Q: คุณไปแสดงภาพยนตร์เรื่องนั้น [Come Rain, Come Shine] โดยไม่มีอะไรรับประกันเลย ( ไม่มีค่าตอบแทน ) มุมมองหรือ ลักษณะอะไรในภาพยนตร์ที่ดึงดูดคุณให้อยากมามีส่วนร่วมในภาพยนตร์เรื่องนี้ ?
A: จนถึงตอนนี้ การที่ผมจะเลือกงานแสดงชิ้นนึงนั้น ผมจะเลือกจากความรู้สึกที่ว่าผมอยากจะแสดงเรื่องนั้นๆ และ Come Rain, Come Shine ก็เป็นอีกเรื่องนึงที่ผมรู้สึกอย่างนั้น ผมไม่มีความคิดอื่นจริงๆนะครับ ตอนที่ผมดูภาพยนตร์ที่เป็นโปรเจคใหญ่ๆ ลงทุนสูงๆ มีฉากที่น่าอัศจรรย์หลายๆฉาก แต่ความจริงแล้วก็ยังมีภาพยนตร์ที่เป็นภาพยนตร์โปรเจคเล็กๆ หรือ ภาพยนตร์แนวศิลป์ (หนังอาร์ต ) ที่ถึงแม้จะทำเงินได้น้อย ไม่สามารถเทียบเท่าภาพยนตร์ทำเงินเหล่านั้นได้ แต่มันให้ความรู้สึก และ อารมณ์ที่สงบ เต็มไปด้วยความหมาย ผมรู้สึกว่าถ้าไม่มีภาพยนตร์ประเภทนี้ บรรดาหนังทำเงินเหล่านั้นก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ดี ถ้าถาพยนตร์ที่ออกฉายในทุกวันนี้มีแต่ภาพยนตร์แบบทำเงิน ภาพยนตร์แอคชั่น ที่มีตัวอย่างที่มีเสน่ห์ ดึงดูดมากก ผู้ชมก็จะได้รับชมแต่ภาพยนตร์ประเภทนี้มากกก มากจนเกินไป ซึงผมว่ามันไม่น่าจะเป็นเรื่องดีนัก ดังนั้นผมเชื่อว่ามันจะดีกว่าถ้าจะมีภาพยนตร์หลายๆประเภท หลายๆแบบ
[Come Rain, Come Shine] เป็นภาพยนตร์ประเภทที่ น่าสนใจ วิธีในการถ่ายทอดความรู้สึกของผู้ชาย และ ผู้หญิงที่กำลังเผชิญหน้าการแยกทางกัน ความดื้อรั้นของ ผกก. Lee Yoon Ki ช่าง ........ ( หัวเราะ ) แต่ผมก็รู้สึกชื่นชมด้วยเหมือนกันนะครับ และนั่นก็คือว่าทำไมผมถึงเลือกที่จะมาแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ เหมือนที่ผมเคยให้สัมภาษณ์ไว้อีกที่นึง ว่าผมจะไม่ใจดีนะ การแสดงคิออาชีพของผม นั้นคือว่าทำไมค่าตอบแทนจึงสมควรต้องจ่ายด้วย อย่างไรก็ตามผมคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีไอเดียที่ดีเลยทีเดียว และ แน่นอนว่าถ้าอยู่ๆผมเกิดตัดสินใจไม่รับแสดง ปฏิเสธข้อเสนอ เพราะว่าผมมีปัญหาทางด้านการเงิน นั่นก็เป็นอีกส่วนนึงที่ทำมาบวกรวมเข้าไว้ด้วยกัน ในการได้มาเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่สร้างขึ้นมาโดยคนคนนึงที่อยากจะสร้างภาพยนตร์ที่มีไอเดียดีๆ และ ผมชอบมัน และ แน่นอนมันจะช่วยในด้านอาชีพ การงานของผมให้ดูดีด้วย
ผมหวังว่าผมจะสามารถแยกงานและชีวิตส่วนตัวออกจากกันได้ แต่มันไม่ง่ายเลย
Q: ในละครเรื่อง Friend, Our Legend ถึงแม้คาแรคเตอร์ของคุณจะค่อนข้าง เน้นลักษณะของความเข้มแข็ง แข็งแรง เป็นผู้็น็นชายมากๆ แต่ผลงานส่วนมากของคุณมักจะเน้นในด้านที่อ่อนไหว อ่อนโยน มากกว่า ถ้าความคล้ายๆกันเหล่านั้นเราเห็นมาจากบทบาทต่างๆกันเหล่านั้น นั่นอาจจะแสดงว่าตัวของคุณนั้นดึดดูดสายตาคนด้วยบุคลิกลักษณะแบบนั้น
A: ถ้ามองสถานการณ์แบบกว้างๆ มันก็เป็นความจริงที่มีผลงานที่เป็น ละครแนวบันเทิง (melodramas) ที่เน้นเรื่องเกี่ยวกับความรัก และ แนวตลก มากกว่าละครแนวที่แสดงถึงความเป็นลูกผู้ชาย แต่ผมคาดว่าสำหรับผม เหตุผลเดียวสำหรับผมก็คือ ผมคิดว่ามันถึงเวลาที่ผมจะได้ลองแสดงบทบาทแบบนี้ครับ ผมเลือกงานแต่ละงานนั้น เพราะว่าผมได้เรียนรู้มันแล้ว แล้วก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจ ผมจึงตัดสินใจที่เลือกจะทำมัน ถ้าเวลานั้นผมคิดว่าสมควรแล้ว หรือ ใช่แล้ว ผมจะเลือกแสดงภาพยนตร์ แอคชั่น หรือ ภาพยนตร์ แบบแนวหมองหม่น ( ฟิล์มนัวร์ ) ดูครับ
Q: ในขณะที่ดูละคร Secret Garden ฉันคิดว่า ฮยอนบิน คุณเป็นนักแสดงที่สามารถแสดงฉากร้องไห้ได้ดีมากกกกกเลยจริงๆ ในชีวิตจริงคุณเป็นคนอ่อนไหวรึป่าว ?
A: ไม่เลยครับ ( หัวเราะ )
Q: คุณทำยังไงถึงได้สามารถแสดงฉากร้องไห้ได้ดีขนาดนี้ ?
A: พูดตามตรง ฉากร้องไห้นั้นยากมากก แต่ผมได้เรียนรู้มาตั้งแต่เริ่มต้นของการเข้ามาสู่อาชีพนักแสดงแล้ว ผมเคยพูดแล้วว่าคุณจะต้องร้องไห้จริงๆตอนที่ถ่ายฉากร้องไห้ คุณจะต้องร้องออกมาจากใจ เป็นน้ำตาที่ออกมาจากข้างในจริงๆ เพราะการร้องไห้ที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ ก้จะไม่สามารถเป็นที่ยอมรับได้ ผมไม่ค่อยแน่ใจแต่การที่ผมแสดงฉากร้องไห้โดยวิธีคิดแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยมากกจนหมดแรงเลยล่ะครับ บอกตามตรง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำได้ยอดเยี่ยมในฉากร้องไห้ถ้ามันไม่ได้มาจากน้ำตาของคุณจริงๆ แต่โดยมาจากเทคนิค ซึ่มเดิมทีผมไม่ได้ทำแบบนั้นตั้งแต่แรก แต่ตอนนี้ผมก็เริ่มที่จะมาลองคิดถึงเกี่ยวกับการใช้เทคนิคบ้างแล้วล่ะครับ
Q: คุณนี่เหมือนเด็กๆเลยนะ ?
A: เหมือนกับแกล้ง หรือ ล้อเล่นกับคนอื่น แล้วก็ต้องมาโดนดุด่า หรือ ต่อว่าเพราะสิ่งนั้น ผมเหมือนเด็กที่ชอบ แกล้งคนและเล่นกีฬาน่ะครับ
Q: ได้ยินมาว่าคุณชอบด้านภาพยนตร์ ตั้งแต่เรียนปีแรกของช่วงมัธยม
A: หลังจากเข้ามัธยม เรามักจะต้องมีไปเข้าร่วมกิจกรรมของทางชมรมต่างๆ ผมเลือกเข้าชมรมภาพยนตร์หลังจากที่รุ่นพี่ชักชวนผม ช่วงแรก ผมก็แค่ทำตามที่รุ่นพี่สั่งเท่านั้น แต่ที่โรงเรียนของเรามีการส่งผลงานเข้าแข่งขันระดับประเทศที่โรงภาพยนตร์แห่งชาติทุกปี การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นที่มหาวิทยาลัย สำหรับคนที่รักในภาพยนตร์ คนที่ต้องการติดตามและแสวงหาเกี่ยวภาพยนตร์สำหรับอนาคตของตน ระหว่างการเตรียมตัว ผมขนของอุปกรณ์ของฉากหลังและเล่นเป็นตัวประกอบในการแสดง มันทำให้ผมเริ่มค่อยๆสนใจในด้านภาพยนตร์ทีละน้อยๆ พวกเราเข้าร่วมกิจกรรมของชมรมทุกๆปี มันก็เหมือนกับเทศกาลของโรงเรียนศิลปะที่มีการให้จัดแสดงละคร มันน่าสนใจมากก เวลาที่พวกเราซ้อมกันมันเป็นอะไรที่สนุกมากกกกกก
Q: อย่างที่คุณบอกตั้งแต่แรก ฮยอนบินคุณเหมือนกับว่าคุณเป็นคนที่ไม่ชอบสนใจหรือเอาใจใส่ต่อสิ่งภายนอก ซึ่งมันดูคล้ายๆกับบุคลิกของ Hoon ที่เป็นคนที่คิดแต่เรื่องของตัวเอง สนใจแต่เรื่องของตัวเอง เมื่อเปรียบเทียบกับคุณ อย่างไรก็ตาม มันเป็นสิ่งที่ดีที่คนทำหนังได้มีโอกาสมาพบปะ พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันฉันได้ยินว่าเมื่อต้นปีนี้ รุ่นพี่ Park Joong Hoon มีงานปาร์ตี้ในวันขึ้นปีใหม่เลี้ยงฉลองกันที่บ้าน และ เชิญดารา นักแสดงหลายคน คุณได้ไปร่วมงานด้วยรึป่าวว ?
A: ครับ ผมชอบมากกกก มันไม่ใช่เป็นสถานการณ์ที่ไม่รู้สึกสบาย หรือ อึดอัด ( รู้สึก สนุกสนาน เป็นกันเอง ) เพราะเป็นกลุ่มที่คุ้นเคย เพราะพวกเราเล่นเบสบอล และ ตีกอล์ฟด้วยกัน เลยทำให้พวกเรารู้สึกเป้นธรรมชาติ ผ่อนคลายที่จะพูดคุยกัน ครั้งแรกที่ผมได้ไปงานในลักษณะนี้ มันอาจจะรู้สึกยากลำบากหน่อย แต่พอได้ไปพบปะ สังสรรค์ด้วยกันบ่อยๆ หรือ ไปเจอแค่เพียงแค่คนเดียวผมก็ถือว่าเพียงพอแล้ว พวกเขาได้ดูผมในโทรทัศน์แล้วก็บอกว่า ว๊าวว เหมือนกับที่เรา คุณกับผมตอนนี้แหละ ( ตอนสัมภาษณ์ ) เรามีการสนทนากัน และ เข้าใจกันมากขึ้นระหว่างเรา 2 คน มันเป็นสถานที่ที่ผมชอบที่จะไป นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงชอบไปครับ เมื่อรุ่นพี่อุตส่าห์ชักชวน ผมจึงต้องพยายามไปให้ได้ ไม่ยอมพลาดแน่นอนครับ
Q: ในบรรดาในกลุ่มนั้นทั้งหมด ฮยอนบิน คุณอายุน้อยที่สุด ?
A: ใช่ครับ ผมอายุน้อยที่สุด ผมก็ไม่สามารถบอกได้ว่านะครับ ผมจะอายุน้อยที่สุดในกลุ่มต่อไปแบบนี้ไปถึงอีกเมื่อไหร่ ตอนไหน ( หัวเราะ )
Q: ปกติพวกคุณจะพูดคุยเกี่ยวกับอะไรกัน ?
A: พวกเราจะพูดคุยถึงประสบการณ์ หรือ สิ่งที่พวกเราได้ไปเจอะเจอมาก แล้วก็จะพูดถึงภาพยนตร์ และ หนังสือ แล้วก็อีกหลายๆเรื่องเลยล่ะครับ
Q: ตั้งแต่ละครเรื่อง My Name is Kim Sam Soon] (2005) คุณก็สามารถกลับมาโด่งดังสุดๆๆอีกครั้งกับละคร Secret Garden ถึงแม้ว่าการแสดงสามารถอธิบายได้ เหมือนกับงานที่สามารถแสดงออกให้โลกรู้ได้ด้วยตัวของมันเอง แต่ในอีกแง่นึง เหมือนกับเป็นงานที่สามารถซ่อนความเป็นตัวตนที่แท้จริงของคุณจากสาธารณะชน ฮยอนบิน คณคิดว่าตอนนี้คุณแสดงความเป็นตัวตนของคุณออกให้สาธารณะชนรู้ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ซักกี่เปอร์เซ็นต์
A: ผมคิดว่ามันยากที่จะบอกออกมาเป็นตัวเลขที่แน่นอนครับ ผมคิดว่าตอนที่ผมแสดงต่อหน้ากล้องผมคิดว่าผมแสดงได้ดีที่สุดเท่าที่ผมสามารถจะทำได้แล้วครับ ในขณะที่ผมคิดว่าผมก็ยังต้องพัฒนาและปรับปรุงมากขึ้นไปอีกในอนาคตเมื่อผมมีประสบการณ์มากขึ้น ผมรู้สึกว่าผมสามารถแสดงในสิ่งที่ผมต้องการแสดงได้แล้วในตอนนี้ แต่อย่างไรก็ตามเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของผม ผมหวังว่าผมจะสามารถเก็บซ่อนความเป็นส่วนตัวได้มากกว่านี้ ผมหวังว่าผมจะสามารถแยกงาน และ ชีวิตส่วนตัว ออกจากกันได้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ บางครั้งก็ไม่สามารถที่จะทำได้ ผมคาดว่าประเทศของเราไม่น่าจะสามารถทำแบบนั้นได้ เราไม่เหมือน Hollywood ที่ข่าวลือก็ยังคงถกมองว่าเป็นแค่ข่าวลือ มันจะดีมากกถ้าการได้รับความสนใจที่ได้รับมากมายนั้นเป็นการได้รับการสนับสนุนและ ความสนใจ แต่บางครั้งมันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น และ ในเวลานั้นผมอยากจะมีพลังอำนาจที่จะปิดกั้นหรือหลบซ่อนมันได้ ตอนนี้ผมอยากที่จะให้สื่อมวลชนไม่รู้เรื่องราวส่วนตัวของผม ไม่รู้เลยแม้แค่เพียง 10 %
Q: เมื่อคุณเกณฑ์ทหาร คุณก็จะถูกปิดกั้นความสนใจจากโลกภายนอก ? (หัวเราะ)
A: ใช่แล้วครับ แต่มันจะถูกปิดกั้นได้จริงๆเหรอออ (หัวเราะ)
Q: ถ้าดูความดังของคุณในตอนนี้แล้ว ผมว่าอาจจะไม่ได้ ( หัวเราะ ) แต่อย่างไรก็ตาม เราหวังว่าคุณจะกลับออกมาจากกรมด้วยสุขภาพที่แข็งแรงและดีนะครับ
A: โอววว ขอบคุณครับ สวัสดีปีใหม่ครับ