ความคิดเห็นที่ 1 ภาคสองยังด่าพี่สาวอยู่เลย จำชื่อไม่ได้อ่ะ ว่าเห็นแก่ผัวและลูกจนลืมบ้านเมือง อะไรเนี่ยแหละ พอมาภาคนี้ พูดคนละแบบเลย สงสัยทำให้ดูไม่ดี ซึ่งก็ดูไม่ดีจริงๆ สำหรับผม สะดุดมากตอนดูภาคสอง จากคุณ : psybuster เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 23:15:11

ความคิดเห็นที่ 2 กษัตริย์พม่า ในยุคเสียกรุงศรีฯครั้งที่ 1 ไม่โหดร้าย เหมือนพระเจ้ามังระ ในครั้งเสียกรุงครั้งที่ 2 หรือ พระเจ้าปดุง ในครั้งสงครามเก้าทัพ บุเรงนอง ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่ใจดี มีปิยวาจา ที่สุดในประวัติศาสตร์พม่า ตอนที่มาตีพิษณุโลก ก็เรียกพระมหาธรรมราชา ว่าพระเจ้าน้อง แล้วเรียกแทนตัวเองว่า พระเจ้าพี่  พระนเรศวรก็คงเป็น พระเจ้าหลาน ทำนองนั้น คือนับญาติกัน ก็เลยไม่ต้องรบกัน แถมยังให้สมเด็จพระนเรศวร ทรงช้างมาล้อมกรุงศรีอยุธยาด้วย พระนเรศวร ก็เป็นหลาน ของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ แล้วคิดดู ใครจะไปอยากรบกับบุเรงนอง ที่เอ็นดูหลานของตัว ตอนเสียกรุงครั้งที่ 1 จึงแทบไม่มีชาวไทยเสียชีวิตเลย (แต่ตอนเสียกรุงครั้งที่สอง ตายไปสองแสนกว่า) และ เมื่อสมเด็จพระนเรศวร ไปประทับที่พม่า บุเรงนอง ก็หาอาจารย์ที่เชี่ยวชาญทุกๆด้าน จากชาติต่างๆมาสอนสมเด็จพระนเรศวร  สมเด็จพระนเรศวร จึงมีพระปรีชาสามารถหลายด้าน ทั้งการศึกษาตำราพิชัยสงครามและการฝึกสติ จากพระมหาเถรคันฉ่อง  ชำนาญการยิงปืน จากการสอนของอาจารย์ชาวโปรตุเกส  การใช้หอก จากอาจารย์ชาวพม่า การใช้ธนูจากอาจารย์ชาวจีน การใช้ดาบคู่ ง้าว จากมอญฯลฯ พม่าในสมัยบุเรงนอง เป็นตักสิลา ด้านการศึกษา จึงมีอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านต่างๆมารวมตัวกันอยู่จำนวนมาก ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ระดับบุเรงนอง ไม่รู้หรือว่า สักวันหนึ่งสมเด็จพระนเรศวรจะต้องกลับมากู้ชาติ แล้วทำไม บุเรงนอง จึงทุ่มให้พระนเรศวรได้เรียนรู้ทุกอย่างราวกับเป็นพระราชนัดดาของตัวเอง จนมีคนคิดว่า ฤาพระองค์ทรงปรารถนาจะให้สมเด็จพระนเรศวร ปกครองพม่า ส่วนพระยาจีนจันตุ กับ พระยาละแวก ในประวัติศาสตร์จริงๆ ไม่ดีเหมือนในหนังหรอก จากคุณ : รักหลอกจึงบอกให้ เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 23:20:54

ความคิดเห็นที่ 3 ในหนังมีบทพูดของ พระเจ้าบุเรงนองว่า อยากให่พระองค์ดำมาตีเอาหงสาฯไป เพราะกลัวว่าไม่งั้นหงสาฯอาจจะต้องพินาศ ล่มไป  .....จริงเหรอ??? ปล.ส่วนตัวแล้วชอบพระเจ้าบุเรงนองมาก และเข้าใจตาพงศาวดารว่าทรงโปรดพระองค์ดำจริงๆๆ จากคุณ : Par&Par เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 23:32:40

ความคิดเห็นที่ 4 บัวไม่ให้ช้ำน้ำ ไม่ให้ขุ่น มีความหมายว่า ให้ค่อยๆทำค่อยๆพูดค่อยๆจากัน ไม่ให้อีกฝ่ายต้องเจ็บใจเคืองใจ ไม่ใช่หรือคะ เท่าที่เราดูมามีสองตอนที่น่าจะเข้าข่ายนี้ ตอนแรกคือ ตอนที่คนจากเมืองละแวกไม่ยอมมาช่วยรบ พระนเรศวรก็ทรงทราบแต่ก็ไม่ได้ถือสาหาความ จบศึกคนเมืองละแวกมาขนของไปเฉยเลย ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรทั้งๆที่ดูก็รู้ว่าทรงระอา ทั้งนี้ก็คงเพราะต้องการกระทำการให้  บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น น่าจะทรงคิดว่า คนเมืองละแวกไม่ช่วยก็ไม่เป็นไรอย่ามาซ้ำก็ดีถมไปแล้ว ถ้าทรงพระเหวี่ยงใส่จนเขาเคืองใจ ก็จะไม่เป็นการดีที่จะทำให้เกิดศึกหลายด้านเพิ่มขึ้นไปอีก ตอนที่สอง ที่น่าจะเข้าข่ายสุภาษิตนี้ น่าจะเป็นตอนที่พระเจ้านันทบุเรงของพม่าพูดเกลี้ยกล่อมพระสุพรรณกัลยา คือทรงเป็นพระมหากษัตริย์จะหักหาญเมื่อไหร่ก็ได้ แต่กลับลงทุนพูดตั้งยืดยาวก็คงเพราะต้องการกระทำการให้ บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น อยากให้พระสุพรรณกัลยายินยอมด้วยใจจริง มิใช่ใช้กำลังอำนาจที่อาจจะทำให้พระสุพรรณกัลยาต้องขุ่นเคืองพระทัย   เรายังคิดแฝงนิดๆว่าส่วนหนึ่งที่ทรงเกลี้ยกล่อมพระสุพรรณกัลยาก็เพราะว่าถ้าหงสาชนะอโยธยาได้(ตอนนั้นชาวหงสาคงไม่คิดว่าตัวเองจะแพ้เพราะมีคนเยอะกว่ามาก) จะใช้พระพี่นางเป็นสะพานสัมพันธภาพให้พระนเรศวรที่รบเก่งมากมาเป็นแขนขาให้ตัวเองเหมือนตอนที่พระเจ้าบุเรงนองยังมีพระชนม์ชีพอยู่ด้วยอ่ะนะ แก้ไขเมื่อ 05 เม.ย. 54 23:41:09 จากคุณ : จอมนาง เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 23:38:18

ความคิดเห็นที่ 5 เราว่ามันเป็นเรื่องของประโยชน์ของบ้านของเมืองนะ การตัดสินใจบางอย่างมันไม่เกี่ยวกับดีเลว แต่ทำไปเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองตนนะ จากคุณ : aonlin เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 23:47:35

ความคิดเห็นที่ 6 บัวไม่ให้ช้ำน้ำ ไม่ให้ขุ่น    ที่ผมพูดถึง   คือท่านมุ้ย  จงใจทำหนังให้   บัวไม่ให้ช้ำน้ำ ไม่ให้ขุ่น ไม่ได้หมายถึงตัวละคร  มีบทบัวไม่ให้ช้ำน้ำ ไม่ให้ขุ่น ครับ จากคุณ : เบากระบาล เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 23:48:13

ความคิดเห็นที่ 7 แป่ว เข้าใจผิดประเด็นไปซะงั้น5555 ถ้าตามประเด็นที่จขกท.ว่า เราคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีของหนังค่ะ นอกจากจะมองเห็นความคิดอ่านที่มีเหตุผลของแต่ละฝ่ายแล้วก็ยังเชิดชูพระเกียรติของพระนเรศวรได้อีกทางหนึ่งด้วย ว่าแม้แต่ฝ่ายตรงข้ามยังยกย่อง ปล.นึกไม่ออกว่าตอนไหนมีประเด็นนี้อีก จากคุณ : จอมนาง เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 00:09:14

ความคิดเห็นที่ 8 ประเด็นที่พระนเรศว่าพระสุพรรณตอนนั้นเราว่าเนื่องจากพระนเรศยังทรงพระเยาว์อยู่มากมั๊งคะ พอภาคสามนี่ตามที่จำได้มีพระชนมายุ๓๕ชันษาแล้ว เราว่าคนที่มีอายุขนาดนี้มุมมองในการมองหลายเรื่องราวคงลึกซึ้งมากกว่าตอนอายุสิบกว่าขวบมั๊งคะ คงเข้าใจอะไรๆมากขึ้น ไม่อย่างนั้นคงไม่เจนจบในการรบและการปกครองหรอกนะเราว่า จากคุณ : มองดูท้องฟ้า....ไม่เป็นเช่นเคย เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 00:35:47

ความคิดเห็นที่ 9 ภาคสามก็ราวปี 2127 หลังประกาศอิสระภาพ ไม่ได้แก่ไปขนาดอายุ 35 หรอกค่ะ 35 นี่ทรงขึ้นครองราชย์ค่ะ ปี 2133 คาดว่าคงขึ้นครองราชย์ภาค 4 ส่วนประเด็นบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น เชิงประวัติศาสตร์ ต้องมองก่อนว่ามันเป็นหนัง หากศึกษาประวัติศาสตร์จะรู้ว่า มันมีหลายกระแส หากมองเผิน ก็มองว่า "การเรียนประวัติศาสตร์ไทยหลักสูตรกระทรวงศึกษา" นั้น คือประวัติศาสตร์ถูกต้องที่สุด ก็มีสิทธิจะมองว่า บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น แต่ถ้าเอาการศึกษาประวัติศาสตร์เชิงวิชาการระดับนักวิชาการ หรือการวิจัย จะพบว่า มันเป็นสิ่งที่ควรทำเพราะมันคือการบอกเล่าอย่างเป็นกลางและทุกมุมตามที่เอกสารทางประวัติศาสตร์ของแต่ละชนชาติ ณ ขณะนั้นจะเอื้อให้ คนเขียนบทหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีท่านมุ้ยคนเดียว มีอีกท่านคือ อาจารย์สุเนตร ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พูดถึงเอกสารทางประวัติศาสตร์ จะเรียกกันว่า "ชั้นต้น" "ชั้นรอง" พงศาวดารบางเล่มเขียนสั้นๆ และห้วนมาก ทั้งนั้น หากจะหยิบยกเอามาใช้ ก็ต้องแต่งเติมข้อความ ใส่อรรถรสลงไปในหนัง ดังนั้น บทพูดทุกอย่างในหนัง อย่าเพิ่งเชื่อทั้งหมด ต้องย้อนกลับมาหาดูในเอกสารชั้นต้นว่า มีการพูดแบบนี้จริงไหม แล้วมันตรงกันกับเอกสารชั้นต้นอันอื่นๆ อีกไหม เราเห็นบางความเห็นต่อว่าบทว่า ทำมาเป็นพูดจาภาษาโบราณ อ่านแล้วก็แบบ อ้าว...เราเคยอ่านข้อความนั้นในพงศาวดารนะ อย่างภาคหนึ่งกรณีเจรจาขอช้างเผือกระหว่างบุเรงนองกับพระมหาจักรพรรดิ อยากให้ทุกคนที่ดูหนังเพราะว่าอยากรู้เรื่องประวัติศาสตร์ หลังจากดูหนังเสร็จ แวะเข้าไปหาหนังสือในห้องสมุดอ่านด้วย ก่อนที่จะตัดสินหรือวิพากย์วิจารณ์หนังในประเด็นประวัติศาสตร์ รายละเอียด วิถีชีวิต ผู้คนในสมัยนั้น แต่ถ้าจะต่อวาเรื่องตัดต่อ เดินเรื่อง การแสดง ก็ตามสบาย แก้ไขเมื่อ 06 เม.ย. 54 05:07:53 แก้ไขเมื่อ 06 เม.ย. 54 05:03:45 จากคุณ : เมษาพาเพลิน เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 04:57:43

ความคิดเห็นที่ 10 ตามความคิดผมนะ.....    สิ่งสำคัญที่ทำให้นโยบายการเมืองช่วงนั้นต่างจากปัจจุบันชัดๆเลยอ่ะ ยังไม่มีเส้นแบ่งเขตประเทศ เขตเมืองอย่างเด่นชัด !? แถมสมัยก่อน ไม่มีตำรวจโลก ไม่มียูเอ็น...      ประเทศไหนเคืองกัน ก็อาจเปิดสงครามกันได้โดยง่าย เพราะสงครามที่เกิด ก็เรื่องเฉพาะสองเมืองนั้น หรือไม่ก็เมืองในละแวกนั้นเท่านั้น พอสงครามมันอุบัติง่าย  พ่อเมืองทั้งหลายก็ย่อมต้องหาวิธีไม่ให้มันเกิดขึ้น สงครามน่ะ...  เกิดขึ้นแต่ละที มันสร้างความลำบากแก่อาณาประชาราษฎร์มากโข ชัดๆเลยก็ในภาคสอง ที่คุณยายตาบอดคนนึงได้กล่าวกับพระนเรศฯ หากเลี่ยงได้ ใครก็ไม่อยากเอาผู้คนของตนเองไปทำสงครามหรอก  มีแต่เสียกับเสีย ดีไม่ดี ทำสงครามมากๆ ภายในอ่อนแอ  ประชาราษฏร์ก็คงไม่อยู่ด้วยอีก เลือกได้ ไม่มีสงครามจะดีที่สุด...   นโยบายต่างๆจึงจำเป็นต้องรอมชอมกันมากกว่าปัจจุบัน อย่างที่เห็นในหนังแหละครับ   ^__^ จากคุณ : ฟาฬ เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 09:40:17