ความคิดเห็นที่ 1 ไม่รู้ว่าเรื่องไหนดีกว่านะ แต่ส่วนตัว ชอบ avatar มากกว่า lotr ตราบใดที่วงการฮอลีวู้ดยังอยู่ ก็มีโอกาสสร้างสถิติใหม่ที่ดีกว่าของเก่าได้เสมอ จากคุณ : monster's ball เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 18:39:49

ความคิดเห็นที่ 2 รอดู The Hobbit เลยครับ จากคุณ : paramedian เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 18:40:15

ความคิดเห็นที่ 3 ทำไมจะไม่ได้อ่ะ เทคโนโลยีก็พัฒนาดีกว่าของเก่า แต่ชอบลอร์ดมากนะ จากคุณ : Roxan เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 18:43:44

ความคิดเห็นที่ 4 ***      สาเหตุที่ "เดอะลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์" ทำออกมาได้ดีนั้นเครดิตส่วนหนึ่งก็มาจากเนื้อเรื่องฉบับนวนิยายที่ "เจอาร์ อาร์ โทลเคี่ยน" เขียนเอาไว้ได้เข้าขั้นระดับมาสเตอร์พีซแล้ว  ใครที่อ่านนวนิยายจนจบครบสิ้นทุกกระบวนการจะพบว่าทางผู้สร้างแทบจะลอกเอาเนื้อหามาทั้งดุ้นเลย  แต่มีการปรับเปลี่ยนบทบาทและตัวละครบางส่วนให้เหมาะกับฉบับภาพยนตร์ครับ  ดังนั้นถ้าจะมีหนังแฟนตาซีที่ดีกว่า "เดอะลอร์ด" ได้ก็แสดงว่าต้องมีนวนิยายที่ดีกว่าหรือเทียบเท่าออกมาก่อนครับ (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 18:44:43

ความคิดเห็นที่ 5 ส่วนตัวไม่ชอบอวตารครับ เพราะเป็นพล็อตที่ถูกทำซ้ำเยอะ จากคุณ : bigwores เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 18:55:46

ความคิดเห็นที่ 6 ชอบ Lotr ต่อให้มีดีกว่าก็ไม่ลบ Lotr ไปจากใจผมได้แน่ ๆ :) จากคุณ : Losandro เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 19:17:35

ความคิดเห็นที่ 7 ก็พอๆกับ Star Wars หล่ะครับ  ถึงแม้เทคโนโลยีจะพัฒนา แต่ต้องมีอะไรมากกว่านั้น ^^ จากคุณ : lordpeter เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 19:22:53

ความคิดเห็นที่ 8 เนื้อเรื่องเดอะลอร์ดฯมันเจ๋งมากๆๆๆๆๆๆ ถ้าเรื่องต่อไปที่จะทำได้เจ๋งกว่า ก็คงต้องเจ๋งกว่าแบบสุดๆอะ ซึ่ง ยาก !! จากคุณ : ปิงปองสกี้ เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 19:48:22

ความคิดเห็นที่ 9 อวตาร ผมก็ว่างั้นๆ นะเนื้อเรื่อง ชอบลอร์ดมากกว่า จากคุณ : Moviegangs เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 20:03:02

ความคิดเห็นที่ 10 Star Wars - avatar  น่าจะเข้าข่าย Sci-Fi มากกว่านะครับ แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 54 20:15:21 จากคุณ : off180 เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 20:03:32

ความคิดเห็นที่ 11 หนังสือดีแต่ถ้าถ่ายทอดออกมาไม่ดีล่ะ เราว่าlotr ดีทั้งหนังสือและตัวปีเตอร์ก็มีฝีมือด้วยค่ะ จากคุณ : โอเลี้ยงลาเต้จูดี้บัฟฟี่ลักกี้ เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 20:08:08

ความคิดเห็นที่ 12 LOTR สำหรับเรา นอกจากบทประพันธ์ที่สุดยอดแล้ว ปีเตอร์ แจคสัน และทีมเขา คือตัวอย่างการรอคอยที่ดีของคนมีความฝัน มันเป็นตัวอย่างของการ ดัดแปลงบทภาพจนตร์ ที่กล้า อย่างคนรู้จริง และรักจริง เลยกลายเป็น LOTR แบบหนัง และแบบหนังสือ ที่เทียบไม่ได้ว่าอะไรดีกว่าสำหรับเรา คำตอบคือ ดีมาก ทั้งสองสิ่ง ดูเบื้องหลังแล้วยิ่งซึ้ง หนังส่วนใหญ่จะรวบรวมคนที่อยากทำงาน แต่ LOTR เหมือนหนังรวมทีมงานที่เป็นโอตาคุอะ - -" จากคุณ : shakri เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 20:08:27

ความคิดเห็นที่ 13 ปัญหาคือ  ตอนนี้จะมีบทประพันธ์ที่เยี่ยมยอดไหม? ทุกวันนี้อ่านหนังสือแฟนตาซีฝั่งยุโรป เมกา เดี๋ยวนี้เขียนไม่ค่อยสนุกแล้วค่ะ บอกตรงๆ  หนังสือแฟนตาซีแถบเอเชียสนุกมากหลายเรื่อง รวมถึงไทยด้วย  เสียดายที่พวกนั้นไม่ได้อ่านกัน T-T จากคุณ : ลูกกระปุก เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 20:16:56

ความคิดเห็นที่ 14 มีได้แน่นอนค่ะ ตราบใดที่มนุษยชาติยังอยู่ จากคุณ : ฉันมันเป็นแค่ไส้ติ่ง เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 20:30:51

ความคิดเห็นที่ 15 ตาม คห 2 ครับ รอดูได้เลย the hobbit ผมเชื่อว่า น่าจะทำได้ใกล้เคียง หรือดีกว่า L.O.T.R. http://www.youtube.com/watch?v=nsT3qgrK6OQ&feature=player_embedded จากคุณ : paintbrush เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 20:33:58

ความคิดเห็นที่ 16 ผมว่าในแง่ของการสร้างความประทับใจด้วยบทหรือองค์ประกอบต่างๆ Avatar ยังห่าง LOTR มากนะ ..เรื่องนี้ยังอยากกลับมาดูบ่อยๆ แต่ Avatar นี่ดูรอบสองรอบก็พอแล้ว หนังมันมีอะไรให้เราได้ตื่นตาตลอด แล้วก็รู้สึกว่ามันขลังอ่ะ มันดูแล้วเลือดลมสูบฉีดตลอด ตอนนี้รอดู The Hobbit อยากรู็้้ว่า "ปีเตอร์" จะกลับมาได้สมศักดิ์ศรีกับนิยายที่เขารักชุดนี้แค่ไหน จากคุณ : Filmzlap เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 20:41:45

ความคิดเห็นที่ 17 ฮอลลีวูด สร้างหนังได้เรื่อยๆครับ แต่ใจคุณเองต่างหาก ที่จะรับมันเก็บไว้ขึ้นหิ้งไหม ไม่ต้องยกยอดเยี่ยม ไม่ยอมเยี่ยมหรอกครับ เพราะหลายเรื่องคะแนนฟาดกันไปเยอะมหาศาล แต่บางคนยังบอกห่วย ซึ่งพูดง่ายๆก็คือขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง ส่วนตัวผมเอง Star Wars , LOTR , Avatar ล้วนแต่เป็นภาพยนตร์ที่น่าจำจดในการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่สู่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั้งนั้น ถึงแม้ทั้ง 3 เรื่องนักวิจารณ์จะยกให้ยอดเยี่ยมมากๆ (หลายๆสถาบันยกย่อง) แต่ก็ไม่สำคัญเท่าเราชอบ และชื่มชมหรอกครับ จากคุณ : ChaiGimme เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 20:41:46

ความคิดเห็นที่ 18 LOTR เป็นที่สุดของภาพยนต์ในดวงใจเราเลยค่ะ ทั้งๆ ที่เราชอบแนวนี้น้อยกว่าโมนติดคอมเมดี้ หรือดราม่า แต่ภาพยนต์ที่เป็นที่สุดของเรา คือ มหากาพท์เรื่องนี้ แม้ความรู้สึกแรกที่ได้ดูและสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของ LOTR   จะใกล้เคียงกับตอนที่ดู Titanic ครั้งแรก แต่สิ่งที่ประทับใจเรามากมาย นอกจากบทประพันธ์แล้ว คือ ความฝัน ความรัก ความมุ่งมั่นของทีมงานทุกคน ที่ร่วมกันสร้างฝันให้เป็นจริงให้ได้ ชอบคคห.ที่ 12 ที่บอกว่า ทีมงานของ LOTR ทุกคนเป็นโอตาคุ จากคุณ : ฟ้าใส ในเงาจันทร์ เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 21:40:50

ความคิดเห็นที่ 19 เราชอบดูหนังแนวนี้มากค่ะ  ไม่ว่าจะ LOTR Harry Narnia Star war และอื่นๆมากมาย แต่น่าแปลกตรงที่ว่า ลอร์ด  ดูแล้วให้ความรู้สึก "คิดถึง" กับเราค่ะ  ซึ่งเรื่องอื่นทำไม่ได้ หรือเพราะเพลงก็ำไม่รู้ค่ะ  เป็นหนังเรื่องเดียวที่เราต้องการรู้ลึกทุกขั้นตอน  ต้องการรู้จักนักแสดงต่างๆนาๆ   "แปลกจริงไรจริง" จากคุณ : ลูกกระปุก เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 22:25:22

ความคิดเห็นที่ 20 เรียนท่านเซอร์ (ใช่รึเปล่า) ปีเตอร์ แจคสัน โปรดอ่านเพชรพระอุมาสักเล่ม เผื่อจะได้แรงบรรดาลใจ แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 54 22:30:43 จากคุณ : Whisper_Ray เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 22:27:40

ความคิดเห็นที่ 21 The Lord แค่อ่านหนังสือ ก็ซึ้งตรึงใจ   ดูหนังก็ยังทำให้รุ้สึกคิดถึงเหมือน คห ข้างบนเช่นกัน และยังไม่มีเรื่องไหนเทียบได้สำหรับเราตอนนี้  คาดว่ายากที่จะหาเรื่องไหนมาแทน ด้วยหลายๆองค์ประกอบ   ดูแล้วมันอินกับเรื่องมากๆ เราชอบบทประพันธ์แฮร์รี่นะอ่านมาก่อน เดอะลอร์ดด้วย  แต่ทำไมดูหนังแล้วรู้สึกงั้นๆ จากคุณ : mudjai404 เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 23:00:49

ความคิดเห็นที่ 22 ถ้า Star Wars สร้างหลัง LOTR ก็จะถือว่ามีหนังที่ทำดีกว่า แต่ดั้นนไปทำก่อน ฉะนั้น LOTR จึงขึ้นหิ้งเป็นเวลายาวนานอย่างนี้ จากคุณ : moonshine19 เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 23:34:14

ความคิดเห็นที่ 23 สำหรับผม The Lord of the Rings เป็นมากกว่าหนังสือหรือภาพยนตร์ มันเหมือนกับมีมนต์วิเศษอะไรสักอย่าง อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน และคิดว่าคงยากที่จะมีใครสร้างภาพยนตร์แฟนตาซีได้ดีเท่านี้อีก ถ้าไม่ใช่ Peter Jackson + นิยายของ J. R. R. Tolkien อย่าง The Hobbit ที่แค่ปล่อยวีดีโอเบื้องหลังออกมา ผมก็น้ำตาซึมแล้ว ที่จะได้รู้สึกกลับไปเยี่ยม Middle-earth อีกครั้ง จากคุณ : MC Muggle เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 23:40:43

ความคิดเห็นที่ 24 ชอบ Harry Potter มากกว่านะ จากคุณ : pkp_aksw เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 23:46:41

ความคิดเห็นที่ 25 เป็นหนังสือเล่มโปรดที่ไม่ว่าจะหยิบมาอ่านครั้งใด ก็วางไม่ลงแทบทุกครั้ง อ่านแล้วเหมือนอยากไปอยู่ในโลกนั้นด้วยคน 555 ในขณะที่หนังก็ถ่ายทอดความเป็นหนังสือออกมาได้แทบจะทุกอย่าง โดยที่ไม่ทำให้เราเบื่อหน่ายเลยด้วย มันเลยเป็นมาสเตอร์พีซในความทรงจำของใครหลายคน รวมทั้งเรา มี 10 นิ้วยกให้ทั้งสิบเลยจ๊ะ หนังสือทำให้เราอ่านแล้วจินตนาการถึงโลกนั้น และความรักความผูกพันของโฟรโด แซม กิมลี เลโกลัส อารากอร์น แกนดัฟล์ ฯลฯ อย่างไร หนังก็ถ่ายทอดมาได้ครบหมด เหมือนโลกแห่งความจริงเดินออกมาจากจินตนาการอย่างไรอย่างนั้น ตอนที่ดูภาค 1 จำได้เลยว่าจะสร้างบ้านแบบฮอบบิท เอาแบบนั้นเลย ช้อบชอบ.. จากคุณ : ->บังเอิญไหมที่เราได้พบกัน<- เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 54 01:34:35

ความคิดเห็นที่ 26 ทำหนังด้วยใจรัก ก็มีสิทธิออกมาได้แบบนี้อีกครับ จากคุณ : nusfish เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 54 02:13:28

ความคิดเห็นที่ 27 สุดยอดเลยครับบบเรื่องนี้้ หนังในดวงใจเลยย! จากคุณ : Poligi เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 54 10:40:11

ความคิดเห็นที่ 28  ข้อเสีย ของLord ที่ ทำให้เราขัดใจคือ    1.   เราอ่านหนังสือ แนวนี้ เรื่องอื่น ไม่สนุกอีกเลย กินเวลา สามปี    2 .  เราดูหนังแนวนี้ไม่สนุก อีกนานมาก จนหลังๆมาก็มีสนุกมั่งแต่ก็อดเปรียบกับ Lord ไม่ได้    3.   หลังจาก ท่านเซอร์ เอียน เล่นบท กัลดัฟแล้ว   เอ่อ... เราก้ยังไม่เห็นมีใครเล่นบทพ่อมดได้เป็นพ่อมดเท่าเค้าอีกเลย    โดยเฉพาะมันทำให้บทพ่อมด "ดัมเบอร์ดอร์"    ใน  HP กลายเป็นเม็ดก๋วยจี๊ไปเลย    4.   นางพยา เอลป์ เรื่องLord ( เคท แบลนเชท )  ทำให้ แม่มดขาว  ใน Nanaier ภาคแรก  หมองไปถนัดตา (ทั้งที่  ทิลด้า ก็เล่นได้ยอดเยี่ยม)         แค่ เคท ปรายตา มอง เหล่าพันธมิตร แห่งแหวน ก็ ชนะเลิศแล้ว     5.  ข้อนี้ สำคัญ     มันทำให้ เรา ดู   แฮรี่ พอร์ทเตอร์    ไม่สนุกเลยจนบัดนี้ (ทั้งๆที่มันไม่ควรเอามาเกี่ยว หรือเปรียบกัน)              ส่วนหนังสือนั้น ยังอ่าน แฮรี่ สนุกอยู่ แต่ก้เห็นจุดรั่ว ของ แฮรี่  เยอะมาก     เพราะหนังสือ  Lord  นั้นสร้าง   มิดเดิ้ลเอิร์ท  ได้อย่างสมจริง แทบจะหารูรั่วไม่เจอ     6.   มันทำให้   ออลัลโด้ บลูม หล่อเกินจริง     7.   มันทำให้ เรา เรียกเด็ก ข้างบ้าน ที่ผอมๆ หัวโปนๆปอดๆ ว่า ไอ้ กอลลั่ม   และเราก็พยามฝึกให้เด็กพุด ว่า  “my precious”  และเราก็โดนแม่เด็กด่า     8.   มันทำให้ฉากสู้รบ แบบยกทัพ ชนกันของหนังเรื่องต่อๆมา ชวนง่วง     9.   มันทำให้ เราเสียดาย ที่ ไม่มีคนไทย หรือ เอเชีย ทำช้าง (ซึ่ง เราว่า ได้ แรงบันดาลใจ มาจาก ช้าง เอราวัล )ได้น่ากลัวเท่าในเรื่องนี้    10.  เอ่อ.......... นาซกูล ตายง่ายไป    11.  ใครได้อ่านหนังสือ  ในตอนจบ จะจับอารมณ้  " เศร้าสร้อยถวิล" ได้ โดยเฉพาะ เฟรโด   และอารมณ์นั้น มันติดกับเราไปเป็นสัปดาห์                            Lord เหนือกว่า Avartar หลายขุมนัก   จะแพ้ Avartar  ก็แค่เรื่องอฟเฟค (นิดหน่อย)                               สิ่งที่ทำให้ Lord ขึ้นหิ้ง ได้นั้น นอกจาก บทประพันธ์ ที่ยอดเยี่ยมแล้ว หากพูดในส่วนของหนัง ก็เพราะหนังนั้นดึงเอาหัวใจหลัก ของเรื่องมานำเสนอได้อย่างยอกเยี่ยม แม่นยำ ซื่อตรง   นั่นเป็นเพราะ ทีมงาน และผู้กำกับ รัก และซื่อสัตย์ กับสิ่งที่ตัวเองจะทำจริงๆ            จะเห็นว่า    หากเป็นคนอื่นทำ ด้วยเทคนิคที่สุดยอด เนื้อเรื่องที่เอื้อ ให้โชว์เอฟเฟคสุดๆขนาดนี้ คงเป๋ไปเพราะอยากอวดเอฟเฟค             แต่ ในLord จะเห็นว่า ทุกเอฟเฟค มีเพื่อเล่าเรื่อง สื่ออรมณ์และพาสารไปยังผู้ชม ไม่ใช่มีเพื่ออวด (แม้แต่ อวาตาร  ยังมีอาการ “อวด” ให้เห็น)   แม้มีจุดบกพร่องในลายละเอียด (บ้าง) ก็ถูกบดบังด้วย ความลงตัว                จุดเด่นมากๆ ของ Lord  นอกจากงานศิลป์ และภาพ  เอฟเฟคที่ยอดเยี่ยม เด่น แต่ ไม่โดด   คือ   บท และ การแสดง ที่แคสติ้ง ที่ดีจริงๆ จึงสามราถ สร้างอารมณ์ ร่วมให้กับผุ้ชม ดังหลุดไปอยู่ในเหตุการณ์                          จำได้ ว่า ตอนแรกที่ไปดู ไม่มีข้อมูล อะไร เกี่ยวกับเรื่องนี้ในหัวเลย ดูเพราะเพื่อนชวน  ขณะที่ดู นั่งเกรงและลุ้น จนออกจากโรง ตะคริวกินขาเลย  เริ่มลุ้น ตั้งแต่ ฉากที่  เหล่า ฮอบบิท ออกจาก ไชน์ และ โดน ภูติ ม้าดำล่า(นาซกูล)   ตอนนี้ ก็เล็บจิกเบาะแล้ว มาขาเกร็ง              อีกทีก็ตอน   โฟโด กับ เอลป์สาว ขี่ม้าหนีการตามล่า               และฉี่แทบแตก อีก ที ก็ตอน ที่ คณะพันธมิตแห่ง แหวนมุดเหมือง และต้องต่อ สู้กับออร์ค และอสูรจากใต้พิภพ                 ก่อนปิดฉากความเสียวด้วย ฉาก การต่อสู้กับหล่อ อุรุกไฮผีดิบ ของพ่อมดขาวและการตาย ของโบโรเมียร์               และ     ท้ายสุดกับการเติมอารมณ์ห้อิ่มเอม กับความซึ้ง ในฉาก แซม   แกมจี จมน้ำ (คนที่เคย อ่านหนังสือ จะอิน ตรงนี้ มาก เพราะ เหล่าฮอบบิท กับน้ำ ไม่ถูกกัน การที่แซมกล้าเดินลุยน้ำ แม้ตัวเองจะว่ายน้ำไม่เป็นนั้น กล้าหาญ มากๆๆทั้งฝืนธรรมชาติของเผ่าพันธุ์ และไม่กลัวตายเพื่อ ผู้ที่เป็นทั้งนาย และเพื่อน) แก้ไขเมื่อ 20 เม.ย. 54 12:43:26 จากคุณ : หนูหงอย เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 54 11:26:24

ความคิดเห็นที่ 29 อวตาร  ดีกว่า เดอะลอร์ดตรงไหน  ตอให้เป็น 4 มิติ  ก็ตาม  เนื้อเรื่องห่างกันเยอะ  ความผูกพันห่างกันแยะ จากคุณ : ar.2524 (ar.2524) เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 54 13:34:17

ความคิดเห็นที่ 30 ทำไมผมดู Lord of the rings ไม่เคยจบเลย  หลับตลอด ขนาดยืมเพื่อนมาเกือบเดือน จนเอาไปคืนยังดูไม่จบเลย สงสัยตาไม่ถึงหนังเทพ จากคุณ : NumFai เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 54 14:02:42

ความคิดเห็นที่ 31 เป็นหนังแฟนตาซีที่ครบรสจริงๆ ค่ะ   ดูแล้วทั้ง ตะลึงงัน ตระการตา ตื่นเต้น ลุ้นระทึก น้ำตารื้น อิ่มเอิบ ดื่มด่ำ งงงวย และเมามาย........ไปกับ เคท และ ลิฟ ! -*- จากคุณ : Another GutZ (Another GutZ) เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 54 16:06:07

ความคิดเห็นที่ 32 นิยายดี > ผู้กำกับดี > หนังดี ปีหน้าลองดู The Hobbit อีกสักเรื่อง และจะทำให้คุณๆ รู้ว่า การกลับมาครั้งนี้ของ ผู้กก.ที่ชื่อ Peter jackson จะนำพาความประหลาดใจและสุดยอดอะไรมาให้คุณๆ ดูบ้าง แม้เนื้อเรื่องของ The Hobbit จะยังไม่มีเรื่องของการรบทัพจับศึกอะไรมากมาย(ยกเว้นสงครามห้าทัพท้ายเรื่อง หรือเนื้อเรื่องที่อาจถูกต่อเดิมในภาคสอง) แต่ ณ จุดนี้ เราจะได้เห็น Middle Earth หรือ มัชฌิมโลก ในแง่มุมอื่นๆ ที่ไม่อาจเห็นได้ใน The Lord ทั้งสามภาค เช่น ตัวละครทั้งใหม่และเก่าอย่างที่คุ้นเคยกันดี, เมืองหรือนครต่างๆ ที่จะเป็นตัวดำเนินเรื่องก่อนสมัยที่จะเกิดเหตุการณ์ของสงครามแหวน, ผืนป่า แม่น้ำ ภูเขา หรือภูมิประเทศแปลกๆ และน่าอัศจรรย์ อีกมากมายที่รอเราไปเยี่ยมเยือน รวมถึงบรรยากาศและกลิ่นอายของ โลกที่ชื่อ Middle Earth ในช่วงเวลาที่ Dark lord ยังไม่หวนกลับมา ที่สำคัญ เราจะได้เห็น PJ เฮียแกโชว์เทพในการรังสรรค์ความรู้สึก ตื่นเต้น ตระการตา และ น่าจดจำ ที่อาจจะครองตำแหน่งหนังในความทรงจำสำหรับคุณๆ ไปอีกนาน พอๆ กับที่คุณๆ จดจำ The Lord ทั้งสามภาคไว้ในความทรงจำจนถึงตอนนี้ แก้ไขเมื่อ 20 เม.ย. 54 16:27:14 จากคุณ : . (oRyujinmaruo) เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 54 16:23:00

ความคิดเห็นที่ 33 อ่านหนังสือ The Hobbit แล้วอยากไปเที่ยว Lake town อ่ะ กะว่าจะชวนเพื่อนเก่าเฮีย บิลโบ แบ็คส์กิน แกไปเป็นไกต์ แต่ติดอยู่ที่ว่าตอนนี้เฮียแกนั่งกินนอนกินกะหลานรักอยู่ที่ วาลินอร์ เลยเกรงใจ แก้ไขเมื่อ 20 เม.ย. 54 16:36:39 จากคุณ : . (oRyujinmaruo) เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 54 16:33:00

ความคิดเห็นที่ 34 หนังแฟนตาซีที่ดีมันมีมากกว่า CG เจ๋งๆ ค่ะ บทประพันธ์เค้าสุดยอดมาก จะเอา Avatar มาเทียบชั้นเร็วไปสำหรับชาตินี้ ปล.ไม่ใช่ว่าหนังเค้าไม่ดีแต่ในแง่เนื้อเรื่อง Avatar แพ้ราคาบค่ะ *แก้คำผิด แก้ไขเมื่อ 20 เม.ย. 54 19:30:41 จากคุณ : cloveruntitle2 เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 54 19:29:58

ความคิดเห็นที่ 35 คุณคห.33 ไปทัวร์ วาลินอร์ กันมั๊ย อิอิ จากคุณ : Monla เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 54 22:59:39

ความคิดเห็นที่ 36 เพิ่ม28 นอกจากออแรนโด้ บลูมจะหล่อเว่อร์เกินจริงแล้ว เวลาดูหนังที่เอไลจา วูห์เล่น ผมต้องคิดว่าเค้าเป็นฮอบบิททุกที จากคุณ : รักเธออยู่แต่ก็รู้ว่าไม่ได้ เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 54 09:27:30

ความคิดเห็นที่ 37 ความยิ่งใหญ่ของ LOTR มันเริ่มมาจากเนื้อเรื่องครับ เพราะโทลคีนเขียนนิยายเรื่องนี้ได้แบบระดับที่กลายเป็นตำนาน ต่อมาแจ็กสัน ได้ลอกหนังสือมาแบบดุ้นๆ ปรับเปลี่ยนนิดหน่อยในรายละเอียดปลีกย่อยและเงื่อนเวลา แต่สิ่งที่เหนือกว่าคืองาน Art Direction ที่นอกเหนือกว่าที่ในหนังสือระบุไว้ ยกตัวอย่างเช่นหอคอยออธังค์ของซารูมาน ตอนอ่านในหนังสือผมว่าก็โอเค แต่พอมาอยู่ในหนังมันช่างยิ่งใหญ่อลังการมาก ดังนั้น คิดว่ายากครับที่จะลบล้างได้ ขนาดทุกวันนี้ยังไม่มีใครทำคลีโอพัตตราได้ดีกว่า ฉบับที่ ลิซ เทเลอร์ เล่นไว้ได้เลยครับ ถึงมันจะ 40-50 ปีแล้วก็ตาม จากคุณ : Sith Lord Nindle เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 54 17:27:53

ความคิดเห็นที่ 38 ถ้าเอาว่าเอฟเฟคดีกว่าคงทำได้ครับ แต่ถ้าทั้งเนื้อเรื่องทั้งเอฟเฟค การดำเนินเรื่อง จะให้เหนือกว่าโดยสมบูณ์แล้ว ผมว่าคงยากครับ ยกเว้นในช่วงหลังจากนี้จะมีใครเขียนนิยายแฟนตาซีได้ถึงระดับของโทลคีน นั่นก็อีกเรื่องนึง Avatar เทคนิคดีจริง แต่ก็แค่เอาพล๊อตเดิมๆ มาหากินเฉยๆ ซึ่งมันเอามาเทียบกันไม่ได้ ลองให้ LoTR ใช้เทคนิคการถ่ายทำเดียวกับ Avatar ดูสิครับ ผมว่ามัชฌิมโลกที่โทลคีนคิดไว้คงได้ถูกถ่ายทอดออกมาได้อลังการกว่านี้แน่ สิ่งสำคัญที่ทำให้ LoTR ประทับใจ(สำหรับผม)คือการที่มันมีความเป็นแฟนตาซีสูง แต่ก็มีที่มาที่ไปของเหตุการณ์และบทสรุปที่แน่นอนของเหล่าตัวละครชัดเจน (เหมือนเวลานั่งเล่นเกม RPG ดีๆ สักเกม) ซึ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เลียนแบบได้ยากเอาเรื่อง (ผมลองเขียนนิยายแบบ LoTR มาเกือบ 6 ปีแล้วยังได้ไม่ถึงเสี้ยวนึงของ LoTR เลย แค่คิดเรื่องการกำเนิดโลก,ประวัติอาณาจักรและเผ่าพันธ์ต่างๆ ก็พาลจะไมเกรนกินแล้ว) รอดูอีกสัก 20 ปีครับ ว่าคนรุ่นใหม่ในยุคนั้นจะพูดถึง LOTR ในแง่ไหน เหมือนกับสมัยที่เราพูดถึง Star War กัน จากคุณ : Delclaw เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 54 02:36:07