ความคิดเห็นที่ 1 ลองพม่าสร้างหนังประวัติศาสตร์แล้วพูดถึงไทยต่างไปจากแบบเรียนที่เราเรียนมาสิ เดี๋ยวก็โดนต่อต้าน โดนแบนจากไทย จากคุณ : Love Intruder เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 03:16:39

ความคิดเห็นที่ 2 มีเยอะครับ จากคุณ : H-vichaiyut เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 05:09:04

ความคิดเห็นที่ 3 พม่าเขาไม่มีระบอบกษัตริย์เเล้วครับ    เขาก็เลยไม่ซีเรียสเรื่องประวัติศาสตร์ของกษัตริย์ในอดีตเท่าไร     เเต่ก็มีกษัตริย์ที่คนพม่ายังนับถือมอยู่มากอย่างเช่น พระเจ้าบุเรงนอง     ถือเป็นกษัตริย์ในยุคยิ่งใหญ่ของพม่าน่าจะประมาณสมเด็จพระนเรศวรของเรา       ส่วนเรื่องประวัติศาสตร์หนังละครเเต่ละชาติก็ต้องให้ประเทศตัวเองเป็นพระเอกทั้งนั้นเเละครับเป็นเรื่องปกติ      ขเมรเองก็มีละครพีเรียดหลายๆเรื่องที่คนไทยเมืองไทยเป็นตัวร้าย     พวกที่เกลียดไทยส่วนใหญ่จะเป็นคนลาวกับกัมพูชามากกว่าพม่า    เพราะส่วนใหญ่เราไม่ค่อยจะไปบุกพม่า    เรารบกับพม่าส่วนใหญ่เพราะรับมือการบุกของพม่ามากกว่า     ต่างกับลาวเเละกัมพูชาที่ไทยพยายามเข้ายึดครองเวลาบ้านเมืองเราเข้มเเข็ง     เพราะ2ประเทศนี้อุดมสมบูรณเเละก็มีวัฒนธรรมที่คล้ายๆกัน     ส่วนใหญ่ถ้ายังยึดลาวกับกัมพุชาไม่ได้เราก็จะไม่ไปตีพม่า      เเต่พอเรายึดลาวกับกัมพูชาได้จริงๆ(ในช่วงรัชกาลที่1)เเค่ดูเเลลาวกับกัมพูชาไม่ให้เเข้งข้อก็วุ่นวายมากเเล้ว       ก็เลยไม่ได้บุกพม่าซักที        จนกระทั่งฝรั่งเข้ามาล่าอานิคมเราก็ค่อยๆเสียดินเเดนในปกครองไปเเล้วก้ไม่เคยไปยึดคืนกลับมาได้อีกเลย แก้ไขเมื่อ 02 เม.ย. 54 05:24:22 จากคุณ : พระเอกจอมหักกระดูก เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 05:21:59

ความคิดเห็นที่ 4 ตอบ พม่า มีแน่นอนครับ ที่ประวติศาสตร์ ไม่ตรงกัน แต่ อาจจะไม่ใช่สาระสำคัญ ที่จะต้องมาท้วงกันใหญ่โต เช่น ยุทธหัตถี ไม่มีจริง ในบันทึกพม่า พระมหาอุปราชา สิ้นด้วยปืน มีเยอะแยะมาก ครับ ...... จาก ความเห็น 3 ประโยคที่ว่า ... เเต่พอเรายึดลาวกับกัมพูชาได้จริงๆ(ในช่วงรัชกาลที่1) ... แค่นี้ ก็ไม่ตรงกับ ที่ ลาวและเขมร บันทึกไว้ และ ไม่น่าจะใช่ความเป็นจริง ตามสภาพแวดล้อม ในยุคนั้น ในสมัย ร.1   ไม่น่าจะใช่ " ยึด" ครับ สมัยนั้น ยังเป็น ประเทศราช ที่ยังให้ปกครองตัวเอง แต่ต้องส่งบรรณาการ และ เมื่อมีการขอความช่วยเหลือ ก็ต้องส่งมา คือ ในยุคนั้น ยังเป็นนครรัฐ  ไม่ใช่ ประเทศ ที่มีขอบเขต ประวัติศาสตร์​ที่มาเขียน ในยุคบ้า อำนาจชาตินิยมของไทยเรา ที่เขียนขอบเขตประเทศในยุค ร1 กว้างขวางมากมายนั้นละครับ ที่ไม่น่าจะตรง จะใช้คำว่ายึด นั้น  ผมคิดว่า ต้องสมัย เราบุกไปพระตะบอง นั้นละครับ ยึด จริงๆ ส่งคนไปปกครองจริงๆ แต่ สมัย ร.1 นั้น   เชื่อว่า เขายังคิดว่า เขาก็คือลาว แค่ ต้องอ่อนน้อม เพราะ เราเข้มแข็งกว่าแค่นั้น แต่ เมองของเขาก็ยังเป็นเมืองของเขาอยู่  ไม่ใช่อาณาเขตของส่วนกลาง ..... อันที่จริง  ผลเสียของ หนังพระนเรศวร ก็มีบ้าง คือ ผมคิดว่า ทำให้ เพื่อนบ้านของเราบางส่วน จะยิ่งไม่ชอบ ประวัติศาสตร์ของไทย บางส่วน ชอบเขียนอะไรๆ ต่ออะไร เข้าข้างตัวเอง และยัดเยียด ความเป็นผู้ร้าย ให้คนอื่นๆ ตรรกะ ก็ เป็นสองมาตรฐาน  และเอาดีใส่ แต่พวกเราเอง เช่น พระนเรศวร ประกาศเอกราช  เราเรียก กอบกู้บ้านเมือง แต่ พอ เจ้าอนุวงศ์ จะกอบกู้บ้านเมือง  เราเรียกว่า กบฏ เมืองละแวกกวาดต้อนคน เราเรียกลอบกัด กรมพระราชวังบวร ไปตีปัตตานี กวดต้อนคนมา เราเรียก เผยแผ่ พระบารมี ... ถ้า ยังไม่ปรับเปลี่ยนทัศนะคติ คนไทย จะคบ เพื่อนบ้านยาก ในยุคปัจจุบัน ที่ เขาเลิกบ้า เรื่องความยิ่งใหญ่ ในประวัติศาสตร์ของชาติตัวเองแล้วนั้น เราจะตามเขาไม่ทัน ขออภัย ถ้าความเห็นของผมจะ ไม่ตรงกับใครบ้าง แต่ เป็นการมองจากอีกมุมหนึ่ง ซึ่ง ไม่อยากจะอวย อะไรเว่อร์เกินจริง ;-) จากคุณ : บางคนเรียกผมว่า (lexusman) เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 06:10:59

ความคิดเห็นที่ 5 เห็นด้วยกับคุณ คนเรียกผมว่า (lexusman) มากๆ ตอนเด็กๆที่เราเคยเรียนเราก็จะรู้สึกว่าทำไมประเทศเราโชคร้ายขนาดนี้ ทำไมพม่าต้องมาทำสงคราม มาทำลายบ้านเมืองเรา ยิ่งเราเป็นคนลพบุรี โบราณสถานที่เหลือให้เห็นก็มองไม่ออกเลยว่านี่หรือคือพระราชวังของพระนารายร์มหาราช เรารู้สึกโกรธแค้นแทนประเทศชาติมากๆในตอนนั้น แต่พอโตขึ้น ความคิดเริ่มเปลี่ยนไป เริ่มอยากรู้ประวัติศาสตร์พม่าบ้างว่าเป็นอย่างไร พม่าจะเขียนว่าประเทศเราบ้างไหม ในเมื่อบางครั้งเราก็ไปบุกเค้าก่อนเหมือนกัน ที่มาเขียนนี้ ไม่ได้ไม่รักชาติแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าอยากให้มองทั้งสองด้านบางค่ะ จากคุณ : aumlek เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 08:05:50

ความคิดเห็นที่ 6 ในอดีตกาล มันเป็นยุคของการล่าอาณานิคม ประเทศส่วนใหญ่ก็บุกกันไปบุกกันมาทั้งนั้น ประวัติศาสตร์ประเทศใคร ใครก็ต้องเขียนให้ดูดี ดูเป็นพระเอกด้วยกันทั้งนั้นและ ละครเขมร ละครพม่า ก็ให้เราเป็นตัวร้ายเหมือนกัน ก็ต่างคนต่างสร้างกันไป เรื่องประวัติศาสตร์คงมาทักท้วงอะไรกันไม่ได้หรอก จากคุณ : เส้นใหญ่พิเศษ เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 08:22:25

ความคิดเห็นที่ 7 พี่ไทยเราก็เคยไปบุกเผาเวียงจันทร์ในสมัยรัตนโกสินทร์นะครับ :) อย่างไรก็ดี คิดว่าเรื่องนี้ก็เชิดชูกษัตริย์พม่าในแบบที่เชิดชูได้ และพยายามผนวกรวมเรื่องราวของทั้งสองประเทศแล้วนะครับ ไม่ใช่สร้างจากฝ่ายเราอย่างเดียว อย่างบุเรงนองก็เห็นภาพยนต์สร้างออกมาให้ดี อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าเรื่องราวที่ขัดแย้งกัน ถ้าจะให้น้ำหนัก ก็คงเน้นมาทางเรื่องจากบันทึกของไทยมากกว่า จากคุณ : pcplant เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 08:42:04

ความคิดเห็นที่ 8 ประวัติศาสตร์มีอยู่สามด้าน ด้านที่หนึ่ง มุมมองของเรา ด้านที่สอง มุมมองของเพื่อนบ้าน ด้านที่สาม มุมมองของความจริง(ซึ่งทุกฝ่ายมักจะอ้างมุมมองของตัวเองเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น) ต้องให้คนที่มีใจเป็นกลางและไม่มีอคติ ส่วนได้ส่วนเสีย ตัดสิน ซึ่งไม่มีในโลกนี้ ตอนเรียนเรานี่โคตรจะอิน โตขึ้นมารับรู้ประวัติศาสตร์ชาติอื่นๆในโลก ก็ทำให้รู้ว่า ไม่ว่าเมื่อไรใครแข็งแรงกว่าคือผู้ชนะ ที่สำคัญตอนนี้เราต่างจากอดีตนิดหน่อยเปลี่ยนจากพม่าเป็นชาติตะวันตกที่เราต้องเสียดุลการค้าตลอด  ซึ่งไม่ต่างต่างการส่งบรรณาการไปให้ในอดีตเลย จากคุณ : สาวกรกฏ เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 08:43:00

ความคิดเห็นที่ 9 จากคห.ข้างบน ....มันเป็นยุคของการล่าอาณานิคม ประเทศส่วนใหญ่ก็บุกกันไปบุกกันมาทั้งนั้น ........ ใจความตรงนี้ ขอเพิ่มคำอธิบาย ในฝั่งยุโรป น่าจะใช่ แต่ ในฝั่งอุษาคเนย์ นี้  น่าจะเป็นในสองสามเหตุผล ที่ต่างจากตะวันตกพอสมควร หลักใหญ่ๆ คือ ทรัพยากรมนุษย์ และ ของมีค่าที่จำเป็นตามยุคสมัย สมัยก่อน มีคนจำนวนน้อย และอยู่กันเป็น นครรัฐ ปกครองกันเอง เมื่อกษัตรย์ องค์ใดจะมีบุญญาธิการ ก็ต้องมีคนมากๆ จะได้ก่อสร้างเมืองใหญ่ มีกำลังพล ฯลฯ ดังนั้น การสงคราม ในอุษาคเนย์ นี้ นักวิชาการตีความไว้จากสามเหตุใหญ่ๆ คือ ต้องการต้อนคนมาเสริม ,ของมีค่า และ เป็นการละเล่นของพระมหากษัตรย์ ไปด้วย ที่ว่า ต่างจาก ยุคล่าอาณานิคม ก็คือ ในอุษาคเนย์  การรบ ก็ต่างจาก ตะวันตก ซึ่งคือฆ่าไม่นับสับไม่เลี้ยง   แล้ว ส่งคนของตัวเองมาปกครอง กดขี่ชาวเมือง ปล้นของต่างๆไปหมด แต่ ของละแวกแถบนี้ จะเป็นการยกทัพมาประชิดเมือง รบกันแบบมีแบบแผน มีค่ายคู มีการต่อสู้ หรือมีการเจรจาให้ยอม ถ้าไม่ยอม ก็ฆ่ากันไป  ที่เหลือ ก็กวาดต้อนครัวเรือนกลับ ถ้ายอม ก็นับเป็นประเทศราช แล้วก็ใ้ห้เจ้าเมืองเดิมปกครองต่อไป แต่ ต้องส่งบรรณาการ แล้วถ้ามีการขอใช้กำลังคนกำลังทัพ ก็ต้องส่งไปช่วย ดังนั้น แถบภาคนี้ จึงมักจะมีการแต่งงานข้ามเมือง กันให้มากเข้าไว้ เพื่อผูกสัมพันธ์ ทำนองนี้ ครับ ผมอาจจะเขียนได้ไม่ดีนัก ต้องขออภัย ประเด็นคือ สงครามสมัยก่อน กับสมัยนี้ มาจากเหตุ ที่แตกต่างกัน น่ะครับ ;-) แก้ไขเมื่อ 02 เม.ย. 54 08:45:46 จากคุณ : บางคนเรียกผมว่า (lexusman) เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 08:44:48

ความคิดเห็นที่ 10 เห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้เหมือนกัน เคยไปประชุมระดับอาเซียนก็มีการพูดกันขำๆปนความจริงว่าถ้าเรายังยึดถือประวัติศาสตร์มากเราก็จะไม่สามารถให้ความไว้วางใจเพื่อนบ้านได้เต็มที่ในเวลาปัจจุบัน มันก็จริงเหมือนกันนะเวลาเราไปพม่าก็ต้องชี้ยอดเจดีย์ชเวดากองเวลาคนลาวมาไทยก็ต้องพูดว่าเดิมพระแก้วมรกตเป็นของเค้า ดูในหนังแล้วก็สงสัยตงิด ตงิด ว่าพระมหาอุปราชาในเรื่องเหมือนจะฝักใฝ่เพศเดียวกัน ใช่หรือเปล่าใครช่วยตอบที ถ้ามันไม่ใช่แต่คนพม่าตีความอย่างเราก็คงไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ แล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าการปลุกใจให้รักชาตินี่ทำไมเราต้องยกเรื่องแต่อดีตมาเป็นตัวนำด้วย เราสร้างเสริมอะไรใหม่ๆจากปัจจุบันได้หรือเปล่า จากคุณ : แม่เสือ (tongcho) เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 09:30:16

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณทุกข้อมูลค่า  เรามองกว้างขึ้นเยอะเลยค่ะ จากคุณ : shay@pantip เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 09:30:26

ความคิดเห็นที่ 12 ชอบกระทู้นี้ครับ จากคุณ : โลกนี้ช่างโหดร้าย เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 09:49:42

ความคิดเห็นที่ 13 เห็นด้วยกับ  บางคนเรียกผมว่า (lexusman) คนรู้จักหลายคนไม่ยอมไปเที่ยวพม่า เพราะติดกับเรื่องราวเมื่อหลายร้อยปีก่อน ว่าพม่ารุกรานไทย  ยึดไทยเป็นเมืองขึ้น แต่ในทางกลับกัน เราไปเมืองลาวมา เขาก็เริ่มด้วยการนำไปชมวัดแห่งเดียวของเวียงจันทร์ที่ไม่ถูกเผา จากไทย หลังจากนั้นก็จะมีแต่เรื่อง ของเมืองไทยอันนู้นอันนี้เป็นของลาวมาก่อน ตอนไปเที่ยวเขมรเมื่อหลายป๊ก่อนก็เหมือนกัน เรารู้สึกว่า  เรากำลังถูกกระตุ้นให้เดินย้อนกลับไปมองอดีตและจมอยู่กับมัน มากกว่าที่จะมองไปข้างหน้า พูดตรงๆนะ  ห่วง จากคุณ : tee-aun เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 09:52:36

ความคิดเห็นที่ 14 เราไม่บุกเขา เขาก็บุกเรา ไม่มีหรอกนะที่จะอยู่ด้วยแบบสันติจี๋จ๋ากัน เขาถึงมีคำบอกไงว่าประวัติศาสตร์เขียนโดยฝ่ายที่ชนะ จากคุณ : ปลายเทียน เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 10:20:02

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณบรรพบุรุษของไทยที่สละเลืดเนื้อเพื่อลูกหลานอย่างเราๆ ให้มีแผ่นดินอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นในทุกวันนี้ด้วยจ้ะ ว่างเมื่อไหรจะรีบไปดูเลยเรื่องนี้ รอคอยมานานมากๆ จากคุณ : ตุ๊มาแว้ว เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 10:26:53

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณกระทู้สร้างสรรค์นี้ครับ ทำให้เห็นมุมมองต่างกัน แบบไม่ขัดแย้ง ผมเห็นด้วยว่า "ประวัติศาสตร์ถูกเขียนโดยผู้ชนะ" ผมก็เป็นคนรักชาตินะ แต่รักแบบ 360 องศา อยากรู้เรื่องจริง ในประวัติศาสตร์หลายๆ เรื่อง จากคุณ : jantah16 เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 11:56:17

ความคิดเห็นที่ 17 ต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับ ว่าเราเพิ่งรวมชาติกันเมื่อร้อยกว่าปีมานี่เอง ในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่เรามาเป็นประเทศไทยในสมัยจอมพล ป. นี่เอง ก่อนหน้านี้เราเป็นสยาม สยามชื่อของเชื้อชาติหนึ่ง ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วยรัฐต่าง ๆ ที่มีชื่อเรียกเป็นของตนเอง (อ่านประวัติศาสตร์ประกอบดูครับ) เมื่อลัทธิล่าเมืองขึ้นจากยุโรปแผ่เข้ามา เราจำเป็นต้องเข้มแข็ง และมีตัวตนที่ชัดเจน การรวมชาติจากการรวมรัฐต่าง ๆ จึงเกิดขึ้น และกลายเ้ป็นประเทศไทยในปัจจุบัน บางรัฐที่รวมเข้ามาอาจจะสูญเสียอะไรหลาย ๆ อย่าง แต่บางรัฐก็ยังคงอยู่ เพียงแต่ลดบทบาทลงเล็กน้อย การรวมชาติของไทย สิ่งที่ยังทำให้ประเทศไทยสงบร่มเย็นได้ตามสมควรมาทุกวันนี้ เพราะสถาบันกษัตริย์ที่ยังคงทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ และมีความแข็งแรงมั่นคงจากแรงสนับสนุนของประชาชนในชาติ ที่แสดงออกมาในรูปแบบที่เรียกว่าความจงรักภักดี ต่างจากพม่า ที่พยายามจะรวมประเทศมาจนถึงปัจจุบันนี้ ก็ยังทำได้ไม่สนิทแน่นแฟ้นเท่าของเรา ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะเป็นเพียงการตีความในมุมมองหนึ่ง แต่อย่างน้อย ตัวหนังมันก็ประสบความสำเร็จในการสร้างความคิดให้เกิดขึ้นแก่คนดูว่า เราจะ"เป็น" และจะ "ไป" ในแบบไหนกัน ด้วยความเคารพครับ สมนึก สมนาค จากคุณ : teacheregg เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 12:06:37

ความคิดเห็นที่ 18 กระทู้นี้ดีจัง ได้รับความรู้เพิ่มเติม ยอมรับว่าตัวเองก็อินกับเรื่องพม่าเผาเมืองมาก มีไม่ชอบพม่าบ้างบางครั้งที่ไปอ่านหนังสือเก่าๆ เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ หรือไปอยุธยา ก็จะพูดๆๆๆ และตั้งใจจะไปดูพระนเรศวร ภาค 3 แน่นอน จากคุณ : pan_dimond เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 12:44:10

ความคิดเห็นที่ 19 แต่หนังพระเนรศวร(ภาคก่อนฯ)นี่ผมชอบที่ให้เกียรติบุเรงนองมากเลย มีศักดิ์ศรีและเท่มากๆแม้จะอยู่ฝั่งตรงข้าม จากคุณ : BIOS เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 14:06:40

ความคิดเห็นที่ 20 เท่าที่จำได้ เดิมพระแก้วมรกตเป็นของไทยอยู่แล้วนะคะ ลองค้นๆดูำได้ อยู่วัดพระแก้วเชียงรายแล้วกษัตริย์เชียงใหม่(ตอนนั้น)อัญเชิญไป แต่เกิดเหตุการณ์ให้ไปอยู่ลำปางก่อนแล้วจึงไปเชียงใหม่ จากเชียงใหม่ถึงได้ไปอยู่ลาว แล้วเราถึงได้ไปอัญเชิญคืนกลับมานะคะ แก้ไขเมื่อ 02 เม.ย. 54 22:30:33 จากคุณ : มองดูท้องฟ้า....ไม่เป็นเช่นเคย เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 15:00:41

ความคิดเห็นที่ 21 บ้านใกล้เรือนเคียงตีกันเองยังพอเข้าใจ แต่เกลียดอิพวกฝรั่งมาก อยู่ตั้งไำกลสาระแนจะข้ามน้ำข้ามทะเลมามั่วเอาเป็นของตัวเอง .. หน้าด้าน !! จากคุณ : Boy4Boyz เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 15:56:04

ความคิดเห็นที่ 22 บทหนังของตำนานเป็นบทที่เขียนจากพระราชพงศาวดารของทั้งไทยและพม่าครับ(มีจดหมายเหตุของฝรั่งมาช่วยสนับสนุนถึงเหตุการณ์ต่างๆ)และบทเขียนโดยอ.สุเนตรผู้เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องพม่าและอาจารณ์พม่าอีกหลายท่าน ก็จริงที่เราบอกว่าเป็นการประกาศอิสรภาพแต่พม่าเห็นว่าเราเป็นขบถ ดูได้จากคำพูดของนันทบุเรงที่พูดกับพระสุพรรณกัลยา ที่ว่าพระนเรศวรเป็นขบถถึงต้องส่งพระยาพสิมกับพระเจ้าเชียงใหม่(นรธาเมงสอ)ไปปราบ หนังเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรผมพยายามทำให้ดูเป็นกลางๆไม่มีพระเอกไม่มีผู้ร้าย ว่าไปตามที่คนโบราณเขาเขียนบรรทึกเอาไว้ครับ แต่บางอย่างก็ต้องใช้ตีความหมายเอาแต่ไม่มีเจตนาที่จะชี้แนะเช่นในกรณีของอุปราชากับมังจาปโร ทั้งสองเป็นนักรบที่ยอมตายแทนกันได้อยู่ในสมรภูมิรบด้วยกันมาตั้งแต่เยาว์วัย ดังนั้นการแสดงออกเช่นการกอดกันก็เป็นเรื่องธรรมชาติของคนที่รักใคร่สนิทสนมกัน(ถ้าอย่างนั้นนักฟุตบอลที่หลังจากยิงโกล์ได้ก็ดป็นเพศที่สามกันหมดน่ะซีครับ). ความสนิทสนมของอุปราชากับมังจาปโรจะเห็นได้ชัดเจนตอนสงครามยุทธหัตถีที่มังจาปะโรขับช้างเพื่อช่วยพระมหาอุปราชแล้วโดนพระเอกาทศรถฆ่าตาย ส่วนเรื่องมียุทธหัตถีหรือไม่นั้นพระราชพงศาวดารของพม่าก็บอกว่ามีแต่การสิ้นพระชนม์ของอุปราชาแตกต่างไปจากที่รู้ๆกันอยู่คือถูกยิงตายไม่ใช่ถูกฟันด้วยพระแสงของ้าว(เรื่องยุทธหัตถีที่เราคุ้นเคยมาจาการบอกเล่าของวันวลิสครับ) ดังนั้นการสนิทสนมของทั้งสองอาจจะทำให้เราดิดว่าทั้งสองเป็นเพศที่สาม(จะเป็นไปได้หรือเปล่าผมก็ไม่รู้แต่ชายรักชายมีมาก่อนหน้านี้แล้วครับ) ส่วนเรื่องรัตนาวดีกับอังกาบก็เหมือนกัน ทั้งสองเป็นเพื่อนรักกันครับแต่ไม่ได้มีวี่แววว่ามีการรักแบบรักร่วมเพศครับ(หรือมีผมก็ไม่ได้สังเกตุครับ) จากคุณ : Cinephile เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 17:40:13

ความคิดเห็นที่ 23 บทหนังของตำนานเป็นบทที่เขียนจากพระราชพงศาวดารของทั้งไทยและพม่าครับ(มีจดหมายเหตุของฝรั่งมาช่วยสนับสนุนถึงเหตุการณ์ต่างๆ)และบทเขียนโดยอ.สุเนตรผู้เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องพม่าและอาจารณ์พม่าอีกหลายท่าน ก็จริงที่เราบอกว่าเป็นการประกาศอิสรภาพแต่พม่าเห็นว่าเราเป็นขบถ ดูได้จากคำพูดของนันทบุเรงที่พูดกับพระสุพรรณกัลยา ที่ว่าพระนเรศวรเป็นขบถถึงต้องส่งพระยาพสิมกับพระเจ้าเชียงใหม่(นรธาเมงสอ)ไปปราบ หนังเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรผมพยายามทำให้ดูเป็นกลางๆไม่มีพระเอกไม่มีผู้ร้าย ว่าไปตามที่คนโบราณเขาเขียนบรรทึกเอาไว้ครับ แต่บางอย่างก็ต้องใช้ตีความหมายเอาแต่ไม่มีเจตนาที่จะชี้แนะเช่นในกรณีของอุปราชากับมังจาปโร ทั้งสองเป็นนักรบที่ยอมตายแทนกันได้อยู่ในสมรภูมิรบด้วยกันมาตั้งแต่เยาว์วัย ดังนั้นการแสดงออกเช่นการกอดกันก็เป็นเรื่องธรรมชาติของคนที่รักใคร่สนิทสนมกัน(ถ้าอย่างนั้นนักฟุตบอลที่หลังจากยิงโกล์ได้ก็ดป็นเพศที่สามกันหมดน่ะซีครับ). ความสนิทสนมของอุปราชากับมังจาปโรจะเห็นได้ชัดเจนตอนสงครามยุทธหัตถีที่มังจาปะโรขับช้างเพื่อช่วยพระมหาอุปราชแล้วโดนพระเอกาทศรถฆ่าตาย ส่วนเรื่องมียุทธหัตถีหรือไม่นั้นพระราชพงศาวดารของพม่าก็บอกว่ามีแต่การสิ้นพระชนม์ของอุปราชาแตกต่างไปจากที่รู้ๆกันอยู่คือถูกยิงตายไม่ใช่ถูกฟันด้วยพระแสงของ้าว(เรื่องยุทธหัตถีที่เราคุ้นเคยมาจาการบอกเล่าของวันวลิสครับ) ดังนั้นการสนิทสนมของทั้งสองอาจจะทำให้เราดิดว่าทั้งสองเป็นเพศที่สาม(จะเป็นไปได้หรือเปล่าผมก็ไม่รู้แต่ชายรักชายมีมาก่อนหน้านี้แล้วครับ) ส่วนเรื่องรัตนาวดีกับอังกาบก็เหมือนกัน ทั้งสองเป็นเพื่อนรักกันครับแต่ไม่ได้มีวี่แววว่ามีการรักแบบรักร่วมเพศครับ(หรือมีผมก็ไม่ได้สังเกตุครับ) จากคุณ : Cinephile เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 17:41:04

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณค่ะท่านcinephile ถ้าดูในสมัยโน้นคงไม่มีใครคิดถึงเรื่องเพศที่สาม แต่สมัยนี้มันค่อนข้างเยอะนะคะ ถ้าไม่ได้หมายความอย่างนั้นก็รับทราบค่อาจตีความผิดไปเเอง จากคุณ : แม่เสือ (tongcho) เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 19:13:05

ความคิดเห็นที่ 25 เท่าที่ผมทราบตอนที่พระแก้วอยู่ที่แถวๆภาคเหนือ ตอนนั้นยังไม่มีประเทศไทยนะครับ เป็นเมืองๆ นครๆ ปกครองตัวเอง จากที่อ่านคร่าวๆ คงประมาณว่าสมบัติผลัดกันชม โดยครั้งสุดท้ายเราใช้กำลังไปยึดมาจากลาว มันก็เท่านั้น ข้ออ้างที่บอกว่าเป็นของไทยอยู่แล้วเพราะปัจจุบันเชียงใหม่เป็นประเทศไทย ก็นะ... จากคุณ : แมวดมกล้วย เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 54 00:10:17

ความคิดเห็นที่ 26 ......... เราเองก็ชอบเผลอ...เผลอจะให้ตำนานสมเด็จพระนเรศวรต้องเป็นหนังสารคดี แทนที่จะมองตามความเป็นจริงว่าเป็นหนังอิงประวัติศาสตร์ ซึ่งท่านมุ้ยเองจึงได้ทรงใช้ชื่อหนังโดยมีคำว่าตำนานกำกับไว้............. สร้างหนังบอกเรื่องราวในประวัติศาสตร์ให้คนดูดูสนุกนั้น เราท่านย่อมรู้ว่ายากเพียงใด ต้องขอให้กำลังใจทีมงานทุกท่าน ด้วยความชื่นชมในฝีมือ ภาพยนต์เรื่องทำนองนี้ อาจมีส่วนช่วยมาก ให้พวกเราหันมาภูมิใจในบรรพบุรุษของเราเองบ้าง พระคุณของบรรพชนไทยเราเป็นสิ่งที่พวกเราควรสำเหนียก แต่แปลก ที่ความคิดการดูถูกเผ่าพันธุ์ของตนเองกลับกำลังแพร่หลายขึ้นมาพอควร พร้อมๆกับลัทธิบูชาฝรั่งหรือตะวันตกว่าเป็นประหนึ่งเทพเจ้า จึงเกิดการหยิบยกนำการล่าอาณานิคมของจักรวรรดินิยมตะวันตก มาเปรียบเทียบในระนาบเดียวกันกับการกู้ชาติหรือปกป้องขอบขันธสีมาของบูรพกษัตริย์ไทยแต่โบราณ การหวงแหน/สำนึกรักบ้านเกิด/ภูมิใจในความเป็นไทย ที่ต่างชาติยกย่องสรรเสริญ กลายเป็นถูกคนกลุ่มหนึ่งพยายามประนามจากคนในชาติเดียวกันเอง ว่าคลั่งชาติ บรรพบุรุษไทยไม่เคยเป็นจักรวรรดินิยมผู้รุกรานหรือเที่ยวตระเวณไปทั่วโลกเพื่อปล้นทรัพยากรของชาติอื่น ดังเช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส โปรตุเกต ฯลฯ กระทำในอดีต การที่บรรพบุรุษของประเทศใดๆจะปกป้องอาณาประชาราษฎร์ให้ร่มเย็น เป็นสิ่งถูกต้องสำหรับประเทศนั้นๆ แต่การไล่ล่าขยายอิทธพลไปทั่วโลก ย่อมต่างกันโดยสิ้นเชิง หาสมควรมาเปรียบเทียบกันไม่ สำนึกในความเป็นชาติของเรา น้อยเกินไปไหม? ศัพท์ฝรั่ง ไม่มีคำว่า น้ำใจ เกรงใจ แต่ก็ยังมีคำ Patriot อยู่ในภาษาของเขา เลิกดูถูกประเทศชาติและเผ่าพันธุ์บรรพบุรุษของตนเองเสียบ้างเถิดเพื่อนเอ๋ย แค่นี้ก็อายเขมรแย่แล้ว............... ..ขออนุญาตทูลถามท่านมุ้ยว่า นิยายเรื่อง จามเทวี ของ น้อย อินทนนท์หรือครูมาลัย ชูพินิจ พอจะสร้างเป็นหนังควบคู่ไปกับ เพชรพระอุมา ได้ไหม??? เอาแบบเป็น coffee break ของเพชรพระอุมา น่าจะได้ ใช้พร็อบและฉากเดียวกันเลย .... แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 54 19:44:14 จากคุณ : สามยาหยี เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 54 13:36:48

ความคิดเห็นที่ 27 เฉพาะเรื่องพระแก้วมรกตนะคะ เห็นด้วยกับคุณ แมวดมกล้วยค่ะ ในอดีตที่ยังไม่มีการรวมแผ่นดินให้เป็นประเทศ มีเส้นขีดแบ่งพื้นที่ชัดเจน แต่ละเมือง แต่ละแคว้นก็เป็นอิสระ ปกครองตัวเองกันทั้งนั้น หากไปดูประวัติของพระแก้วมรกต จะเห็นเป็น "สมบัติผลัดกันชม" จริงๆ เพียงแค่ว่าการเปลี่ยนมือจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่งนั้นเปลี่ยนมือเพราะ "อัญเชิญไป" หรือ "ไปริบของเขามา" แค่นั้นเอง เมื่อครั้งที่พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่เชียงราย พระเจ้าสามฝั่งแกนของเวียงพิงค์ก็ไปอัญเชิญมาประดิษฐานอยู่เชียงใหม่เหมือนกัน อาจจะด้วยถือว่าตนนั้นสืบเชื้อสายมาจากพญามังรายซึ่งมีกำเนิดจากนครเงินยางเชียงแสนเช่นกัน แต่พอช้างที่อัญเชิญมาไม่ยอมมุ่งหน้าไปเชียงใหม่ แต่กลับหันเหไปเมืองละกอน ก็เลยต้องให้พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่เมืองลำปางหลายสิบปี พอถึงยุคของพระเจ้าติโลกราชก็ไปอัญเชิญมาเชียงใหม่ จนถึงรัชสมัยของพระเจ้าไชยเชษฐา พระโอรสของกษัตริย์ล้านช้างที่มาปกครองเชียงใหม่ 2 ปี หลังจากที่พระบิดาสวรรคตก็ต้องกลับไปปกครองล้านช้าง พระองค์ก็อัญเชิญพระแก้วมรกตไปไว้ที่ล้านช้าง (ประชาชนคนล้านนาในยุคนั้นจะเสียดายหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ทำไงได้ เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินจะเอาไปนี่) พอพระพุทธยอดฟ้าฯ ไปตีเวียงจันทน์ก็อัญเชิญมาอยู่ที่กรุงธน เราว่าความเจ็บปวดกับประวัติศาสตร์ของคนแต่ละชาติไม่เท่ากัน ก็เลยอาจจะทำให้เกิดความหวงแหนผูกพันต่างกัน อย่างคนล้านนาก็คงไม่รู้สึกว่าล้านช้างมาชิงเอาพระแก้วมรกตไป เพราะคนที่เอาไปก็คือกษัตริย์ที่เคยปกครองตัวเอง แต่ในขณะที่คนลาวเขารู้สึกว่าเขาเสียพระแก้วไปเพราะกษัตริย์ไทยมาทำศึก เขาก็เลยเจ็บจำมากกว่า....เราคิดว่าอย่างนี้นะคะ จากคุณ : [NostalgiA] เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 14:25:01

ความคิดเห็นที่ 28 เรื่องอื่นๆ ผมไม่แน่ใจน่ะครับ แต่ถึงเวลาหรือยังที่บ้านเราจะต้องเลิกเรียนประวัติศาสตร์แบบล้าหลังคลั่งชาติ  รักชาติกับคลั่งชาติมันต่างกันจริงๆ นะครับ จากคุณ : ดาวตก@ผีเสื้อ@กระบี่ เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 14:50:46