|
|
|
|
|
|
|
|
| ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (11 คน) |
|
|
|
| |
| | | ชอบมาก ห้ามพลาด (86 คน) |
| | | ชอบ (62 คน) |
| | | เฉยๆ (33 คน) |
| | | ไม่ชอบ (4 คน) |
| | | ไม่ชอบมาก เสียดายตังค์ (11 คน) |
| |
จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 196 คน |
เลือกอ่านบทความนี้พร้อมรูป และชวนมาอ่านหรือแสดงความเห็นเพิ่มเติมอื่นๆได้ที่ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=04-2011&date=26&group=14&gblog=245
... การทำหนังต่อจาก ไตรภาคที่ประสบความสำเร็จ นับว่าเป็นเรื่องยากมหาหิน โดยเฉพาะถ้าคิดทำเป็น Sequel (ตอนต่อเนื่อง) ดูตัวอย่าง อินเดียน่าโจนส์ ภาค 4 ที่ขนาดได้ระดับพ่อมดสปีลเบิร์ก ถึงจะสามารถเก็บกลิ่นอายอารมณ์สมัยเก่าก่อนได้ครบ แต่เนื้อเรื่องหรือความสนุกยังเทียบสามภาคแรกไม่ติด ทำให้คนดูรุ่นเก่าๆได้แค่รู้สึกดีใจแต่ไม่ตื่นเต้นเหมือนก่อน ดังนั้นหนังภาคต่อจากไตรภาคส่วนใหญ่จึงเป็น แบบสตาร์วอส์ ที่เลี่ยงไปทำเป็น Prequel (ตอนก่อนหน้า)
สำหรับ Scream ยิ่งแล้วใหญ่
มัน จะมีพล็อตเจ๋งๆอะไรได้อีกได้สำหรับ หนังไล่เชือด ที่สร้างมาแล้วถึงสามภาค แถมภาคสามก็เริ่มเลอะเทอะชนิดเลือกตัวฆาตกรด้วยแรงจูงใจและหลักการที่ใกล้ เคียงกับคำว่า แถ เต็มที่ (ไม่รู้จะขุดญาติซิดนี่ย์มาจากรากเหง้าไหนกันอีก) จึงคิดไม่ออกว่า ถ้าหนังไล่เชือดจะสร้างภาคสี่ต่อมา จะมีอะไรได้มากกว่า การเป็นซีรี่ย์วิ่งไล่เชือดกันอีกครั้ง เหมือน แฟรนไชส์ หนังไล่เชือดเช่น ศุกร์ 13 หรือ สิงหาสับ
คนมักถามว่า ทำไม ไอ้หน้าผี-ghost face จึงอยู่ในใจคอหนังหลายคน ในฐานะสาวกลัทธิscreamคนหนึ่ง ขอตอบว่า ในบรรดาหนังไล่เชือดเลือดสาด(Slasher film) ทั้งหลายที่เคยดูมา ส่วนตัวแล้วยก Scream ให้เป็นอันดับหนึ่ง
เพราะ ส่วนใหญ่ ถ้าฆาตกรไม่ใช่ ไอ้โรคจิตสวมหน้ากากไล่ฆ่าคนไปเรื่อยๆแบบไร้เหตุผล ก็มักจะมี เหตุผลแรงจูงใจแบบหน่อมแน้มแล้วก็เน้นตับไตไส้พุงเป็นส่วนใหญ่ แต่ การถือกำเนิดของ Scream ในตอนนั้นมากับคำว่า ฉลาด ซึ่งเป็นปัจจัยที่ขาดไปในหนังแนวนี้
บท หนัง ไม่ใช่สักแต่ว่าไล่ฆ่า แต่ ฉลาดที่จะหันมาเล่นกับคนดู เหมือนกับรู้ว่าคนดูรู้ทันหนังแนวนี้ตรงไหน ก็จะทำให้คนดูเซอไพรส์ หรือ ให้ตัวละครหันมาพยายามดักคอตัวเองล่วงหน้า คล้ายกับบอกคนดูว่า ฉันรู้ว่าเธอรู้ทัน ไม่ต้องห่วงว่าฉันจะซ้ำซาก
เช่น ฉากเปิดเรื่องสุดคลาสสิคของ ดรูว์ แบรี่มอร์ ที่ทำเอาคาดไม่ถึง และทำให้เราเชื่อว่าถัดจากนี้เป็นใครก็ตายได้ , ฉากคนบ้าหนังมาร่ายสูตรของหนังสยองขวัญว่าควรจะเป็นอย่างไร เหมือนรู้ทันฆาตกรและคนดู , ฉากกระซวกกลางแจ้งในภาค 2 บนรถตู้ยังติดตา , ฉากหนังซ้อนหนังใน scream 3 ฯลฯ
นอกจากจะไม่เปิดเผยตั้งแต่ต้นว่า ฆาตกรคือใคร แต่ระหว่างการดำเนินเรื่อง ยังแฝงรูปแบบของหนังหรือนิยายฆาตกรรมแบบ whodunit ที่มีความสนุกอยู่ตรงต้องขบคิดตามร่องรอยที่หยอดไว้ให้รู้ว่า ฆาตกรอยู่ใกล้ตัว เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นคนไหนเท่านั้นเอง
อีกจุดเด่นหนึ่งของหนังชุด Scream คือ อารมณ์ขันที่เกิดจากการกัด โดยเฉพาะกัดหนังในตระกูลเดียวกันให้พอแสบๆคันๆกันไป
Scream 4
... ตอนรู้ข่าวจะสร้างภาคใหม่ เป็นข่าวหนังใหม่ที่ทำให้ตื่นเต้นมาก เพราะตั้งแต่ Scream 3 ปิดฉากลง ถึงมันจะแย่ยังไง แต่จากนั้นมาเป็นสิบปี ก็ไม่มีหนังในแนวนี้อีกเลย เพราะส่วนใหญ่ก็หันไปในหนังในแนว ทรมานคนดูด้วยการทรมานเหยื่อ เน้นการชำแหละและฉากโป๊เปลือยตามชื่อตระกูลหนัง torture porn ประเภท saw หรือ Hostel แทน
แต่ก็เตรียมใจไว้แล้วว่า การมาของ Scream 4 มีโอกาสที่ ความน่าผิดหวังจะสูง เพราะ สำหรับหนังฆาตกรไล่เชือดแบบนี้ในยุคสมัยนี้ การจะหา ความใหม่ในแง่พล็อต มันคงยากเต็มที เพราะจะไปทางไหน มันก็มีคนสร้างมาแล้วเกือบทั้งหมด
ครั้นจะหักมุมในแง่ ฆาตกร ก็คงไม่ทำให้เซอร์ไพรส์ได้อีก
ต่อ ให้ สามตัวละครเก่าโดนฆ่าตายหมด หรือ หนึ่งในสามคนนั้น เช่น ซิดนี่ย์ ลุกมาเป็น ฆาตกร ฯลฯ มันก็คงทำให้เราประหลาดใจได้ไม่มากเท่าไหร่ เพราะเชื่อว่า ก่อนจะเข้าไปดูหนังแนวนี้ เราเองก็มีสมมติฐานในใจล่วงหน้า เดาโน่นเดานี่ไปหมดแล้วว่าใครจะเป็นฆาตกร ยิ่งดูแนวนี้มามาก ทางออกทุกทางก็ล้วนอยู่ในการคาดเดาของคนดูแทบทั้งสิ้น
ไอ้ครั้นจะไป พลิกการเล่าเรื่องเสียใหม่ เช่น ไปมีพวกอาการทางจิตแบบบุคลิกซ้อน หรือ จิตหลอน หรือแค่ฝันไป ก็ดูจะหลุดคอนเซ็ปท์ความเป็น scream เกินไป
จึง เป็นความฉลาดของ Scream 4 ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับ การหักมุมว่าใครฆ่า เพียงอย่างเดียว แต่ หันกลับไป เล่นอารมณ์แบบเดิม เสริมการล้อ จิก กัด ตัวเองกับหนังสยองขวัญยุคหลังๆ เหมือนที่ scary movie พยายามทำ ต่างไปตรง ความขำที่มีกึ๋นกว่า (ฉากเปิดที่เล่นแล้วเล่นอีก , กัด saw ไปเต็มๆแถมตรงจุดที่ว่า คาแรคเตอร์ไม่เคยมีพัฒนาการ , กัด หนังตำรวจแบบ die hard , ฉากฆาตกรพยายามทำร้ายตัวเองตอนท้าย ฯลฯ )
ซึ่งก็เก่งดี ที่สามารถหาจุดที่จะเหน็บสูตรหนังสยองขวัญทั้งๆที่สามภาคแรกก็เล่นไปหมดแล้ว และที่เด็ดที่สุดคือ การวางเสต็ปตามหลังสูตรตัวเองโดยไม่ได้เป็นการเลียนแบบ หากแต่ล้อกับมันอย่างเมามันส์
Spolis alert!!! : เนื้อความถัดจากนี้ เปิดเผย ตัวฆาตกร ของเรื่อง
... บางคนอาจผิดหวังกับคำโปรยที่ว่า New Dacade , New rule เพราะเมื่อเฉลยแล้วเห็นว่ามันไปซ้อนทับกับภาคแรก แต่ถ้าดูแล้วเห็นว่าน่าจะเป็นเจตนาของหนังที่จะทั้งบูชาทั้งล้อเล่นกันมัน มากกว่าจะจนปัญญาหาการดำเนินเรื่องใหม่ๆ (ขนาดความยาวของหนัง ยังยาวตรงกันคือ 111 นาที ซึ่งน่าจะเป็นความตั้งใจนอกเหนือไปจากความซ้ำซ้อนที่ จำนวนเหยื่อ , จำนวนฆาตกร , บุคลิกตัวละคร , วิธีการตาย ฯลฯ)
คำว่า New rule จึงน่าจะเป็นความหมายของตัวฆาตกรในหนังมากกว่าที่ใช้กฎ(rule)ใหม่ๆในการส ร้าง ฉากฆาตกรรม ให้กับตัวเอง เช่น ฆ่าเหยื่อที่เป็นเกย์(ตามสูตรมักไม่มีตัวละครตัวนี้ตาย) , คาดว่าตัวเอง(ฆาตกร)จะจบลงอย่างยิ่งใหญ่ได้เป็นดารา ฯลฯ
เพราะจะว่าไปแล้ว ถ้าหนังอยากจะสร้างความสดใหม่แบบ new rule ก็พอทำได้ตรงตอนจบของหนัง ที่เลือกได้ว่าจะจบแบบแปลกใหม่ ตั้งแต่สิบห้านาทีก่อน คือ จบแบบ ฆาตกรลอยนวล เสียดสียุคสมัยของคนอยากดัง เพื่อไปรับมือกับ ฆาตกรหรือเหยื่อรายใหม่ๆในภาคหน้า ถ้าจบแบบนี้อาจได้รับคำชมจากนักวิจารณ์หรือคนดูที่อยากเห็นอะไรใหม่ๆ
แต่ หนังก็เลือกที่จบแบบคลิเช่แต่ สะใจ ซึ่งเชื่อว่าถูกใจสาวกไอ้หน้าผีมากกว่า ในการให้สามตัวละครหลักกลับมาจับมือกันกำจัด ฆาตกรที่คิดจะมาแหยมกับพวกเขา และทำให้ ประโยค Dont f*** with the original จึงเป็นประโยคสุดสะใจคนดูเสียเหลือเกิน
เพราะ มันมีความหมายสื่อสารโดยตรงไปยังฆาตกรในหนังที่ดูมั่นอย่างน่าหมั่นไส้ และยังสามารถส่งไปถึง หนังสยองขวัญรุ่นใหม่ๆที่คิดทาบหนังรุ่นพี่ , หนังตลกล้อเลียนที่คิดล้อแต่ทำออกมาห่วย หรือกระทั่งคนที่คิดจะรีเมคและทำภาคต่อ
สิ่งที่ชอบ
1.การเดา หนึ่งสิ่งที่ทำได้ดีไม่แพ้ภาคแรกคือ คนเขียนบทสร้างความไม่น่าไว้วางใจให้ตัวละครได้อย่างไล่เลี่ยกัน ทำให้คนดูสนุกกับการเดาไม่ให้มันง่ายเกินไป เช่น แวบหนึ่งเราอาจคิดว่าจะเป็น เกล ซึ่งอาจจะฆ่าเพราะหมดไฟในงานเขียนอย่างรุนแรง , ซิดนี่ย์ ฆ่าเพราะอยู่กับฆาตกรรมมานานจนป่วยจิต , ตำรวจสาว ฆ่าเพื่อให้มีงานที่ได้ใกล้ชิดกับดิวอี้ , แม่สาวฮีโร่ ฆ่าเพราะเป็นแฟนหนังสยองขวัญ ฯลฯ
2.หนังตัวอย่าง - หนังตัวอย่างหลอกคนดูอย่างแยบยล ตัดประโยคจากตอนหนึ่งไปเชื่อมอีกตอนหนึ่งชวนให้เข้าใจผิด หรือ ประโยคหลอกที่ไม่ได้ถูกเอามาใช้ในหนังจริง เหมือนสับขาหลอกล่วงหน้าพาคนดูให้ไขว้เขวก่อนดูหนัง
3.ล้อยุคสมัย ตอนเฉลยว่า เหตุที่ฆ่าเพราะ ความรู้สึกถูกเปรียบเทียบตลอดเวลา รู้สึกว่าอะไรๆก็ซิดนี่ย์ ดูจะเป็นแรงจูงใจที่ดีแต่ไม่มีพาวเวอร์ชวนคล้อยตามเท่า แรงจูงใจของฆาตกรภาคแรกที่แค้นฝังหุ่น แต่ที่ชอบคือ กระบวนการคิดต่อจากนั้นของฆาตกรที่เสียดสีคนในยุคปัจจุบัน นั่นคือ เมื่อรู้สึกว่าไม่สำคัญดังนั้น การที่จะดัง คือ ทำอะไรให้แรงให้เร็วให้ออกสื่อ โดยไม่ต้องสนว่าสิ่งที่ทำนั้นคือ เรื่องดีหรือเลว
4.ล้อตัวเอง ทำได้ดีมาก แฟนๆที่ได้ดูน่าจะยิ้มปนหวีดเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ของภาคเก่าเอามารีเมคใหม่ ในรูปแบบที่ต่างไปจากเดิม การปลุกยุคสมัยตอนนั้นมามีชีวิตในยุคสมัยใหม่ (คล้ายๆกับ The Expendible ที่ พี่โบ้ พยายามจะนำอารมณ์หนังแอคชั่นยุคเก่าๆพร้อมดารารุ่นเก๋าๆมาอยู่ในหนังยุคใหม่ แต่ Scream ทำได้ดีกว่า ตรงความร่วมสมัยที่กลมกลืนไปด้วยกัน)
5.คืนสู่เหย้า เห็น สามผู้รอดตายกับไอ้หน้าผีกลับมาก็รู้สึกดีใจแล้ว แต่เมื่อผู้กำกับและคนเขียนบทยังสามารถเรียกอารมณ์สนุกแบบวันเก่าๆกลับมาได้ มันจึงเป็นงานคืนสู่เหย้าที่เราเพลิดเพลิน
Scream 4 ก็เหมือนบุญชูหรืออินเดียน่าโจนส์ คือ ไม่ต้องดูภาคก่อนๆแล้วมาดูภาคใหม่ก็รู้เรื่อง แต่จะไม่ได้อรรถรสเต็มอิ่ม เพราะ หนังในกลุ่มนี้เหมือนหนังคืนสู่เหย้า ที่แฟนเก่าๆจะมีความรู้สึกอิ่มเอมเมื่อได้เห็นคนเก่าๆกลับมา จำได้ถึงความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น อินไปกับความผูกพันที่เคยมีกับตัวละคร
นอก จากนี้ Scream 4 ยังมี มีเจตนา กัด จิก หยอก ยั่วล้อ ตัวเอง หลายจุด ซึ่งถ้าไม่ได้ดูสามภาคที่แล้ว อาจดูบางฉากแบบเพลินๆผ่านเลยไปโดยไม่ทันรู้ว่า หนังกำลังเล่นหรือล้ออะไรอยู่
สิ่งที่ไม่ชอบ
1.รุ่นลูก มีปัญหาเดียวกับบุญชูและอินเดียน่าโจนส์ คือ รุ่นลูก ไม่สามารถสร้างพลังได้ดีเท่ารุ่นพ่อ ขนาด ซิดนีย์ จิล ดิวอี้ ไม่ได้ฟิตพอจะวิ่งสี่คูณร้อยเหมือนแต่ก่อนแต่พวกเขาก็ยังทำให้หนังมีพลัง มากกว่า หน้าใหม่ๆ เพราะถึงจะมาพร้อมความสด แต่ คาแรคเตอร์ของพวกเขาแบนมากเมื่อเทียบกับ ตอนดู Scream 1 สมัยที่ ซิดนี่ย์ เกล ดิวอี้ ยังหนุ่มๆสาวๆ
ในภาคนั้นตัวละครทุกตัวมีจุดเด่นมีมิติ แต่ภาคนี้ทุกตัวก็ดูคล้ายๆกัน ซึ่งนั่นก็เป็นจุดอ่อนของหนังสยองขวัญส่วนใหญ่ คือ ทำให้คนดูไม่ได้ผูกพันกับใคร เมื่อตายไปมันก็ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมนัก
2.ช่วงดร็อป - อยู่ในช่วงหลังเปิดตัวที่อืดๆไปนิด แต่หนังกลับมาเรียกจุดพีคคืนในช่วงองก์สามที่อัดความระทึกได้แบบไม่พัก
3.ขาดสถานการณ์เหนือชั้น - จุดล่อหลอกจุดหนึ่งที่ทำได้ดีในภาคแรก คือ สร้างสถานการณ์พลิกผันโชว์ความฉลาดของบทหนังในแนวฆาตกรรม เช่น ตอนแฟนซิดนี่ย์ ที่ทำให้เราสงสัยในตอนต้น แล้วพลิกมาหมดข้อสงสัยตอนโดนจับเพราะมีการฆ่ากันตายระหว่างคุมขัง ทำให้มีข้อแก้ต่างพ้นจากการเป็นฆาตกร พอหนังเฉลยเราถึงอึ้ง รู้สึกเหมือนถูกหลอก แต่ภาคนี้ไม่มี สถานการณ์เจ๋งๆที่ชวนให้เราอึ้ง
4.ล้อสังคม อันนี้ไม่ได้ถึงกับไม่ชอบ แต่เห็นว่าหนังพยายามเล่นกับยุคสมัยในตอนต้นกับตอนท้าย ก็เลยคิดว่า หนังยังล้อหรือใช้ความเป็นยุคสมัย 3G , BB , Iphone , social media มาเล่นกับ การฆาตกรรมได้น้อยเกินไป มันมีจุดที่น่าจะเล่นได้มากกว่านี้
สรุป ... ถึงเขียน ข้อที่ไม่ชอบ ใกล้เคียงกับ ข้อที่ชอบ แต่จริงๆแล้ว โดยรวม ชอบมาก สิบปีผ่านไป ไม่มีเรื่องไหนที่มาเติมเต็มอารมณ์เหมือนที่ Scream เคยทำได้ แล้วพอกลับมา ถึงจะไม่ได้ยอดเยี่ยมเหมือนครั้งแรกที่ดู แต่ก็นับได้ว่าไม่ได้ด้อยไปกว่ากันมาก เป็นการเปิดศักราช scream ในยุคใหม่ได้อย่างถูกใจ
แต่ถึงจะร่วมสมัยแค่ไหน ก็เสียดายอย่างเดียวที่ เวส คราเว่น พลาดไปตรงปล่อยหนังให้มีรอบพรีวิว แทนที่จะฉายพร้อมกันทั่วโลกไปเลย เพราะในยุค social media เช่นนี้ ข้อมูลข่าวสาร รวมถึง การสปอยล์ สามารถกระจายได้เร็วยิ่งกว่าจรวด และสำหรับหนังแนวนี้ การรู้ตัวฆาตกรก่อนลดอรรถรสในการดูหนังเกินครึ่ง จึงมีหลายคนที่ลดความอยากดูหลังรู้เฉลย
ป.ล. หนังดูเหมือนจะทิ้งช่องโหว่เผื่อสร้างภาคต่อไว้พอสมควร เช่น ไม่ให้เห็นว่าสาวฮีโร่ตายจริง ทำให้มีลุ้นว่าอาจรอดในภาคหน้า , ฉากฆาตกรรมบางฉากที่ชวนกังขา เช่น ใครฆ่าแม่ แม้จะอธิบายว่า จิลพอทำได้แต่มันก็ดูจะใกล้เคียงกับเวลาไปฟัดกับเกล แถมตำรวจล่ำๆอีกสองคนก็ดูไม่น่าจะรับมือไหว หรือจะมีผู้สมคบคิดอีกหนึ่งคน (ตำรวจสาว กลายเป็นผู้ต้องสงสัยอีกคนหนึ่ง)