะเหมือนผู้ชายคือเริ่มต้นจากการรักมาก ไม่ชอบเปิดเผยความรักต่อที่สาธารณะ เป็นฝ่ายที่ขอเป็นแฟน จนในที่สุดเมื่อได้เป็นแฟนกันความรักก็ค่อยๆลดลง (ลองนึกภาพขีดจากร้อยลงมาศูนย์) เหมือนฉากที่เธอบอกว่า วันที่มีความสุข คือวันที่ขอเป็นแฟน เหมือนให้อารมณ์ว่าความตื่นเต้นในการเป็นแฟนก็มีแค่วันนั้น ซึ่งบุคลิกนี้ไม่รู้จะตรงกับผู้ชายหลายๆคนหรือเปล่า :D
ส่วนพระเอกคือ หยก(ชื่อนี้ก็น่าเป็นชื่อผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย) ก็มาอยู่ในบทบาทที่ทัศนคติความรักเป็นหญิงมากๆ คือเริ่มต้นจากการไม่ได้รักจนความรักค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนมาเป็นแฟนกัน ก็นิยามแฟนในลักษณะที่ใกล้เคียงกับเพื่อน คือแฟนสามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ชอบควงแฟนออกสื่อ ความโรแมนติกแต่แอบเขิน และให้ความสำคัญกับความรู้สึกในการจูบเป็นเหมือนการตัดสินใจความรักว่ารู้สึกอย่างไร
ดังนั้นการตกลงเป็นแฟนกันครั้งแรกจนถึงตอนที่มาเลิกกัน มันเหมือนเป็นการไม่สมดุลในทั้งระดับความรักและบทบาทของทั้งสองคนที่เมื่อความรักมันไม่พอดีกัน มันก็ไม่สามารถหาจุดที่คลิกกันได้ลงตัว แต่ถามว่าเมื่อถึงตอนนั้นทั้งสองคนหมดความรักให้กันแล้วจริงๆเหรอ คำตอบคือไม่ เพราะต่างคนก็ต่างถามว่าจะเลิกเป็นแฟนได้ไหม คำตอบคือก็ขึ้นอยู่กับอีกคน ถ้าอีกคนหมดความรักแล้วตัวเองก็จะยอมหมดความรักนั้นไปเช่นกัน ซึ่งคำถามนี้เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ
สุดท้ายเราก็จะได้เห็นความรักที่มาพัฒนาที่บิ๊กเม้าเท่น ในลักษณะของ 45:55 ถ้าหนังมีต่ออีกสักหน่อย เราคงได้เห็นความรักของทั้งสองคนมาพบเจอกันกลางทางระหว่างรอยจูบพอดีกลายเป็นมิติที่สามได้อย่างลงตัว ..
จริงๆแล้วผมคาดหวังว่าจะได้เห็น Paradox มากกว่านี้ หนังน่าจะจบด้วยเพลงใหญ่ๆของ Paradox ซักเพลงเป็นการปิดท้าย จะได้พลังและอารมณ์กว่านี้มากกว่าการเอาฉากตลกจืดๆจากตอนที่ 1 กลับมายัดไว้ท้ายเรื่อง แล้วเอาแค่ Paradox ไปแปะไว้ตอน End Credit ที่คนเดินออกจากโรงหมดแล้ว แถมเล่นเป็นเพลงแปลงเนื้อเสียอีก
แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 54 21:26:33
แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 54 21:26:00
แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 54 00:14:13
แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 54 00:03:51