Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Source code : ประวัติศาสตร์สอนให้เรารู้ว่า เราไม่เคยเรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์เลย ? (เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ) ติดต่อทีมงาน

ผมได้ยินข้อความนี้ครั้งแรกจากวีดีทัศน์เหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ที่อาจารย์วิชาอารยธรรมไทยเปิดให้ดูเมื่อครั้งเรียนมหาวิทยาลัยปี ๑  แม้รูปประโยคจะผูกได้สวยงามเพราะย้อนแย้งความหมายชวนจดจำ  แต่ลึกๆ ในใจก็ยังคงสงสัยถึงความจริงแท้แน่นอนของมัน

ความคิดเห็นส่วนบุคคลอาจแตกต่างกันไปและไร้ข้อสรุป  แต่ปรากฏการณ์ทางสังคมซึ่งสามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้อย่างเป็นภาวะวิสัยโดยไม่ขึ้นอยู่กับอำเภอใจของใคร  ก็สะท้อนและสนับสนุนคำกล่าวนี้อยู่ไม่น้อย  คล้ายหนัง ๒๐๐๑ : A Space Odyssey ของ สแตนลี่ย์ ครูบริก ที่กล่าวถึงความเสื่อมโทรมอย่างซ้ำซากในประวัติศาสตร์และอนาคตของสังคมมนุษย์

แต่กับ  Source  code ผลงานของผู้กำกับเรื่อง Moon ซึ่งกำลังจะพูดถึงต่อไปนี้  หนังสื่อสารกับผู้ชมอย่างมีความหวังถึงการเปลี่ยนแปลงอนาคตให้ดีขึ้นจากการเรียนรู้ความผิดพลาดในอดีต

เช่นเดียวกับหนังเรื่องก่อน  Source  code  นำเสนอความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสัมพัทธ์กับคุณค่าเชิงจริยธรรมของมนุษย์  ภายใต้พล็อตสร้างสรรค์ตามสไตล์หนังนิยายวิทยาศาสตร์  Source  code  บรรจุเนื้อหาเพื่อบูชาคุณค่าความเป็นมนุษย์  ขณะเดียวกันก็เสียดสีและประเมินพฤติกรรมคลั่งชาติของอเมริกาได้อย่างตลกร้าย

ด้วยคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่กระจ่างนัก  (ทั้งกับพระเอกและผู้ชม)  ทฤษฎีในช่วงต้นของหนังคล้ายกับแนวคิดของตอนหนึ่งในซีรี่ส์เรื่อง  fringe ที่ว่า  มนุษย์จะบันทึกโลกก่อนตายไว้ประมาณ ๘ นาที  เมื่อเราเชื่อมโยงคนที่มีลักษณะเข้ากันได้กับคนตายผ่านเครื่องมือที่เรียกว่า Source  code เราจะสามารถสำรวจข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เกิดขึ้นผ่านร่างเดิมก่อนตายได้ภายในเวลา ๘ นาที  ( เหมือนการอวตารเข้าแทนที่ชีวิตเดิมในโลกเสมือนจริงจากหนังเรื่อง The Matrix และ The Thirteenth Floor ) และกรณีนี้  พระเอกซึ่งเป็นนาวิกโยธินสหรัฐจะต้องเข้าไปสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายบนรถไฟ (ที่ระเบิดไปแล้ว) เพื่อยับยั้งการวางระเบิดกัมมันตรังสีในเมืองซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นตามหนังสือขู่เตือนของผู้ก่อการร้าย

ความเข้าใจของพระเอกค่อยๆ เปลี่ยนไปทุกครั้งที่เข้าไปในโลกก่อนที่รถไฟจะระเบิด  เริ่มจากเข้าใจว่ามันคือโลกเสมือนจริงคล้ายใน The Matrix หรือ The Thirteenth Floor  ( ความประหลาดใจของพระเอกว่าโลกจำลองมีสภาพเหมือนจริงมาก)  กระทั่งตระหนักอย่างจริงจังว่ามันคือความจริงในอีกรูปแบบหนึ่ง (ความผูกพันลึกซึ้งกับนางเอกที่ทำให้พระเอกเชื่อในความมีชีวิตในโลกนั้น)

ทฤษฎีในช่วงหลัง  หนังอธิบายใหม่โดยหักล้างทฤษฎีเดิมเสียสิ้น  ว่าการเข้าไปในโลกก่อนรถไฟระเบิดนั้นคืออีกหนึ่งเส้นความจริงในมิติคู่ขนานที่เกิดขึ้นช้ากว่าเส้นความจริงเดิม (การเหลื่อมเวลาในมิติคู่ขนานสนับสนุนคำอธิบายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ “เดจาวู” เป็นอย่างดี  ว่าความคุ้นเคยที่เรารู้สึกเกิดมาจากประสบการณ์ในมิติคู่ขนานอื่น)  แต่ละเส้นความจริงมีอนาคตเป็นของตัวเองและเป็นเอกเทศ ไม่เกี่ยวพันกัน  ข้อความคิดนี้อาจอธิบายได้ง่ายๆ ด้วยสัญลักษณ์ของรางรถไฟที่มีรถไฟหลายขบวนซึ่งออกเดินทางไม่พร้อมกัน

หนังกล่าวถึงแรงจูงใจของผู้ก่อการร้ายซึ่งเป็นคนชาติเดียวกันว่าโลกนี้คือนรก  การจะสร้างโลกใหม่ให้ดีกว่าเดิมก็ต้องเริ่มด้วยการทำลายปัจจุบัน  พระเอกท้าทายแนวคิดนี้ด้วยการมองโลกในแง่ดีและสร้างเสียงหัวเราะให้เกิดขึ้นบนรถไฟขบวนนั้น  ความเคร่งเครียดของทุกคนถูกคลี่คลายพร้อมผลิบานรอยยิ้มที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ราวปาฏิหาริย์  หากผู้ก่อการร้ายหนึ่งคนสามารถทำให้รถไฟขนวนนี้กลายเป็นนรก  พระเอกก็พิสูจน์แล้วว่าคนธรรมดาหนึ่งคนสามารถทำให้รถไฟขนวนเดิมนี้กลายเป็นสวรรค์ได้เช่นกัน

หนังจบลงอย่างมีความสุข  พระเอกเสร็จสิ้นภารกิจทหารด้วย mercy kill ในเส้นเรื่องหลักและเริ่มต้นชีวิตใหม่กับนางเอกในร่างของครูสอนประวัติศาสตร์ในมิติคู่ขนาน

Source  code มีบทที่สร้างสรรค์และชวนสนุกคิด แต่ที่โดนใจผมเป็นพิเศษคือเนื้อหาย่อยๆ ที่หนังสอดแทรกเข้ามา  โดยเฉพาะการจูงใจพระเอกของกองทัพให้ปฏิบัติภารกิจซึ่งต้องจบลงด้วยความตายครั้งแล้วครั้งเล่า  ชวนเชื่อพระเอกด้วยความรู้สึกชาตินิยม (เปิดบันทึกเสียงของพ่อที่กล่าวสดุดีในความกล้าหาญ) และมองข้ามคุณค่าความเป็นมนุษย์ในฐานะปัจเจกชนคนหนึ่ง (ไม่มีสิทธิแม้แต่จะตายอย่างสงบ)  คล้ายจะเสียดสีผู้มีอำนาจที่กล่าวอ้างนโยบายชาตินิยมและสันติภาพโลกในการส่งทหารเข้าสู่สงครามที่มีแต่ความสูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่า และไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้นแม้ในปัจจุบัน

ฉากที่พระเอกสันนิษฐานผู้ก่อการร้ายจากการมองเพียงเปลือกนอก (น่าเชื่อว่าเป็นมุสลิมหรือชาวตะวันออกกลาง)  หรือฉากที่พระเอกค้นกระเป๋าผู้ต้องสงสัยด้วยวิธีการที่รุนแรงและก้าวร้าวเกินสมควร  สุดท้ายก็ไม่พบหลักฐานใดๆ เพราะเขาเป็นผู้บริสุทธิ์  สะท้อนถึงพฤติกรรมของชาติมหาอำนาจในความวิตกจริตต่อคนต่างศาสนา  กระทำการล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอันพึงต้องเคารพ  รวมถึงการประกาศสงครามที่สร้างความสูญเสียมหาศาลเพียงเพราะความสงสัยโดยปราศจากข้อพิสูจน์

Source  code  นำเสนอประวัติศาสตร์ระยะใกล้ในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่านมาซึ่งคนส่วนใหญ่ล้วนมีประสบการณ์ร่วม  ความผิดพลาดในอดีตคือบทเรียนชั้นดีให้เราได้ขบคิดและเรียนรู้  เหมือนฉากที่พระเอกหลบเท้าออกจากน้ำที่จะหกใส่  หรือการแก้ไขความผิดพลาดที่พระเอกได้ทำไปด้วยการกล่าวขอโทษพ่อตัวเอง

กลับมาสู่คำกล่าวที่ว่า “ประวัติศาสตร์สอนให้เรารู้ว่า  เราไม่เคยเรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์เลย” อีกครั้ง ว่ามีความจริงแท้แน่นอนเพียงใด  ผมเชื่อว่าโอกาสในการพิสูจน์ความจริงของคำกล่าวนี้ยังไม่ยุติลง  ตราบใดที่สังคมยังมีอนาคตให้เขียนถึง  สังคมจะทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีกในเรื่องเดิมๆ เพื่อยืนยันคำกล่าวนี้ให้กลายเป็นสัจธรรม  หรือท้าทายมันให้เป็นเพียงคำกล่าวในประวัติศาสตร์ที่ไร้สาระ

ถึงเวลาที่เราต้อง “เลือก” แล้วครับ

...

แก้ไขเมื่อ 17 เม.ย. 54 18:08:11

จากคุณ : beerled
เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 54 18:04:22




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com