ความคิดเห็นที่ 1 ถ้าผิดตามที่คุณว่า แสดงว่าคนเขียนบทไม่แน่นเรื่องประวัติศาสตร์ครับ จากคุณ : แมวอ้วน (หมูน้อย กะ แมวอ้วน) เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 13:40:43

ความคิดเห็นที่ 2 คนสุพรรณพูดสำเนียงสุพรรณ แต่พม่า ละเเวก เชียงใหม่ พูดไทยเฉยๆเลยอ่ะ อย่างน้อยๆพระเจ้าเชียงใหม่ น่าจะให้ลุงชลิตอู้เมืองก็ยังดี จากคุณ : SlowlyDrying เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 13:52:37

ความคิดเห็นที่ 3 1. ถ้าเป็นตามนั้นคงเป็นตาม #1 2-3. เป็นการคาดเดา ว่าสมัยนั้นจะแต่งแบบนั้นแบบนี้ หรือพูดแบบนั้นแบบนี้ เรื่องเครื่องแต่งกายพอมีหลักฐานอยู่บ้าง แต่ลักษณะการพูดจา หลักฐานมีน้อยมากครับ จากคุณ : คนเดินทาง เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 13:56:01

ความคิดเห็นที่ 4 จากที่ได้ดูรายการทางช่องเก้าเมื่อเช้าวานที่ท่านมุ้ยมาพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้นะครับ ท่านบอกว่า เรื่องราวต่างๆที่บันทึกในประวัติศาสตร์ ในพงศาวดารต่างๆนั้น จริงเท็จแค่ไหนก็ไม่รู้ ท่านไม่ทราบเพราะตอนนั้นท่านยังไม่เกิด การจดบันทึกมีมากมายหลายเล่ม หลายเหตุการณ์ ดังนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ ท่านจึงใช้คำว่า "ตำนาน"นำหน้า นั่นคือ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป้นเพียงเรื่องเล่า เป็นเพียงตำนานในอดีต ซึ่งจะเป็นจริงหรือไม่จริงก็ได้ ดังนั้นจุดประสงค์ของการสร้างนี้ ก็เพื่อให้คนที่ได้ดูได้ชมได้มาถกกัน ว่าสิ่งต่างๆ เหตุการณ์ต่างๆในภาพยนตร์เรื่องนี้ เกิดขึ้นจริงไหม เกิดขึ้นยังไง อย่าง ที่ จขกท ได้สงสัยและซักถาม ก็ถือว่าตรงตามจุดประสงค์ของท่านมุ้ยแล้ว ว่า อย่างน้อยคนที่อ่านกระทู้นี้ก็คงได้รู้ว่า สมัยก่อน ไม่ได้เรียกว่า ทุ่งหันตรา  ซึ่งผมก็เพิ่งทราบในวันนี้เช่นกันว่า เรียกว่า ทุ่งหาญกล้า จากคุณ : CrazyMc เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 14:06:55

ความคิดเห็นที่ 5 คหสต. นะคะ  ขออนุญาตแสดงความคิดเห็น ๑)ที่เราคิดว่าท่านมุ้ยใช้ชื่อปัจจุบัน  เพื่อให้คนได้เข้าใจได้รู้จัก  คนที่อยู่บริเวณนั้นก็จะพอนึกภาพออกว่า  อยู่ตรงนี้นะ  อยู่ตรงนั้นนะ  เพราะบางคนไม่รู้ชื่อเก่าแต่เดิม ๒)แล้วเรื่องชื่อวัด  ตามที่เราเข้าใจ อาจเรียกให้สั้นบ้างยาวบ้าง  อย่างพระมหาอุปราชา(พม่า) บางทีเรายังเรียกมังสามเกียด หรือพระมหาอุปราชา  หรือพระมหาอุปราช  นั่นก็หมายถึงคนๆเดียวกัน  อย่างวัดโพธิ์  เรายังเรียกวัดโพธิ์  ไม่เห็นจะเรียกชื่อเต็ม  บางทีก็เรียกวัดพระเชตุพน  เฉยๆ  (ไม่ต่อด้วยวิมลมังคลาราม) ๓)  เรื่องคำพูดโบราณก็มีบันทึกไว้ค่ะ  แต่จะไม่ใช่ตามพงศาวดารของหลวง  ที่จริงประวัติศาสตร์ไม่ได้มีพงศาวดารฉบับเดียว  อาจมีฉบับที่เป็นคำบอกเล่าชาวกรุงเก่า ก็มีค่ะ  ถ้าสนใจลองไปศึกษาดูได้ (ที่หอสมุดแห่งชาติยังมีเป็นใบลานห่อผ้าพับเก็บไว้อยู่ ต้องขอเข้าไปศึกษาเป็นพิเศษ) ๔)เรื่องการแต่งกาย  เชื่อว่าเรื่องชุดเกราะมีเข้ามาในไทยตั้งแต่สมัยพระนารายณ์แล้วค่ะ เพราะไทยค้าขายกับชาวต่างชาติ  ขนาดอาวุธยังซื้อ  แล้วชุดเกาะจะไม่ใช่ป้องกันเลยก็ไม่น่าจะใช่  โดยเฉพาะเป็นกษัตริย์แล้วควรใส่อย่างยิ่ง  (แต่พระชัยบุรีชอบถอดเสื้อไปรบแฮะ) นี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้นค่ะ  จากความรู้อันน้อยนิดเช่นเดียวกัน จากคุณ : มิคาจี้ เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 14:29:10

ความคิดเห็นที่ 6 1.ชื่อวัดหน้าพระเมรุ ในอดีตเรียกว่า วัดหน้าพระเมรุ(ชื่อเต็มยาว แอบจำไม่ได้ ขอโทษค่ะ) นะคะ เพราะตามหลักฐานในหนังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักรไทยบอกไว้ตามนี้อ่ะคะ เพราะเป็นวัดที่สร้างหน้าพระเมรุถวายพระเพลิงพระศพของกษัตริย์พระองค์พระองค์หนึ่งของอยุธยาค่ะ ส่วนเรื่องภาษาพูดยังไม่ได้ดูเลยบอกไม่ได้ แหะๆ แต่อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยบอกว่าสมัยโบราณนั้นภาษาพูดกับภาษาเขียนไม่ต่างกันนัก ดังนั้นถ้าสืบจากเอกสารโบราณชิ้นต่างๆ ก็จะพอทราบได้ค่ะ จากคุณ : alukkukkik เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 15:03:04

ความคิดเห็นที่ 7 สิ่งหนึ่งที่น่าฉุกคิดคือ หนังเองก็ดูไม่ง่ายอยู่แล้วนะครับ ในส่วนของรายละเอียดเนื้อหา ใครเป็นใคร ตัวละครก็มากมาย โผล่นิดโผล่หน่อย เพราะฉะนั้น ในบางจุด ก็เหมาะที่จะทำให้ง่ายเหมือนกันครับ แต่ก็ดีแล้วครับ มีอะไรสงสัย ข้อมูลอะไรที่ไม่เหมือนในหนัง ก็มาแบ่งปันกัน ขยายความคิด จากคุณ : proofman เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 17:11:59

ความคิดเห็นที่ 8 คห.2 ครับ ลุงชลิตเป็นชาวพม่าที่มาครองเมืองเชียงใหม่ครับ จากคุณ : โอไซริส เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 19:32:55

ความคิดเห็นที่ 9 คห.6 ชื่อเต็มวัดหน้าพระเมรุคือ "วัดหน้าพระเมรุราชิการาม" ครับ จากคุณ : Dek-รังสิต เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 21:17:44

ความคิดเห็นที่ 10 อ่านมาจากผู้รู้วิจารณ์อีกต่อ 1. สมัยนั้นนิยมการสักยันตร์กันภัยที่ผิวหนังให้ฟันแทงไม่เข้าแทนการใช้เสื้อเกราะ แต่นอกจากนี้ยังไม่เคยมีการขุดค้นพบเสื้อเกราะโบราณแม้แต่ตัวเดียว พบเพียงจากในซากเรือจม 1 ตัวเท่านั้น ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่ฮ่องกง ซึ่งไม่มีหลักฐานปรากฏว่ามาจากที่ใด 2. เขาวิจารณ์กันว่าภาษาพูดในเรื่องจะเป็นแนวลิเกมากกว่าภาษาพูดโบราณจริง แต่ข้อนี้ผมสนับสนุน เพราะหากพูดโบราณจริง เชื่อว่าจะฟังไม่รู้เรื่องเป็นแน่ จากคุณ : pcplant เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 22:17:25

ความคิดเห็นที่ 11 คำพูดน่าจะได้จากหลักศิลา(ถ้ามันสร้างจากยุคนนั้น)  แต่สำเนียงนี่คงยากมาก ภาษากรุงเทพแปลกสุดแล้วแหละ  รอบๆเค้าเหน่อกันทั้งนั้น จากคุณ : pisutkasin เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 22:25:16

ความคิดเห็นที่ 12 เคยอ่านมาจากกระทู้ของห้องสมุด ของคุณ เจ้าคุณแม่ทัพ กระทู้นี้ค่ะ คห.6 http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K10367738/K10367738.html บอกว่าคนสมัยอยุธยาพูดเหน่อสุพรรณนี่ค่ะ (ในหนังก็พูดเหน่อสุพรรณนะ) แต่พอมาสมัยธนบุรี-รัตนโกสินตร์ มีชนชาวจีนในตัวเมืองมาก เลยเป็นเหน่อจีนกัน ดังนั้นภาษาทางการที่เราพูดกันอยู่ในปัจจุบันจึงเป็นเหน่อจีน ลองเข้าไปอ่านดูนะคะ ได้ความรู้มากมาย จากคุณ : BeagleBluetit เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 22:57:26

ความคิดเห็นที่ 13 เท่าที่ผมทราบมาจากการอ่านหนังสือที่หอสมุดแห่งชาติ ลักษณะคำพูด จะคล้ายๆกับที่จารึกลงในแผ่นใบลานน่ะครับ ภาษาที่ใช้จะเป็นภาษาโบราณจริงๆ (สมัยนี้อาจว่า วิบัติ) เช่น เป็น > เปน พระเจ้าอยู่หัว > พ่ออยู่หัว แล้วคิดว่า ภาษาลิเกที่เอามาเล่นทุกวันนี้ มันไม่ได้มีพื้นฐานมาจากอดีตเลยหรือ? ยังไงรบกวนผู้เชี่ยวชาญชี้แจงด้วยครับ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 00:06:42

ความคิดเห็นที่ 14 แล้วถ้าคนพม่า ต้องพูดพม่าหมด เด็กๆ จะอ่านซับกันทันไหมคะ คงได้ร้องถามผู้ปกครองกันระงม หนักกว่านี้ จากคุณ : แอนด้า เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 02:57:00

ความคิดเห็นที่ 15 #5 พระนารายณ์ อยู่หลังพระนเรศวรค่ะ ต่างราชวงศ์ด้วย จากคุณ : เมษาพาเพลิน เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 05:36:54

ความคิดเห็นที่ 16 จอดหยุดพักไปว่าจะเป็น 1. โปรตุเกส ในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช ปรากฏว่าในแผ่นดินนี้มีชาวโปรตุเกสเข้ามาทำมาค้าขาย ทรงให้สร้าง บ้านเรือนอยู่แถวบ้านดินเหนือคลองตะเคียน และโปรดพระราชทานอนุญาตให้สร้างวัดคริสต์ศาสนาเป็นที่แรกในอยุธยา 2. ฮอลันดา ปลายรัชกาลสมเด็จพระนเรศวร พวกฮอลันดาเข้ามากรุงศรีอยุธยา พอต้น รัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถก็เข้ามา ค้าขายในกรุงศรีอยุธยาอยู่จนกระทั่งกรุงศรีอยุธยาแตก พ.ศ. 2310 3. อังกฤษ เข้ามาทำการค้าขายสมัยเดียวกับฮอลันดา จนสิ้นรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จึงเลิกติดต่อกับอังกฤษไป ระยะหนึ่ง 4. ฝรั่งเศส บาทหลวงเป็นสื่อกลางชักนำให้กรุงศรีอยุธยามีไมตรีกับฝรั่งเศส สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงโปรดปราน บาทหลวงฝรั่งเศส ให้ออกแบบก่อสร้างพระราชวังที่ลพบุรี ยังมีการแลกเปลี่ยนทูตกันระหว่างสองประเทศ กรุงศรีอยุธยาแต่งทูต ไปเจริญทางพระราชไมตรีฝรั่งเศสถึง 4 ครั้งฝรั่งเศสส่งทูตมา 2 ครั้ง 5. เปอร์เซีย (ในปัจจุบันคืออิหร่าน) ได้เข้ามาติดต่อกับเมืองไทยมาเป็นเวลานาน ได้ พยายามเกลี้ยกล่อมให้สมเด็จ พระนารายณ์มหาราชหันมานับถือศาสนาอิสลามแต่ไร้ผล 6. เดนมาร์กได้เข้ามาทำการค้าติดต่อกับไทยในสมัยรัชกาลพระเจ้าทรงธรรม พ.ศ. 2159 7. จีน มีความสัมพันธ์กันตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี รัฐบาลสมัยกรุงศรีอยุธยาได้ โปรตุเกส ในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช ตอนนั้น มีปืนเข้ามา ทั้งพม่า และไทย มี ชุดเกราะเพื่อ ป้องกันปืนนี้ละ แม้ว่้ากันไม่ได้ 100% แต่ลดผลกระทบได้พอสมควร และ แน่นอนทหาร ไม่มีโอกาสได้ใช้ ใช้แต่เสื้อหนังแทน มีแต่ขุนนางและราชวงค์ที่ใช้เท่านั้น เพราะ ราคาแพง และ ต้องทำจาก ต่างประเทศ เท่านั้น สมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีต่างชาติเขามาค้าขายมากที่สุด และ มีขุนนางชาวยุโรบด้วย แก้ไขเมื่อ 07 เม.ย. 54 10:26:30 จากคุณ : thanapatpp เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 10:21:35