 |
Interview with Andrew Gregson (5)
แล้วเรื่องดูแลตัวเองล่ะคะ มีอะไรพิเศษไหม
สมัยวัยรุ่นที่เห็นใส่หมวก ใส่แว่น ไม่ได้คิดจะพรางตัว แต่ ออกจากบ้านไม่ได้หวีผมแล้ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร สุดท้าย ใส่เจล แล้วเหงื่อเยอะ สิวก็ขึ้น จึงตัดสินใจใส่หมวกตลอดเวลา ทุกวันนี้เลิกใส่หมวกแล้ว เวลาไปตัดผมบอกช่างว่า ขอแบบ ที่กลับบ้านแล้วไม่ต้องทำอะไรมากนะครับ
ครีมกันแดดไม่เคยทา แต่ใช้เดย์ครีม ไนท์ครีมบ้าง ตามที่เพื่อนๆพี่ๆนักแสดงและพี่ช่างแต่งหน้าแนะนำ ให้ลองซื้อครีมตัวนั้นตัวนี้ หน้าจะได้ไม่โทรม แต่ก็ใช้เป็นพักๆ พอหมดก็เลิก กับจำเป็นต้องไปหาหมอสิวบ้าง เพราะเป็นดารา ต้องขายหน้าตา
ส่วนการออกกำลังกาย ผมทำมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยเรียนที่ เล่นกีฬาเยอะ พอเลิกเรียนจึงมีช่วงหนึ่งที่ต้องปรับตัว เพราะ จากที่เคยออกกำลังกายทุกวัน พอไม่ได้เล่นก็อ้วน ทีแรกผมว่า การปั่นจักรยานและการวิ่งในลู่เป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก เพราะต้อง ทำคนเดียว ไม่ค่อยมีคนมาวิ่งกับเรา ส่วนใหญ่เขาจะเตะฟุตบอล ตีปิงปอง แต่พอทำนานๆเข้าก็ตด หยุดไม่ได้ ต้องวิ่งเช้า เย็น แล้วจะรู้สึกดี
แล้วออกไปช็อปเลือกเสื้อผ้าเองไหมคะ
สมัยก่อนไม่ค่อยเลือกเอง เวลาเล่นละครหรือออกรายการมักมี สไตลิสท์ดูแลเสื้อผ้าให้ บางทีเห็นแล้วชอบก็ซื้อเลย หรือบางทีก็ ฝากเขาซื้อ แต่เดี๋ยวนี้ซื้อเอง สไตล์ผมคือ ไม่ถนัดของแพง อย่างเสื้อเชิ้ตตัวละ 20,000 - 30,0000 คงซื้อไม่ไหว ผมแต่งตัวสบายๆจนอาจจะเกินเหตุ พยายาม แต่งให้พอดูได้ รู้ว่าอะไรควรใส่กับอะไร แหล่งช็อปปิ้งของผม มีตั้งแต่คลองถม จตุจักร ยันห้างเกษร ไปใช้จ่ายเงินบ้าง เดี๋ยวปลวกกินหมด (หัวเราะ)
ได้ยินแต่ว่าแอนดริวรวย แต่ไม่เห็นออกมาใช้เงิน
อิ่มทิพย์(หัวเราะ) เรื่องจริงคือ วันนี้ถ้าไม่มีเงินเลยก็ไม่รู้สึก เดือดร้อนอะไร ห่วงแค่หมา แมว ปลา ที่ต้องคอยซื้อข้าวให้กิน เงินไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุดในชีวิต บางทีอยากมี แต่บางทีก็ไม่ สนใจเลย
ผมเคยรับงานเพราะอยากมีเงินเยอะๆ เพื่อที่ว่าอยากได้อะไร ก็ซื้อเลย ไม่ต้องคิด ตอนเป็นเด็กอยากได้วิทยุ อยากได้เครื่อง เสียงก็ซื้อ เรียกว่า ถ้าให้ผมถือเงินมีเท่าไหร่ก็หมด หน้าใหญ่ สุดๆ ทำงานไปสักพักเริ่มรู้สึกเองว่า ไม่เห็นอยากจะได้อะไร นักหนาเลย ที่อยากได้ก็ซื้อจนไม่อยากได้แล้ว บางทียืมรถหรูๆ ของพี่มาขับ เพราะตัวเองอยากมีบ้าง แรกๆรู้สึกเท่ แต่ไปสัก ระยะเริ่มงั้นๆ
แน่นอนว่า เงินให้ความมั่นคงในชีวิตได้หากเราต้องดูแลใคร แต่ตัวคนเดียวอย่างผม เวลาไปถ่ายละครก็กินข้าวกองถ่าย สมัยก่อนนั่งมอเตอร์ไซค์มาทำงานแล้วไม่มีเงิน ยังมาขอเอา ดาบหน้า ตอนนี้การใช้เงินของผมจะเป็นลักษณะว่า ถ้าไม่ได้ เป็นอะไรที่ฟุ่มเฟือยเกินไปก็ซื้อได้
อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากไปไหนก็ไป แต่ไม่ใช่ว่าต้องทำ ตามๆคนอื่น
ผมรู้สึกว่าที่ผ่านมาหลายคนทำทุกอย่างตามกระแสของสังคม รอบข้าง ซึ่งก็ถูกต้อง เพราะการอยู่ร่วมกันก็ไม่ควรที่จะฝืน แต่เดี๋ยวนี้ถึงขนาดว่า บางคนเรียนหนังสือจบมาตั้งเป้าไว้ เลยว่าต้องรวย เด็กเห็นตัวอย่างจากผู้ใหญ่ในสังคมว่า การโกงเงินเป็นเรื่องฉลาด ไม่ทำก็โง่ หรือใครไปฝืนก็งี่เง่า ไม่ได้จะว่าใคร แต่บางครั้ง ถ้าย้ายมุมมองบ้าง คิดว่าอีกไม่นาน เราก็ตาย จะโกยไปเพื่ออะไรนักหนา ชีวิตอาจไม่ทุรนทุรายนัก ต้องดึงตัวเองออกมาบ้างว่า เงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่สุด ไม่ต้องทำทุกอย่างเพื่อเงินก็ได้ เครียดไปไหมนี่
ของแพงที่สุดที่เคยซื้อคืออะไร
ไม่อยากพูด บอกว่าไม่สนใจเงิน แต่จริงๆมีปอร์เช่ 5 คัน (หัวเราะสนุก) ล้อเล่นครับ สมัยวัยรุ่น อยากได้รถ คิดจะรับงานแล้วผ่อนเอง แต่ด้วยความที่เป็นเด็กต้องให้ ผู้ใหญ่ดูแล สุดท้ายแม่เลยซื้อรถมือสองให้ พังก็ไม่เสียดาย ตอนวัยรุ่นผมเคยคิดเคยทำอะไรแบบไร้สาระ เช่น ชอบของแพง พอโตเริ่มคิดได้ว่าระดับผมต้องขับเบนซ์ อยู่แล้ว (หัวเราะ) แต่รุ่นเก๋ากึ้กเลยนะ ให้ขับรถแพงๆ ก็ไม่รู้จะขับเพื่ออะไร ไม่เห็นความจำเป็นขนาดนั้น ผมแอนตี้ การมองกันแค่เปลือกนอก ถ้าแต่งตัวอย่างนี้แล้ว คุณคิดว่า ผมไม่มีเงินหรือเป็นคนไม่ดีเหรอ ของภายนอกไม่ใช่ เครื่องตัดสินทุกอย่าง
ถ้าจะสนองความต้องการของตัวเองให้ได้ทุกอย่าง ผมว่าไม่ถูกต้อง เหมือนกับว่าถ้าเรามีความทุกข์บ่อย จะเห็น ค่าของความสุขเล็กๆน้อยๆ แต่ถ้ามีความสุขตลอดเวลา เรามัก ไม่เห็นค่าความสุขเล็กๆน้อยๆ รอแต่ความสุขใหญ่ๆ บิ๊กๆ อย่างเดียว
พอใจกับชีวิตแค่ไหนคะ
ถ้าพูดถึงหลักในการดำเนินชีวิต สำหรับผม คงเป็นเรื่องที่ ไม่เอาเปรียบใคร ทำได้แค่นี้ก็พอใจแล้ว ผมไม่ค่อย ตั้งความหวังกับอะไร ไม่กลัวตายเท่าไหร่ คงเพราะว่าอยู่ คนเดียว จึงไม่ต้องคำนึงถึงปัจจัยแวดล้อมมากมายเหมือน คนอื่น
เวลามีใครขอคำแนะนำ ถ้าเรื่องความรักคงไม่กล้าให้ เพราะ ตัวเองยังไม่รอด บอกได้แค่ว่าใครอกหักก็ทำงานไป ไม่ได้ บอกว่าทำงานแล้วหาย แต่ทำให้หยุดหมกมุ่นชั่วครั้งชั่วคราว คนที่อกหัก หนียังไงก็ไม่พ้น ต้องเผชิญกับมัน ต่อให้ไปเมา หรือใช้เวลาอยู่กับเพื่อน พอกลับบ้านนอน ก็ต้องอยู่กับตัวเอง เพราะฉะนั้นยิ่งเผชิญกับปัญหาได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งจบลง ได้เร็วขึ้น
ส่วนเรื่องอื่นๆ เช่น เครียด ก็ต้องดูว่าเครียดเพราะอะไร หรือจริงๆแล้วเราทำอะไรเกินตัวหรือเปล่า ปัญหาของหลาย คนคือ อยากได้ อยากมีเหมือนคนอื่นๆ จริงแล้วคนเราเกิด มาตัวเปล่า มองอีกมุมหนึ่ง ถ้าเราไม่มีอย่างเขาจะตายไหม สุดท้ายแล้วเรายึดติดกับอะไรไม่ได้เลย เอาอะไรไปไม่ได้ สักอย่าง แต่ถ้ามีความจำเป็นจริงๆ มีภาระที่ต้องดูแลคนอื่น คงต้องสู้ไปก่อน สำหรับในภาวะแบบนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่า ตั้งใจทำงาน และถ้าปล่อยวางเรื่องความอยากเสียบ้าง ชีวิตจะสุขขึ้น อีกเยอะ
*********************
จากคุณ |
:
Aum DR Blue
|
เขียนเมื่อ |
:
17 เม.ย. 54 15:15:31
|
|
|
|
 |