หลังจากที่เป็นกระแสถกเถียงกันจนเป็นเรื่องราวใหญ่โต ดอกส้มสีทองก็มาถึงตอนจบจนได้ จนไม่ถูกแบน ถูกถอดออกไปเสียก่อน มาถึงตอนจบแล้วก็คงมีหลายกระแสอีกตามเคย ในเรื่องของความพอใจไม่พอใจในตอนจบ
จขกท ขอออกตัวก่อนว่าไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆกับละครเรื่องนี้ ทั้งหมดนี้เป็นมุมมองในฐานะนักสื่อสารมวลชนและนักวิชาการ ที่เป็นเสียงเล็กๆเสียงหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มาอิม ไม่ได้มาเกรียน ไม่ได้ทำตัวสวนกระแส ขอแค่มากระซิบบอกเบาๆ ความตั้งใจของ จขกท ในกระทู้นี้ไม่ได้มาถกเถียงในเรื่องของตัวบท แต่ต้องการเอ่ยถึง “บริบท” ที่ จขกท มองเห็นและไม่สบายใจ
อย่างแรกเลยคือ กระแสดังกล่าวส่งผลให้ละครเป็นที่จับตามองมาก คนที่ไม่ดูก็มาดู แต่ จขกท กลับมองในทางตรงข้าม นั่นคือ เมื่อกลายเป็นกระแสขนาดนี้แล้ว ละครย่อมต้องลดทอนความมีสุนทรียะของตนเองไปตามกระแสสังคม นั่นคือการตัดลดทอนฉากต่างๆ ซึ่งผิดกับความตั้งใจแรกเริ่มของผู้สร้าง
เป็นโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ที่ละครเรื่องนี้ถูกตัดทอนไปในตอนที่ใกล้จะจบแล้ว ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าหากถ้าละครกลายเป็นกระแสตั้งแต่ตอนแรกๆ จะมีอะไรถูกตัดทอนไปอีก อาจจะเป็นฉากเลิฟซีนหรือฉากที่แสดงความรุนแรงกับแม่ก็ตาม ซึ่งบางคนก็อาจจะคิดว่ามาพูดทำไม ก็เรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่หากเราลองมองในมุมนี้เราก็จะเห็นเลยว่าสังคมต้องการอะไรจากสื่อ และสื่อเองมีอิสรภาพแค่ไหน
จากระบบเซ็นเซอร์ที่เราร้องกันปาวๆว่ามันไม่ดี มันดูถูกสติปัญญาของคนดู นี่ก็ไม่ต่างกันหรอกค่ะ การเซ็นเซอร์แบบตัดทอนบางฉากออกไป กับการเอาม่านหมอกแห่งศีลธรรมมาบัง มันไม่ต่างกันเลยค่ะ ทั้งหมดนี้ล้วนทำลายความตั้งใจของผู้สร้างงาน และบ่อนทำลายกำลังใจของผู้สร้างด้วย ลองคิดดูนะคะว่าถ้าฉากที่เรยาทำรุนแรงกับแม่นั้นถูกตัดออกไป คุณจะซึ้งกับเรื่องราวได้เท่ากับวันนี้ไหม ไม่ว่าฉากไหนๆ แม้มันจะรุนแรงและน่าเกลียดแค่ไหน มันก็คือส่วนผสมหรือเครื่องปรุงที่ส่งผลกระทบต่อรสชาติของภาพรวม ความสนุกสนานที่ผู้ชมจะได้รับ รวมไปถึงคำสอนที่จะเป็นของเหลือให้ผู้ชมใส่ถุงกลับบ้าน
อย่างที่สองถือเป็นเรื่องน่าตกใจมากับการที่สื่อต้องรับหน้าที่อะไรมากเหลือเกิน ไม่ว่าจะต้องเป็นกลาง เป็นยามเฝ้าสังคม บางคนอาจคิดว่าผู้สร้างละครนั้นสนุกสนานกว่าสื่อที่ทำหน้าที่เสนอข่าว แต่ผู้สร้างละครเองก็ต้องแบกรับความรับผิดชอบของสังคมไม่ต่างกันหรอกค่ะ เรื่องที่เกิดทั้งหมดนี้ทำให้เห็นว่าเรากำลังโยนความผิดทุกอย่างไปให้สื่อ ไม่ว่าจะเป็นสังคมที่กำลังฟอนเฟะ ความรุนแรงต่างๆ กระแสจากละครเรื่องนี้ ทำให้เรารู้ว่า การกำหนดเรตติ้งนั้นล้มเหลวอย่างที่เรียกว่า ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า เพราะถึงจะขึ้นเรตติ้งอะไรไป ผู้ชมก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าสิ่งที่กำลังฉายอยู่เหมาะกับคนในอายุเท่าไร และกลายเป็นว่าพ่อแม่ผู้ปกครองกำลังผลักภาระให้สื่อ ในการสั่งสอนสังคม ซึ่งการที่เด็กเล็กๆจะมาดูละครเรื่องนี้มันย่อมไม่เหมาะสมแน่นอน และผู้ปกครองเองก็ควรรับผิดชอบในการดูแลและปกครองลูกหลานของตัวเองไม่ให้มาชมละครเรื่องนี้ หรือถ้าอยากให้ชมก็คือต้องคอยชี้แนะเด็ก ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นปัญหาอีก เพราะมันช่างเป็นอุดมคติเหลือเกินกับการที่ผู้ปกครองจะมาชี้นิ้วบอกว่า นี้ไม่ดี อย่าทำนะ ใครจะไปทำกันล่ะ แต่ถ้าคำว่าชี้แนะนี้ถูกตีความเสียใหม่ นั่นก็คือการสอนอย่างมีศิลปะโดยที่เด็กไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกสอน แบบนี้ก็จะถือเป็นการดูละครที่ได้ประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดละคร และครอบครัวที่จะได้ใช้พื้นที่ตรงนี้เป็นสื่อในการสอนสั่งอบรมดูแลลูกหลาน รวมทั้งเป็นสื่อในการใช้เวลาร่วมกันของครอบครัวไปด้วย
เพราะถ้าคุณๆผู้ปกครองทั้งหลายคาดหวังให้สื่อมาสอนทุกอย่าง รัฐก็ควรยุบโรงเรียนไปให้หมด และปล่อยภาระหน้าที่การสอนไปให้สื่อ ไม่แน่ว่าถ้าวันหนึ่งสังคมต้องการขนาดนั้นจริงๆ เราอาจเห็นฉากลำยองเทน้ำส้มให้เรยาพร้อมกับสอนว่า “ดื่มน้ำส้มนะลูก น้ำส้มนี้มีวิตามินซีสูง ซึ่งช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและน้ำส้มนี้แม่คั้นสดๆ เพราะจะได้มีไฟเบอร์ที่ช่วยในการขับถ่าย”
พวกคุณอาจคิดว่านี่เป็นสถานการณ์สมมติที่ตลกและไม่มีวันเป็นไปได้ แต่สำหรับ จขกท สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันก็ไม่ได้ต่างกันนักหรอก ถือเป็นสัญญาณแรกๆเลยด้วยซ้ำว่าสังคมต้องการอะไร
อย่างที่สามคือ ตอนจบ ที่มีการตัดฉากคำสอนต่างๆมาแปะไว้ท้ายเรื่อง ซึ่งบางคนอาจชมว่าดี ให้ข้อคิด ดูละครแล้วได้ข้อคิดนะ จขกท อยากถามว่า แล้วที่คุณดูไปสิบกว่าตอนคุณไม่ได้อะไรเหรอ แน่นอนว่าคุณต้องได้ข้อคิดบ้าง ไม่มากก็น้อย เพราะการผูกเรื่องราวและเหตุผลทุกอย่างก็มีขึ้นไปพร้อมๆกับการสอนใจของผู้ชม แต่ความงามของการชมละครนั้น ก็คือการที่เราจะซึมซับเรื่องราวต่างๆผ่านตัวละครที่โลดแล่นและมีชีวิตของตัวเอง นั่นก็คือการเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่นนั่นแหละ ซึ่งเราทั้งหลายล้วนเป็นผู้มีวิจารณญาณ เราทราบดีว่านี่เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา เราเป็นผู้มองผ่านเรื่องราวที่สื่อกำลังผูกร้อยเข้าด้วยกันอย่างมีศิลปะ แต่กลับกลายเป็นว่าสังคมส่วนหนึ่งกลายเป็นพวกเสพติดการเล็คเชอร์ ที่จะต้องให้มีคนมาคอยสอนตลอดเวลา แล้วเมื่อไหร่ที่เราจะคิดได้เอง วิเคราะห์ได้เอง
บางคนอาจเถียงว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะดูแล้วรู้ว่าละครต้องการสอนอะไร ขอเถียงกลับว่าละครไม่ได้มีหน้าที่สอน ละครมีหน้าที่ให้ความบันเทิง แต่การสอนนั้นถือเป็นผลพลอยได้ ซึ่งเรื่องราวที่ผู้สร้างงานอุตสาห์ร้อยเรียงผูกเข้าด้วยกันนั้นมันควรจะเข้าไปอยู่ในใจผู้ชมมากกว่าคำสอนตอนท้ายเรื่อง เพราะบทสนทนาต่างๆที่ผู้เขียนคิดขึ้นและนำไปสู่ประโยคเด็ดที่กลายเป็นคำสอนนั้นล่ะ มันคือการสอนอย่างมีศิลปะ เป็นการสอนสังคมอย่างมีชั้นเชิง
และถ้าคุณดูละครแล้วไม่ได้อะไรเลย นอกจากความตื่นตระหนกหรือสนุกสนานในฉากส่อเสื่อมศีลธรรม คุณก็ไม่สมควรที่จะดูละคร จขกท สงสัยเหลือเกินว่า ทำไม?... ทำไมเราจึงไปชื่นชมกับการเล็คเชอร์ท้ายเรื่องที่ไม่ต่างอะไรกับตอนจบนิทานที่มักจะขึ้นต้นด้วยว่า “เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...”
หรือนี่เป็นสัญญาณเริ่มต้นที่กำลังบอกว่า นี่คือจุดจบของละครไทย ควรจะยุบไปแล้วเอานิทานอีสปมาฉายแทน...
แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 54 11:25:55
แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 54 11:23:46