Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
"ดอกส้มสีทอง" จบแบบนี้ดีแล้วเหรอ ? ติดต่อทีมงาน

หลังจากที่เป็นกระแสถกเถียงกันจนเป็นเรื่องราวใหญ่โต  ดอกส้มสีทองก็มาถึงตอนจบจนได้ จนไม่ถูกแบน ถูกถอดออกไปเสียก่อน  มาถึงตอนจบแล้วก็คงมีหลายกระแสอีกตามเคย ในเรื่องของความพอใจไม่พอใจในตอนจบ

          จขกท ขอออกตัวก่อนว่าไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆกับละครเรื่องนี้  ทั้งหมดนี้เป็นมุมมองในฐานะนักสื่อสารมวลชนและนักวิชาการ  ที่เป็นเสียงเล็กๆเสียงหนึ่งเท่านั้น  ไม่ได้มาอิม ไม่ได้มาเกรียน ไม่ได้ทำตัวสวนกระแส  ขอแค่มากระซิบบอกเบาๆ  ความตั้งใจของ จขกท ในกระทู้นี้ไม่ได้มาถกเถียงในเรื่องของตัวบท  แต่ต้องการเอ่ยถึง บริบท ที่ จขกท มองเห็นและไม่สบายใจ

          อย่างแรกเลยคือ กระแสดังกล่าวส่งผลให้ละครเป็นที่จับตามองมาก  คนที่ไม่ดูก็มาดู  แต่ จขกท กลับมองในทางตรงข้าม นั่นคือ เมื่อกลายเป็นกระแสขนาดนี้แล้ว  ละครย่อมต้องลดทอนความมีสุนทรียะของตนเองไปตามกระแสสังคม  นั่นคือการตัดลดทอนฉากต่างๆ  ซึ่งผิดกับความตั้งใจแรกเริ่มของผู้สร้าง

          เป็นโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ที่ละครเรื่องนี้ถูกตัดทอนไปในตอนที่ใกล้จะจบแล้ว  ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าหากถ้าละครกลายเป็นกระแสตั้งแต่ตอนแรกๆ จะมีอะไรถูกตัดทอนไปอีก  อาจจะเป็นฉากเลิฟซีนหรือฉากที่แสดงความรุนแรงกับแม่ก็ตาม  ซึ่งบางคนก็อาจจะคิดว่ามาพูดทำไม  ก็เรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น  แต่หากเราลองมองในมุมนี้เราก็จะเห็นเลยว่าสังคมต้องการอะไรจากสื่อ และสื่อเองมีอิสรภาพแค่ไหน 

              จากระบบเซนเซอร์ที่เราร้องกันปาวๆว่ามันไม่ดี  มันดูถูกสติปัญญาของคนดู นี่ก็ไม่ต่างกันหรอกค่ะ การเซ็นเซอร์แบบตัดทอนบางฉากออกไป กับการเอาม่านหมอกแห่งศีลธรรมมาบัง มันไม่ต่างกันเลยค่ะ  ทั้งหมดนี้ล้วนทำลายความตั้งใจของผู้สร้างงาน และบ่อนทำลายกำลังใจของผู้สร้างด้วย  ลองคิดดูนะคะว่าถ้าฉากที่เรยาทำรุนแรงกับแม่นั้นถูกตัดออกไป  คุณจะซึ้งกับเรื่องราวได้เท่ากับวันนี้ไหม  ไม่ว่าฉากไหนๆ แม้มันจะรุนแรงและน่าเกลียดแค่ไหน  มันก็คือส่วนผสมหรือเครื่องปรุงที่ส่งผลกระทบต่อรสชาติของภาพรวม ความสนุกสนานที่ผู้ชมจะได้รับ  รวมไปถึงคำสอนที่จะเป็นของเหลือให้ผู้ชมใส่ถุงกลับบ้าน

          อย่างที่สองถือเป็นเรื่องน่าตกใจมากับการที่สื่อต้องรับหน้าที่อะไรมากเหลือเกิน ไม่ว่าจะต้องเป็นกลาง เป็นยามเฝ้าสังคม  บางคนอาจคิดว่าผู้สร้างละครนั้นสนุกสนานกว่าสื่อที่ทำหน้าที่เสนอข่าว แต่ผู้สร้างละครเองก็ต้องแบกรับความรับผิดชอบของสังคมไม่ต่างกันหรอกค่ะ  เรื่องที่เกิดทั้งหมดนี้ทำให้เห็นว่าเรากำลังโยนความผิดทุกอย่างไปให้สื่อ ไม่ว่าจะเป็นสังคมที่กำลังฟอนเฟะ ความรุนแรงต่างๆ  กระแสจากละครเรื่องนี้ ทำให้เรารู้ว่า การกำหนดเรตติ้งนั้นล้มเหลวอย่างที่เรียกว่า ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า เพราะถึงจะขึ้นเรตติ้งอะไรไป  ผู้ชมก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าสิ่งที่กำลังฉายอยู่เหมาะกับคนในอายุเท่าไร  และกลายเป็นว่าพ่อแม่ผู้ปกครองกำลังผลักภาระให้สื่อ ในการสั่งสอนสังคม  ซึ่งการที่เด็กเล็กๆจะมาดูละครเรื่องนี้มันย่อมไม่เหมาะสมแน่นอน  และผู้ปกครองเองก็ควรรับผิดชอบในการดูแลและปกครองลูกหลานของตัวเองไม่ให้มาชมละครเรื่องนี้ หรือถ้าอยากให้ชมก็คือต้องคอยชี้แนะเด็ก  ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นปัญหาอีก เพราะมันช่างเป็นอุดมคติเหลือเกินกับการที่ผู้ปกครองจะมาชี้นิ้วบอกว่า นี้ไม่ดี อย่าทำนะ  ใครจะไปทำกันล่ะ แต่ถ้าคำว่าชี้แนะนี้ถูกตีความเสียใหม่ นั่นก็คือการสอนอย่างมีศิลปะโดยที่เด็กไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกสอน แบบนี้ก็จะถือเป็นการดูละครที่ได้ประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดละคร  และครอบครัวที่จะได้ใช้พื้นที่ตรงนี้เป็นสื่อในการสอนสั่งอบรมดูแลลูกหลาน  รวมทั้งเป็นสื่อในการใช้เวลาร่วมกันของครอบครัวไปด้วย 

                 เพราะถ้าคุณๆผู้ปกครองทั้งหลายคาดหวังให้สื่อมาสอนทุกอย่าง  รัฐก็ควรยุบโรงเรียนไปให้หมด และปล่อยภาระหน้าที่การสอนไปให้สื่อ  ไม่แน่ว่าถ้าวันหนึ่งสังคมต้องการขนาดนั้นจริงๆ เราอาจเห็นฉากลำยองเทน้ำส้มให้เรยาพร้อมกับสอนว่า “ดื่มน้ำส้มนะลูก น้ำส้มนี้มีวิตามินซีสูง ซึ่งช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและน้ำส้มนี้แม่คั้นสดๆ เพราะจะได้มีไฟเบอร์ที่ช่วยในการขับถ่าย” 

           พวกคุณอาจคิดว่านี่เป็นสถานการณ์สมมติที่ตลกและไม่มีวันเป็นไปได้  แต่สำหรับ จขกท สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันก็ไม่ได้ต่างกันนักหรอก  ถือเป็นสัญญาณแรกๆเลยด้วยซ้ำว่าสังคมต้องการอะไร

          อย่างที่สามคือ ตอนจบ  ที่มีการตัดฉากคำสอนต่างๆมาแปะไว้ท้ายเรื่อง ซึ่งบางคนอาจชมว่าดี ให้ข้อคิด  ดูละครแล้วได้ข้อคิดนะ  จขกท อยากถามว่า แล้วที่คุณดูไปสิบกว่าตอนคุณไม่ได้อะไรเหรอ  แน่นอนว่าคุณต้องได้ข้อคิดบ้าง ไม่มากก็น้อย เพราะการผูกเรื่องราวและเหตุผลทุกอย่างก็มีขึ้นไปพร้อมๆกับการสอนใจของผู้ชม  แต่ความงามของการชมละครนั้น ก็คือการที่เราจะซึมซับเรื่องราวต่างๆผ่านตัวละครที่โลดแล่นและมีชีวิตของตัวเอง  นั่นก็คือการเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่นนั่นแหละ ซึ่งเราทั้งหลายล้วนเป็นผู้มีวิจารณญาณ  เราทราบดีว่านี่เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา เราเป็นผู้มองผ่านเรื่องราวที่สื่อกำลังผูกร้อยเข้าด้วยกันอย่างมีศิลปะ  แต่กลับกลายเป็นว่าสังคมส่วนหนึ่งกลายเป็นพวกเสพติดการเล็คเชอร์  ที่จะต้องให้มีคนมาคอยสอนตลอดเวลา แล้วเมื่อไหร่ที่เราจะคิดได้เอง  วิเคราะห์ได้เอง 

          บางคนอาจเถียงว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะดูแล้วรู้ว่าละครต้องการสอนอะไร  ขอเถียงกลับว่าละครไม่ได้มีหน้าที่สอน ละครมีหน้าที่ให้ความบันเทิง  แต่การสอนนั้นถือเป็นผลพลอยได้  ซึ่งเรื่องราวที่ผู้สร้างงานอุตสาห์ร้อยเรียงผูกเข้าด้วยกันนั้นมันควรจะเข้าไปอยู่ในใจผู้ชมมากกว่าคำสอนตอนท้ายเรื่อง  เพราะบทสนทนาต่างๆที่ผู้เขียนคิดขึ้นและนำไปสู่ประโยคเด็ดที่กลายเป็นคำสอนนั้นล่ะ มันคือการสอนอย่างมีศิลปะ  เป็นการสอนสังคมอย่างมีชั้นเชิง 

           และถ้าคุณดูละครแล้วไม่ได้อะไรเลย  นอกจากความตื่นตระหนกหรือสนุกสนานในฉากส่อเสื่อมศีลธรรม  คุณก็ไม่สมควรที่จะดูละคร  จขกท สงสัยเหลือเกินว่า ทำไม?...  ทำไมเราจึงไปชื่นชมกับการเล็คเชอร์ท้ายเรื่องที่ไม่ต่างอะไรกับตอนจบนิทานที่มักจะขึ้นต้นด้วยว่า เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...

          หรือนี่เป็นสัญญาณเริ่มต้นที่กำลังบอกว่า นี่คือจุดจบของละครไทย  ควรจะยุบไปแล้วเอานิทานอีสปมาฉายแทน...

แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 54 11:25:55

แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 54 11:23:46

จากคุณ : Bear Waldorf
เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 11:22:59




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com